หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 322
บทที่ 322
“ข้าจำได้ว่าคราวก่อนเจ้าไปอารามซูอิ่ง ตอนขากลับเจอฝนตกหนัก ก็ร่วมทางกับนางเหมือนกันมิใช่หรือ”
“ใช่ ตอนนั้นรถม้าข้าพังเลยต้องขออาศัยรถม้าของคุณหนูหลี ผลปรากฏว่ารถม้าพลิกคว่ำ…”
เจียงซือหร่านตบมือฉาด “ข้าว่าแล้วเชียว พบนางเป็นต้องเคราะห์ร้าย ตอนนั้นบาดแผลที่ขาเจ้ารุนแรงมาก กว่าจะรักษาหายมิใช่ง่ายดาย พอไปอารามซูอิ่งได้พบนางอีก ผลสุดท้ายก็เจอเหตุดินถล่ม”
องค์หญิงเจินเจินชักคล้อยตาม แต่จากนั้นก็ส่ายหน้า “มิใช่หรอก ตอนนั้นรถม้าข้าพัง ขาโดนทับบาดเจ็บถึงอาศัยรถม้าของนาง แต่หนนี้…”
หนนี้นางตั้งใจดักพบคุณหนูหลีเพื่อจะได้กล่าวขอบคุณ
“เจินเจิน เจ้าตรองดูนะ เมื่อก่อนเจ้าไปอารามซูอิ่งตั้งหลายครั้งถึงเพียงนั้น เคยประสบเหตุใดหรือไม่”
“ไม่เคย”
“นี่อย่างไรเล่า แต่ก่อนปกติดีเรื่อยมา ไยพักนี้ถึงเคราะห์ร้ายติดๆ กัน อีกทั้งต้องมีนางอยู่ด้วยทุกครั้ง”
“ซือหร่าน เจ้าคิดจะบอกอะไรหรือ” องค์หญิงเจินเจินไม่ใคร่เชื่อถือเรื่องพรรค์นี้ นางเชื่อมากกว่าว่าชะตาชีวิตของคนผู้หนึ่งจะดีหรือร้ายอาศัยความพยายามของตนเป็นสำคัญ
เจียงซือหร่านกะพริบตาปริบๆ “เจ้าไม่รู้สึกว่าหลีซานเป็นกาลกิณีหรือ”
องค์หญิงเจินเจินอ้าปากออกแต่มิได้เปล่งวาจา
“ข้าไปงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซานงานเดียวกับนาง ผลปรากฏว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปหมด ตอนนั้นโดนด่าทอ ข้าก็ยอมรับ ต้องโทษตนเองที่เป็นฝ่ายหาเรื่องเอง แต่ภายหลังบุตรชายคนเล็กของจวนฉางชุนป๋อโดนสตรีทำร้ายปางตายในหอคณิกา กลายเป็นเรื่องใหญ่ครึกโครม คนพวกนั้นถึงกับบอกว่าคนที่ปลอมตัวเป็นบุรุษไปเที่ยวหอคณิกาคือข้า แต่ใส่ความว่าเป็นหลีซานเพื่อแก้แค้นเอาคืนนาง ข้าไม่มีโอกาสได้แก้ต่างด้วยซ้ำไป เจ้าว่ายุติธรรมกับข้าหรือไม่!”
เจียงซือหร่านหยุดพูดแล้วชำเลืองมองสหายรัก “เจินเจิน เหตุใดเจ้ามองข้าอย่างประหลาดใจเช่นนั้น”
องค์หญิงเจินเจิน “ที่แท้ไม่ใช่เจ้าจริงๆ!”
