หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 323
บทที่ 323
เจียงซือหร่านเบิกตากว้างทันใด นางนึกว่าตนเองฟังไม่ชัดเจนจึงถามซักไซ้ “คุณหนูหลีคนใดเจ้าคะ”
“ก็คุณหนูหลีซานที่ติดอยู่ในภูเขาผู้นั้น”
“ท่านพ่อ ท่านกล่าวล้อเล่นใช่หรือไม่ เพราะอะไรต้องไปหานางด้วย”
เจียงถังยีผมบุตรสาวเบาๆ “เด็กโง่ คุณหนูหลีซานเป็นหลานสาวบุญธรรมของหมอเทวดาหลี่น่ะสิ”
“แล้วจะมีอันใด ท่านก็เป็นบิดาของข้า แต่ข้าหาได้มีความสามารถเช่นท่านไม่!” เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งโกรธ นางกลอกตาขึ้นพลางเอ่ย
เจียงถังกลับหัวเราะเสียงดัง บุตรสาวพูดจาเข้าท่ายิ่งนัก รู้ว่าบิดามีความสามารถ
“ท่านพ่อ ท่านยังจะหัวเราะอีก รู้ทั้งรู้ว่าข้าเกลียดชังคนแซ่หลีผู้นั้นเป็นที่สุด ยังจะเอ่ยถึงนางให้ข้าเสียอารมณ์!” พอเจียงซือหร่านโกรธขึ้นมาก็ดึงเคราของเจียงถังอีก
เจียงถังกล่าวอย่างอ่อนใจ “รีบคลายมือออก โตป่านนี้แล้วยังจะซุกซนไม่เข้าเรื่องอีก”
“ฮึ!” เจียงซือหร่านแค่นเสียงขึ้นจมูก เบือนหน้าหนีไม่กล่าววาจาต่อ
เจียงถังหยักยิ้มเอนหลังพิงผนังตัวรถม้าหลับตาทำสมาธิ
ครั้นเขาไม่เปล่งเสียงพูด เจียงซือหร่านก็ทนไม่ไหว หันหน้ากลับมาพูดวิงวอนเสียงอ่อนๆ “ท่านพ่อ ท่านอย่านอนสิเจ้าคะ ช่วยข้าคิดหาหนทางไวๆ เจินเจินน่าสงสารเหลือเกิน ข้าไม่สนใจนางไม่ได้”
เจียงถังลืมตาขึ้น เขาพูดอย่างจนใจ “พ่อคิดวิธีให้เจ้าแล้วมิใช่หรือ”
“นั่นมันใช่วิธีที่ใดกัน ท่านจะล่อหลอกข้าเล่นๆ แต่ประการเดียว”
“ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ พ่อเคยหลอกเจ้าเมื่อไรกัน”
เจียงซือหร่านอึ้งไป นางเอ่ยอย่างลังเล “หลีซานช่วยเจินเจินได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ช่วยได้หรือไม่ พ่อไม่กล้ารับรอง แต่ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยผู้นั้นมีบาดแผลบนใบหน้ามิใช่หรือ ต่อมาก็ไม่เหลือรอยแผลเป็นแล้วนี่นา”
“ใช่ ข้าจำได้แล้ว” เจียงซือหร่านพูดพึมพำ กระนั้นนางยังไม่เต็มใจจะเชื่อว่าเด็กสาวที่อ่อนวัยกว่าตนจะรู้วิชาแพทย์อะไร นางตบมือแล้วกล่าวขึ้น “นางต้องมีโอสถทิพย์ยาวิเศษของหมอเทวดาอยู่ในมือเป็นแน่”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘โอสถทิพย์ยาวิเศษ’ เส้นเอ็นตรงขมับของเจียงถังก็กระตุกริกๆ อยากจะขว้าง ‘โอสถทิพย์’ สองเม็ดที่เก็บไว้ในอกเสื้อทิ้งไปใจจะขาด
“ท่านพ่อ ถนนบนเขาจะใช้การได้เมื่อไรเจ้าคะ”
