หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 321
บทที่ 321
“เจินเจิน” เจียงซือหร่านวางถ้วยน้ำชาลง เดินเข้าไปจับมือองค์หญิงเจินเจินพลางถามไถ่ “เป็นอย่างไรบ้าง หนก่อนข้ามาเยี่ยมเห็นว่าพักผ่อนอยู่ ข้าเป็นห่วงอยู่ตลอดเลยนะ”
องค์หญิงเจินเจินฝืนยิ้ม “ข้าสบายดี”
พวกนางนั่งลงพร้อมกัน
สายตาของเจียงซือหร่านหยุดอยู่ที่ผ้าโปร่งคลุมหน้าของอีกฝ่าย “เจินเจิน อากาศร้อนอย่างนี้คลุมผ้าผืนนี้ไว้ด้วยเหตุใดกัน”
“มีผื่นขึ้น”
“พวกเราสนิทกันถึงเพียงนี้ แค่ขึ้นผื่นยังจะปิดไว้อีก ร้อนแย่เลย” เจียงซือหร่านพูดขันๆ อย่างไม่เก็บมาใส่ใจ
องค์หญิงเจินเจินลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ข่มกลั้นไว้ไม่ทำเสียกิริยา “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ชวนมอง”
เจียงซือหร่านยิ้มน้อยๆ “ก็จริง เจินเจินโฉมงามเช่นนี้ ถ้าใบหน้ามีตำหนิเล็กน้อย คงทนไม่ไหวเป็นแน่…”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วสังเกตเห็นท่าทางขององค์หญิงเจินเจินผิดแผกไป จึงรีบเอ่ยถามขึ้น “เจินเจิน เป็นอะไรไป อุ๊ย…ร้องไห้ด้วยเหตุใดกัน”
องค์หญิงเจินเจินซบอกเจียงซือหร่านร่ำไห้
“เจินเจิน?” นางตะลึงงันไป
องค์หญิงเจินเจินกอดนางแน่น ร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจมากขึ้นทุกที “ซือหร่าน วันข้างหน้าข้าจะทำฉันใดดี”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจียงซือหร่านแตกตื่นอยู่บ้างด้วยไม่เคยเห็นสหายรักควบคุมตนเองไม่อยู่เช่นนี้
ในกาลก่อนระหว่างพวกนางสองคน นางต่างหากคือคนที่อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ อยากหัวเราะก็หัวเราะ ส่วนเจินเจินจะเรียบร้อยมีมารยาทมากกว่า
องค์หญิงเจินเจินร่ำไห้อยู่ในอ้อมอกของเจียงซือหร่านเป็นนาน
บริเวณสาบเสื้อของเจียงซือหร่านเปียกชื้นเป็นวง นางยกมือตบหลังบอบบางขององค์หญิงเจินเจินอย่างเก้กัง “เจินเจิน เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ ขืนร้องต่ออีกจะเห็นทะลุไปถึงเสื้อเอี๊ยมของข้าแล้วนะ”
ร่างขององค์หญิงเจินเจินชะงักค้าง เสียงร่ำไห้เงียบหายไป ผ่านไปอึดใจหนึ่งนางถึงเงยหน้าขึ้นดึงผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ
“ว้าย!” เจียงซือหร่านอุทานด้วยความตกใจ
“น่ากลัวมากสินะ” องค์หญิงเจินเจินทำหน้าสิ้นหวัง “น่าขยะแขยงมากใช่หรือไม่ หึๆ หลายวันนี้ข้าไม่กล้าส่องคันฉ่อง คิดถึงสารรูปของตนเองคราใด ข้าก็อยากตายๆ ไปเสียครานั้น”
“เจินเจิน…” ถึงอย่างไรเจียงซือหร่านเป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่เคยพานพบอุปสรรคใหญ่ๆ อะไรในชีวิตมาก่อน พอเห็นสหายรักโฉมงามล้ำหล้ากลายเป็นเช่นนี้ นางก็ถึงกับไม่รู้ว่าสมควรทำเช่นไรดีไปชั่วขณะ
“เจ้าไปเถอะ รีบๆ ไปเสีย วันหน้าไม่ต้องเข้าวังมาเยี่ยมข้าแล้ว…” องค์หญิงเจินเจินปิดหน้าร่ำไห้
เจียงซือหร่านกุมมือนาง “เจินเจิน ข้าแค่คาดไม่ถึงเกินไป หาได้รังเกียจไม่ อย่าร้องเลยนะ ไม่ว่าเจินเจินจะกลายเป็นอย่างไร พวกเราคือสหายรักกันเสมอ ใครกล้าซุบซิบนินทาลับหลัง ข้าจะเอาแส้ฟาดคนผู้นั้น”