เจียงซือหร่านอึ้งงัน ก่อนจะทุบเก้าอี้อย่างโมโห “ข้าว่าแล้วเชียว แม้แต่เจ้ายังคิดว่าข้าเป็นคนทำ ดูทีว่าข้าต้องแบกรับคำครหานี้ไปตลอดชาติ”
“แล้วสืบได้เรื่องหรือยังว่าสตรีคนนั้นเป็นใครกันแน่”
เจียงซือหร่านนั่งตัวตรง “นี่ก็คือจุดที่น่าแปลก ข้าให้พี่สือซานช่วยสืบให้ สุดท้ายเขาบอกข้าว่าสืบไม่ได้ ฮึ ข้าว่าพี่สือซานไม่ใส่ใจต่างหาก หรือไม่ก็เพราะเกี่ยวข้องอะไรกับหลีซาน เขาถึงไม่ยอมสืบสาวให้ลึกลงไป”
“ซือหร่าน ในเมื่อเจ้ากับใต้เท้าเจียงหมั้นหมายกันแล้ว เจ้าก็เชื่อใจเขาบ้างเถอะ เจ้ากับเขาเติบโตมาด้วยกัน เป็นบุพเพสันนิวาสที่หาได้ยากปานใด”
แม้นนางจะเป็นองค์หญิง ทว่าส่วนใหญ่มักอิจฉาอีกฝ่าย เจียงซือหร่านมีชีวิตที่เป็นอิสระมากกว่านางยิ่งนัก ไม่ต้องจงใจประจบประแจงผู้อาวุโส ไม่ต้องเก็บงำนิสัยเอาแต่ใจตน ซ้ำยังได้ออกเรือนไปกับคนที่ชมชอบ…
องค์หญิงเจินเจินไม่อยากคิดต่อไป เช่นนั้นจะทำให้นางเจ็บปวดใจเหลือแสน
“ข้ารู้ว่าพี่สือซานดีต่อข้า ก็แค่ไม่ค่อยแน่ใจ…” เจียงซือหร่านกล่าวอย่างลังเล
“ไม่แน่ใจอะไรหรือ”
“เจินเจิน เจ้ามีคนที่ชมชอบหรือไม่” เจียงซือหร่านถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ข้า…” เงาร่างของแม่ทัพหนุ่มวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด องค์หญิงเจินเจินส่ายหน้า
ตำแหน่งองค์หญิงอาจเสริมส่งนางให้สูงศักดิ์กว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง แต่ก็เป็นเครื่องพันธนาการนางด้วย นางรู้ดีมาโดยตลอดว่านางไม่อาจตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของตนเองได้ ดังนั้นพร่ำพูดถึงความรักไปจะมีความหมายใดเล่า
เจียงซือหร่านผิดหวังอยู่บ้าง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่มีวันเข้าใจ ข้าชมชอบพี่สือซานมาก อยากจะเห็นหน้าเขาทุกเวลาใจจะขาด แต่ข้าไม่รับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้จากตัวพี่สือซาน ดูเหมือนเขาเห็นข้าเป็นแค่น้องสาว”
“เอ็นดูเจ้าตามใจเจ้าเฉกพี่ชาย อันที่จริงก็ดีมากนะ”
“พี่ชายเอ็นดูน้องสาวได้หลายคน แต่รักสตรีได้คนเดียว ข้าอยากเป็นหนึ่งเดียวคนนั้น” ต่อหน้าสหายรัก คุณหนูเจียงเผยความกลัดกลุ้มทุกข์ใจเฉพาะตัวของเด็กสาวออกมาอย่างหาได้ยาก
องค์หญิงเจินเจินแย้มยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้ามีเวลาทั้งชีวิต พยายามทำให้ได้”
ให้เวลานางได้พยายาม นางจะทำให้บุรุษที่ถูกตาต้องใจหลงรักนางอย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใคร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงเจินเจินพลันฉุกใจขึ้นมา
ไฉนนางโง่เขลาไปได้ ถึงแม้นางไม่อาจกำหนดคู่ครองของตน แต่ถ้าเกิดกวนจวินโหวหลงรักนางเล่า
ในพระทัยเสด็จพ่อ กวนจวินโหวมีความสำคัญเหนือผู้ใด ถ้าเขาเต็มใจขอเป็นราชบุตรเขย เสด็จพ่อจะต้องยินดีกับผลลัพธ์นี้เป็นแน่
ครั้นความคิดนี้บังเกิดขึ้น องค์หญิงพลันรู้สึกคล้ายเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ทว่าสีหน้ากลับหม่นลงอีก
ไม่ว่าอย่างไร รักษาใบหน้าให้หายดีก่อนค่อยว่ากันถึงเรื่องอื่น