“ยังต้องอีกสองสามวัน ดินหินพวกนั้นเก็บกวาดออกได้ไม่ง่าย”
“น่าชังจริงๆ หลีซานเป็นกาลกิณีโดยแท้ ไปถึงที่ใดก็เกิดเรื่องขึ้นที่นั่น”
“หร่านราน หากทำได้ พ่อหวังว่าเจ้าจะเป็นสหายกับคุณหนูหลี”
“เป็นไปไม่ได้!” เจียงซือหร่านพูดเสียงดัง “นางเคยตบหน้าข้าทีหนึ่ง ข้ามิได้เอาแส้ฟาดนางให้หน้าลายก็เป็นบุญแล้ว ไหนเลยจะเป็นสหายกับนางได้”
เจียงถังรู้ดีว่าบุตรสาวเป็นคนดื้อรั้น เขาถอนใจเฮือกแล้วไม่กล่าวอะไรต่ออีก
วัดต้าฝูกลางม่านราตรีแลดูใหญ่ตระหง่านขรึมขลัง แต่กลับไม่สงบเงียบเฉกที่ผ่านมา ด้านในสว่างไสวไปด้วยแสงไฟทั่วทั้งบริเวณ
กลุ่มภิกษุที่ออกไปค้นหาร่องรอยของอู๋เหมยซือไท่ข้างนอกเดินฝ่าแสงจันทร์กลับมาที่วัด
นอกจากภิกษุกลุ่มนี้ ยังมีชายหญิงวัยเยาว์คู่หนึ่งถูกมัดมือมัดเท้าไว้ ทั้งสองโดนลากไปตรงหน้าเจ้าอาวาสวัดต้าฝู
“ท่านเจ้าอาวาส พวกศิษย์พบสองคนนี้ในกระท่อมเก่าหลังหนึ่งกลางป่าลึก ท่าทางน่าสงสัยอย่างยิ่ง”
เจ้าอาวาสมองสองคนนี้แวบหนึ่งก่อนไต่ถาม “มีจุดใดน่าสงสัยหรือ”
“อาภรณ์ที่บุรุษผู้นี้สวมใส่เหมือนกับของคนร้ายที่ตายไปในอารามซูอิ่งวันนี้ทั้งแบบชุดและเนื้อผ้า พวกข้ายังพบแผนผังของวัดต้าฝูกับอารามซูอิ่งในกระท่อมหลังนั้น” หัวหน้ากลุ่มภิกษุยื่นหนังสัตว์ผืนหนึ่งไปให้เจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสคลี่หนังสัตว์ดูปราดหนึ่งแล้วสีหน้าขรึมลงน้อยๆ “อมิตาภพุทธ ท่านทั้งสองมีความสัมพันธ์ใดกับคนร้ายที่สังหารภิกษุณีในอารามซูอิ่ง”
บุรุษวัยเยาว์ยืนคอพับคออ่อน ทิ้งน้ำหนักตัวพิงร่างภิกษุที่พยุงเขาไว้ ไม่มีอาการตอบสนองใดๆ กับคำถามของเจ้าอาวาส
สตรีวัยเยาว์กลับพูดโวยวาย “เจ้าพวกพระหัวโล้นเฒ่าเลอะเลือน รีบปล่อยตัวพวกข้านะ! บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าพวกข้าไม่ได้ฆ่าคน แล้วก็ไม่รู้จักคนร้ายที่ใดด้วย ข้าเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนูสามของจวนใต้เท้าหลีอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิต ส่วนเขาเป็นสารถีของคุณหนูสาม พวกเจ้าจับคนผิดแล้ว”
“ท่านเจ้าอาวาส แม่นางที่อยู่กับกวนจวินโหวท่านนั้นก็คือคุณหนูสามสกุลหลี” ภิกษุรูปหนึ่งขยับเข้าไปกระซิบบอกที่ข้างหูเจ้าอาวาส
“สีกาคือสาวใช้ของคุณหนูสามสกุลหลีหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าพูดจนปากจะฉีกถึงหู พระหัวโล้นพวกนี้ก็ไม่เชื่อ ถ้าท่านยังไม่เชื่ออีก ตามเสวียนจิ่งซือฟู่น้อยมาก็ได้ เขารู้จักข้า!”
