หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 325
บทที่ 325
ปิงลวี่เริ่มเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนฟัง “ข้าไม่ระวังพลัดตกเนินเขาไป ตอนฟื้นขึ้นมาพบว่านอนอยู่ริมแม่น้ำ ส่วนเฉินกวงนอนห่างไปไม่ไกล หลังเขาฟื้นขึ้นก็พาข้าไปหลบฝนในกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่ง พรานป่าในกระท่อมยอมให้พวกข้าพักอยู่ด้วย เช้าตรู่วันนี้เขาบอกว่าจะออกไปข้างนอก ผลปรากฏว่าไม่ได้กลับมาอีกเลย กลับมีพระหัวโล้นกลุ่มหนึ่งมา เอาแต่พูดว่าพวกข้ากับคนร้ายที่สังหารพวกซือไท่ในอารามซูอิ่งเป็นพรรคพวกเดียวกัน ซ้ำยังคาดคั้นพวกข้าว่าเอาตัวอู๋เหมยซือไท่ไปซ่อนไว้ที่ใด”
ปิงลวี่ยิ่งพูดยิ่งโกรธเคือง “พวกข้าอธิบายอย่างไร พวกเขาล้วนไม่เชื่อ โดยเฉพาะพระหัวโล้นดุร้ายผู้นั้น ใช้กำลังมัดพวกข้าไว้แล้วพากลับมาโดยไม่คำนึงถึงร่างกายของเฉินกวง เคราะห์ดีที่คุณหนูอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเฉินกวงคงต้องจบชีวิตแล้วเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“พรานป่าผู้นั้นมีอะไรผิดปกติหรือไม่” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
“ผิดปกติ?” ปิงลวี่นิ่งคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เฉินกวงแอบบอกข้าว่าพรานป่าผู้นั้นน่าจะมีวรยุทธ์ไม่เลว ให้ข้าอย่าอยู่ห่างจากเขาแม้แต่ครึ่งก้าว”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาสบตากัน
“น่าจะเป็นคนเดียวกัน” เฉียวเจากล่าว
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “พรุ่งนี้ให้ปิงลวี่ไปชี้ตัวได้”
ปิงลวี่จับต้นชนปลายไม่ถูก “คุณหนู พวกท่านพูดอะไรกันอยู่เจ้าคะ”
เฉียวเจาคลายยิ้ม “พรุ่งนี้เจ้าก็รู้เอง”
“ปิงลวี่ หลายวันมานี้พวกเจ้าอยู่กับพรานป่าผู้นั้นตลอดเลยใช่หรือไม่ จนกระทั่งถึงวันนี้ ระหว่างนั้นเขาออกไปข้างนอกบ้างหรือไม่” เซ่าหมิงยวนซักถามต่อ
“เขาออกไปทุกวันเจ้าค่ะ ตอนกลับมาก็จะเอาสัตว์ที่ล่ามาได้อย่างเช่นพวกกระต่ายหรือไก่ป่า…” ปิงลวี่พูดถึงตรงนี้แล้วเม้มปากยิ้ม “น้ำแกงไก่ป่าตุ๋นนั่นอร่อยมากจริงๆ เจ้าค่ะ”
“พวกเจ้ายังได้เจอคนอื่นอีกหรือไม่” เฉียวเจาเอ่ยถาม
ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าคนร้ายมิใช่คนเดียว แต่ยังมีพรรคพวกด้วย ฉะนั้นพวกเขาวางแผนใหญ่ถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ส่งข่าวถึงกัน
“มีเจ้าค่ะ” ปิงลวี่สร้างความประหลาดใจแกมยินดีให้คนทั้งสอง “พวกข้าไปถึงเป็นวันที่สองก็มีคนมาหาเขา แต่พอเห็นพวกข้า คนผู้นั้นเลยมิได้เข้ามาในกระท่อม หลังจากนั้นไม่เคยเห็นอีกเลยเจ้าค่ะ”
“คนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร”
ปิงลวี่ขมวดคิ้ว “มองไม่เห็นเจ้าค่ะ เขาสวมงอบไว้”
เฉียวเจามองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่ง
“วันนั้นไม่ได้มีฝนตก กระท่อมเก่าก็ตั้งอยู่กลางป่าลึก ตามหลักแล้วถ้าไปหาพรรคพวก ไม่จำเป็นต้องสวมงอบ เพราะทำเช่นนี้กลับโดดเด่นสะดุดตามากขึ้น” เขากล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์
ทั้งคู่สบตากันแล้วพูดประสานเสียงกัน “เว้นแต่ว่าจะปกปิดจุดเด่นที่ชัดเจนยิ่งกว่า!”