เจียงซือหร่านได้รับแรงใจจากสหายรักอย่างเห็นได้ชัด นางยิ้มอย่างผ่อนคลายสบายใจ “เจ้าพูดถูก ถึงอย่างไรพี่สือซานเป็นของข้า ใครก็แย่งชิงไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าใช้เวลาทั้งชีวิตแล้วจะทำให้เขารู้สึกต่อข้าเหมือนที่ข้ารู้สึกต่อเขาไม่ได้ เวลาไม่เช้าแล้ว ข้ากลับก่อนนะ รอได้ข่าวหมอเทวดาหลี่แล้วข้าค่อยมาเยี่ยมใหม่”
“ได้” องค์หญิงเจินเจินออกไปส่งเจียงซือหร่านถึงหน้าประตูด้วยตนเอง
เจียงซือหร่านออกจากตำหนักบรรทมขององค์หญิงแล้วมองเห็นเจียงถังที่นอกประตูวัง
“ท่านพ่อ ท่านออกมาก่อนแล้วหรือนี่”
“ขึ้นรถม้าเถอะ”
สองพ่อลูกเข้าไปในรถม้า
“องค์หญิงเก้าสบายดีอยู่กระมัง” เจียงถังถามตามปากพาไป
“ไม่ดีเจ้าค่ะ”
“เป็นอะไรหรือ”
“ใบหน้าของนางเน่าแล้ว”
“เน่าแล้ว?” เจียงถังทำหน้าหลากใจ “นี่หมายความว่าอะไร”
เหตุใดเขาฟังความหมายของคำนี้ไม่เข้าใจสักนิด
“ก็หมายความว่าหน้าเน่าเจ้าค่ะ เกิดจากเนื้อตายแล้วเน่าเปื่อยเช่นนั้น”
เจียงถังคาดไม่ถึงเป็นอันมาก เขาไม่นึกว่าบุตรสาวพูดคำว่า ‘เน่า’ จะหมายถึงว่าเน่าตามตัวอักษรจริงๆ แม้ว่ากององครักษ์จินหลินจะการข่าวว่องไว แต่จะยื่นมือก้าวก่ายตำหนักในของฮ่องเต้ไม่ได้
“ท่านพ่อ เจินเจินน่าสงสารเหลือเกิน พวกเราช่วยนางเถอะ ไม่อย่างนั้นนางจะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
เจียงถังกลั้นยิ้มไม่อยู่ “พ่อมิใช่หมอสักหน่อย จะช่วยอย่างไร องค์หญิงเก้ามิได้เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการหรือ”
“ตรวจแล้วเจ้าค่ะ กระทั่งหัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ก็เชิญมาแล้วแต่จนปัญญา”
“เช่นนั้นพ่อก็จนปัญญามากกว่า”
“ใครบอก ข้ารู้ว่าต่อให้คนอื่นหมดปัญญา ทว่าท่านพ่อต้องมีวิธีอยู่ดีเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นหร่านรานบอกทีว่าท่านพ่อจะมีวิธีใดได้” เจียงถังถามอย่างขบขัน
“ข้าได้ยินว่าหมอเทวดาหลี่ชุบชีวิตคนตายได้ มีวิชาแพทย์บรรลุถึงขั้นสุดยอด ท่านพ่อตามหาตัวเขามารักษาใบหน้าให้เจินเจินได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หมอเทวดาหลี่ไม่ได้อยู่เมืองหลวง” เจียงถังหุบยิ้ม
“ท่านพ่อส่งคนไปตามหาตัวเขาสิเจ้าคะ”
“มีข่าวส่งมาจากทางทิศใต้ว่าหมอเทวดาหลี่ออกทะเลไปแล้ว ท้องทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตยิ่งกว่าพื้นดิน จะไปตามหาที่ใดเล่า”
เจียงซือหร่านฟังแล้วร้อนใจ นางกล่าวเสียงขุ่น “แล้วจะทำอย่างไรเจ้าคะ ท่านพ่อ ตอนนั้นท่านสมควรขัดขวางไม่ให้หมอเทวดาหลี่ออกจากเมืองหลวง”
เจียงถังยิ้มอย่างจนใจ หมอเทวดาหลี่เป็นคนที่ฮ่องเต้ออกพระโอษฐ์อนุญาตให้จากไปได้อย่างอิสระ คนอื่นขัดขวางได้ แต่องครักษ์จินหลินทำไม่ได้
“ท่านพ่อยิ้มอะไรเจ้าคะ” เจียงซือหร่านยื่นมือไปดึงเคราของบิดา “ข้าไม่สน ตอนนั้นท่านพ่อไม่ได้ขัดขวางหมอเทวดาไว้ ตอนนี้หาตัวเขาไม่เจอแล้ว เช่นนั้นท่านพ่อต้องคิดวิธีชดใช้ข้า ข้ารับปากเจินเจินไปแล้ว จะขายหน้านางไม่ได้”
“ปล่อยมือเร็วเข้าๆ” เจียงถังรีบรักษาเคราของตนไว้เป็นพัลวัน “เด็กโง่ พ่อชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้วกัน”
เจียงซือหร่านปล่อยมือจากเคราของเขา “ทางสว่างอะไรเจ้าคะ”
นางรู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อต้องมีวิธีแน่
“รอเมื่อถนนบนเขาใช้การได้ ลองไปหาคุณหนูหลีผู้นั้นดูได้”