“ไปเชิญกวนจวินโหวกับคุณหนูสามมา” เจ้าอาวาสเอ่ยสั่งภิกษุรูปหนึ่งเสียงเบาๆ
“ท่านอาวาส ท่านสั่งคนให้แก้มัดเขาเร็วเข้า บนตัวเขามีบาดแผล โดนพวกท่านลากไปลากมาเช่นนี้ เขาใกล้จะทานทนไม่ไหวแล้ว” ปิงลวี่ร้อนใจสุดจะกล่าว
ถ้ามิใช่เฉินกวงต้องการปกป้องนางคงไม่บาดเจ็บสาหัสปานนี้ ตอนแรกๆ นางนึกว่าเขาร่อแร่เต็มที แต่พอได้พักรักษาตัวหลายวันก็อาการดีขึ้นในที่สุด นางเพิ่งขอบคุณฟ้าดินด้วยความโล่งอก ใครจะรู้ว่าพระหัวโล้นตัวเหม็นพวกนี้จะบุกเข้ามา
“สีกาอย่าได้ร้อนใจ”
“อย่าได้ร้อนใจหรือ ขืนไม่ให้เขาพักผ่อนดีๆ ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไป พวกท่านรับผิดชอบหรือไม่เล่า”
“สีกาพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ให้ได้ก่อนค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” ภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งกล่าวเสียงขรึม
คิ้วสองข้างของภิกษุรูปนี้ทั้งยาวทั้งดำ หางตาชี้ขึ้น ดูไปแล้วแฝงความดุดันไว้หลายส่วน ผิดแผกจากดวงหน้าเมตตาปรานีของเจ้าอาวาส
ทว่าปิงลวี่ไม่กลัวเกรงโดยสิ้นเชิง นางกลอกตาขึ้น “ท่านเจ้าอาวาสยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ท่านถือดีอย่างไรมาปรักปรำผู้อื่น”
“อมิตาภพุทธ หากสีกายังตีฝีปากอีก อาตมาคงได้แต่เชิญพวกท่านไปที่หอวินัยก่อนแล้ว”
“อาศัยอะไรกัน พวกข้ามิใช่ภิกษุของวัดต้าฝูเสียหน่อย”
ภิกษุวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ก็อาศัยที่อู๋เหมยซือไท่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และเหล่าภิกษุณีของอารามซูอิ่งโดนทำร้ายทุกคน”
ปิงลวี่ยิ้มเยาะ “แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกข้า วัดต้าฝูอยู่ใกล้กับอารามซูอิ่งแค่นี้ พวกท่านคุ้มครองซือไท่ทั้งหลายไม่ดี อีกทั้งหาตัวฆาตกรไม่ได้ ก็เลยเข้าไปกลางป่าลึกจับตัวพวกข้ากลับมาหรือ”
คำกล่าวนี้ดังขึ้น ภิกษุหลายรูปก้มหน้าลงอย่างละอายใจ
ภิกษุวัยกลางคนตะเบ็งเสียงบอก “พาพวกเขาไปที่หอวินัย!”
“ศิษย์น้องอย่าวู่วาม…”
“ท่านเจ้าอาวาสคงไม่ได้คิดจะปกป้องพวกเขากระมัง”
“อมิตาภพุทธ ศิษย์น้องกล่าวเช่นนี้เกินกว่าเหตุไปแล้ว” สีหน้าของเจ้าอาวาสบึ้งตึงอยู่บ้าง
เขาชราภาพแล้ว ศิษย์น้องซึ่งเป็นภิกษุเจ้าคณะกำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ตลอดหลายปีมานี้วัดต้าฝูมีฐานะเป็นวัดใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ อยู่ในความสุขสงบเรียบร้อยเสมอมา คราครั้งนี้นับเป็นโอกาสสร้างบารมีจริงๆ มิน่าศิษย์น้องถึงเก็บท่าทีของตนไม่อยู่อีก
“ท่านเจ้าอาวาส” สุ้มเสียงเยือกเย็นของชายหนุ่มดังลอยมาจากผืนราตรี
ปิงลวี่หันศีรษะไปแล้วยินดียกใหญ่อย่างสุดระงับ “คุณหนูๆ บ่าวเองเจ้าค่ะ”
นางตะโกนไปดิ้นขัดขืนไป “รีบปล่อยข้านะ เจ้าพวกพระหัวโล้นตัวเหม็น!”
“ปิงลวี่?” เฉียวเจาสบตากับเซ่าหมิงยวน จากนั้นสาวเท้าฉับๆ เข้าไป
“ปิงลวี่ เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เฉินกวงล่ะ” เฉียวเจาถามจบก็มองตามสายตาปิงลวี่ไป นางอดตกใจไม่ได้ “เฉินกวง?”
นางยื่นมือไปจะจับข้อมือของเฉินกวง แต่ถูกภิกษุวัยกลางคนขวางไว้ “สีกาอย่าผลีผลาม พวกเขาเป็นผู้ต้องสงสัย”
“ผู้ต้องสงสัย?” เฉียวเจาทำสีหน้าปึ่งชาเล็กน้อย “เป็นผู้ต้องสงสัยหรือไม่ ประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้ข้าจะตรวจอาการของเขา”
ภิกษุวัยกลางคนแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง “ผู้ต้องสงสัยสองคนนี้ คนหนึ่งบอกว่าเป็นสาวใช้ของท่าน คนหนึ่งบอกว่าเป็นสารถีของท่าน สีกาจะให้คำอธิบายกับทุกคนสักหน่อยหรือไม่”