“ซือหร่าน” องค์หญิงเจินเจินหลั่งน้ำตาดุจสายฝน “ข้าเคยคิดหลายครั้งหลายหนมากว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ข้าก็ทำใจไม่ได้ ข้าทำใจไม่ได้จริงๆ นะ”
นางอยู่ในฐานะองค์หญิงมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ทว่าเสด็จพ่อไม่สนใจไยดีพวกพระธิดาสักนิด อีกทั้งไม่มีเสด็จแม่ช่วยปูทางอนาคตให้พวกนาง นางทุ่มเทความพยายามไปมากเท่าใดกว่าจะเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ กลับเพราะเหตุดินถล่มคราเดียว ทุกอย่างก็พังครืนหมด
องค์หญิงเจินเจินน้ำตาคลอมองเจียงซือหร่านอย่างขมขื่นในใจ
มาตรว่าเจียงซือหร่านไม่ได้มีความคิดร้ายกาจอันใด แต่เป็นคนเย่อหยิ่งเอาแต่ใจตน ทั้งคู่กลายเป็นสหายรักกันได้ นางต้องอดกลั้นมากเพียงใดมีใครรู้บ้าง
“เจินเจิน ข้ารู้ว่าเจ้าทุกข์ใจมาก แต่เจ้าอย่าคิดสั้นเป็นอันขาด ท่านพ่อข้าเคยบอกว่าคนเรานั้นขอแค่มีชีวิตอยู่ถึงมีความหวัง ตายไปก็ไม่เหลืออะไรทั้งนั้น”
“ข้ายังมีความหวังใดอีกเล่า” องค์หญิงเจินเจินกล่าวอย่างเคว้งคว้าง
“ให้หมอหลวงตรวจดูหรือยัง”
“ตรวจดูแล้ว แม้แต่หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ยังจนปัญญา โรคของข้าหมดทางเยียวยาแล้วเป็นแน่”
“ไม่หรอก แผ่นดินกว้างใหญ่ปานนั้น จะต้องมีหมอที่เชี่ยวชาญการรักษาโรคนี้แน่นอน เจินเจิน เจ้าฟังข้านะ พวกหมอที่มีฝีมือสูงส่งจริงๆ มักไม่ยินยอมตกอยู่ใต้อาณัติใคร อย่างเช่นหมอเทวดาหลี่ที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าผู้นั้น”
“หมอเทวดาหลี่…” องค์หญิงเจินเจินพูดพึมพำคำนี้
“ใช่แล้ว เจินเจินเคยได้ยินชื่อหมอเทวดากระมัง”
นางพยักหน้า “อื้อ เคยได้ยิน ว่ากันว่าหมอเทวดาหลี่เคยถวายการรักษาองค์ไทเฮามาก่อน”
“ดังนั้นเจ้าอย่าได้ท้อใจ ไม่แน่ว่าหมอเทวดาหลี่ผู้นั้นอาจมีวิธีก็เป็นได้นะ”
“แต่หมอเทวดาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลจะไปตามหาเขาที่ใดกันเล่า”
เจียงซือหร่านคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ข้ากลับไปขอให้ท่านพ่อช่วยเอง เจินเจิน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าท่านพ่อข้าทำงานอะไร”
องครักษ์จินหลินดูแลงานการข่าวทั่วหล้ามาแต่ไหนแต่ไร องค์หญิงเจินเจินจะไม่ล่วงรู้ได้อย่างไร
ดวงตาของนางเริ่มทอประกายทีละน้อย นางกุมมือสหายรักแน่นขึ้น “ซือหร่าน เช่นนั้นต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ถึงแม้นางจะเป็นองค์หญิง เว้นแต่ว่าเสด็จพ่อหรือเสด็จย่าออกพระบัญชา หาไม่แล้วคิดจะตามหาหมอเทวดาหลี่เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ บัดนี้ได้ซือหร่านช่วยเหลือจึงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
นี่ก็คือเหตุผลที่นางยอมให้อีกฝ่ายเห็นสารรูปของตนในเวลานี้โดยไม่กลัวขายหน้า
“ระหว่างพวกเราจะเกรงใจกันเช่นนี้ไปด้วยเหตุใด” เจียงซือหร่านหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้องค์หญิงเจินเจิน ยามปลายนิ้วของนางแตะถูกใบหน้าของอีกฝ่าย มันสั่นระริกอย่างสุดระงับ สภาพของเจินเจินตอนนี้น่ากลัวเหลือเกินจริงๆ
“เจินเจิน พักก่อนเจ้ายังปกติดีอยู่เลยมิใช่หรือ เหตุใดถึงกลายเป็นอย่างนี้ได้”
นัยน์ตาทั้งคู่ขององค์หญิงเจินเจินเลื่อนลอยอยู่บ้าง “ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร หลังจากข้าเจอเหตุดินถล่มแล้วถูกช่วยออกมา วันต่อมาใบหน้าของข้าก็กลายเป็นเช่นนี้ หมอหลวงบอกว่าอาจจะโดนสิ่งเป็นพิษที่ไม่รู้จักชื่อสักอย่างตอนดินถล่ม”
เจียงซือหร่านขมวดคิ้ว “ไฉนถึงเจอกับเหตุดินถล่มได้เล่า”
“นั่นสิ ข้าก็เคราะห์ร้ายเช่นนี้เอง เรื่องที่ยากจะพบเจอในรอบหลายสิบปี จำเพาะต้องให้ข้าได้พบเจอเสียแล้ว” องค์หญิงเจินเจินกล่าวเยาะตนเอง
“จริงสิ ข้าได้ยินว่าคนแซ่หลีก็เจอเช่นกัน”
“คนแซ่หลี?”
“ก็หลีซานบุตรสาวของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตอย่างไรเล่า”
องค์หญิงเจินเจินพยักหน้า “ใช่ ตอนนั้นข้ากับนางเดินอยู่บนเขาด้วยกัน จากนั้นก็เกิดเหตุดินถล่ม นางโชคดีกว่าข้า ตอนนั้นสารถีของนางคุ้มกันนางวิ่งขึ้นเขา น่าจะไม่โดนฝัง แต่ต่อมาเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้แล้ว”
“เป็นอย่างไรหรือ นางก็สุขสบายดีน่ะสิ!” พอเอ่ยถึงเฉียวเจา เจียงซือหร่านก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทันทีที่ได้ยินว่านางเจอเหตุดินถล่ม พี่สือซานรีบแล่นไปที่นั่นเร็วกว่าใครๆ ตอนหลังพี่สืออีก็ไปด้วย นางจิ้งจอกชัดๆ!
“นางทำอะไรหรือ”
“กวนจวินโหวส่งข่าวออกมาว่านางพำนักอยู่ในอารามซูอิ่งอย่างปลอดภัยดีทุกประการ”
กวนจวินโหว…
องค์หญิงเจินเจินทวนชื่อนี้ในใจ เงาร่างของคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในหัวสมอง
คนผู้นั้นเคร่งขรึมแกร่งกล้าเด็ดเดี่ยว ไม่เหมือนกับบุรุษคนใดที่นางเคยพานพบมาก่อน
ใครๆ ต่างพูดว่าฉือชั่นญาติผู้พี่ของนางคือบุรุษรูปงามหาตัวจับยากในแผ่นดิน แต่ในความคิดนางกลับมีเสน่ห์เทียบคนผู้นั้นไม่ได้แม้แต่หนึ่งในหมื่น
นางรอคอยอยู่ในความมืดมิดที่มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าเป็นเวลานานปานนั้น ยังมีศพเย็นชืดทับตัวไว้ ใบหน้าเปื้อนเลือดข้นเหนียวที่ไหลจากศพ กระทั่งโลหิตนั่นก็เย็นเฉียบ ทำให้นางนึกว่าคงต้องตายไปอย่างสิ้นหวังในสภาพน่าอนาถเช่นนั้น
แต่แล้วเขาก็ปรากฏกายขึ้น ทำให้นางรอดชีวิตมาได้อีกครั้ง
“เจินเจิน เป็นอะไรไป”
องค์หญิงเจินเจินดึงความคิดคืนมา “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าคุณหนูหลีโชคดีกว่าข้ามากนัก”
เจอกับเหตุดินถล่มเช่นเดียวกัน คุณหนูหลีมีสารถีคุ้มกันกลับไปยังอารามซูอิ่งอย่างปลอดภัย ส่วนนางกลับลิ้มรสชาติการถูกฝังและเสียโฉม ต้องสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจินเจิน เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าทุกคราที่พบคุณหนูหลีก็จะเคราะห์ร้าย” เจียงซือหร่านถามขึ้นกะทันหัน
องค์หญิงเจินเจินนิ่งงันไปกับคำถามนี้