ปิงลวี่ตกใจจนอ้าปากค้าง นางมองเซ่าหมิงยวนแล้วค่อยมองเฉียวเจาอีกที “คุณหนู พวกท่านพูดอะไรกันอยู่เจ้าคะ”
เขากับนางต่างไม่สนใจปิงลวี่
“ด้วยเหตุนี้เป็นไปได้มากว่าฐานะของเขาก็คือ…” ติดขัดที่ปิงลวี่อยู่ด้วย เฉียวเจาจึงมิได้พูดประโยคหลังออกมา
ใช่ว่านางไม่เชื่อใจสาวใช้ของตน ทว่าปิงลวี่หุนหันพลันแล่นเกินไป ทันทีที่รู้ก็จะเผลอหลุดปากได้ง่าย
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า “ใช่”
ปิงลวี่งุนงงมากขึ้น “คุณหนู ไฉนข้ารู้สึกว่าไม่พบกันไม่กี่วัน พวกท่านพูดอะไรกันข้าล้วนฟังไม่เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาตบแขนนางเบาๆ อย่างปลอบใจ นางมองเซ่าหมิงยวนพลางพูด “ที่ข้าแปลกใจคือหากพรานป่าที่ให้ที่พักกับพวกปิงลวี่เป็นคนร้ายผู้นั้น ในช่วงเวลาสำคัญเฉกนี้ เหตุใดเขาไม่ลงมือกับพวกปิงลวี่เล่า”
เซ่าหมิงยวนชำเลืองมองเฉินกวงที่สลบไสลไม่ได้สติอยู่ก่อนกล่าวเสียงขรึม “มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคือเฉินกวงแสดงวรยุทธ์ออกมาทำให้เขากริ่งเกรงระวัง จึงไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่นในสถานการณ์ที่ยังไม่มั่นใจเต็มที่ แล้วก็ความเป็นไปได้อีกทาง…”
“เบี่ยงเบนความสนใจ เป็นการอำพรางให้คนร้ายตัวจริงที่ลักพาตัวอู๋เหมยซือไท่ไป?” เฉียวเจาพูดเสริมขึ้น
“ใช่ นี่คือความเป็นไปได้ทางที่สอง หรืออาจพบว่ารับมือเฉินกวงได้ไม่ง่าย อีกฝ่ายถึงเกิดความคิดนี้ขึ้นกะทันหัน”
“ปิงลวี่ คนที่สวมงอบนศีรษะผู้นั้นสูงประมาณใด ผอมหรืออ้วน”
“ตอนนั้นข้าเหลือบดูแค่แวบเดียว สูงกว่าข้าราวสามสี่ชุ่น ดูแล้วผอมเอาการอยู่เจ้าค่ะ”
เฉียวเจาพูดเป็นเชิงรำพึง “ในหมู่สตรีปิงลวี่ถือว่าร่างสูงปานกลางเท่านั้น ถ้าสูงกว่าสามสี่ชุ่น แสดงว่าในหมู่บุรุษคนผู้นั้นค่อนข้างเตี้ย”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาประสานสายตากัน ต่างมีภาพคร่าวๆ ในใจแล้ว
ภิกษุในวัดต้าฝูที่ตัวไม่สูงและค่อนข้างผอม เป็นไปได้มากว่าจะออกบวชหลังเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งออกไปทำงานนอกวัดโดยไม่เป็นที่สงสัยได้ทุกเวลา
ในวัดต้าฝูอาจมีภิกษุจำนวนมาก แต่คนที่ตรงกับเงื่อนไขเหล่านี้ต้องมีอยู่ไม่มากแน่นอน อย่างน้อยสามารถสืบหาตัวออกมาได้
“ออกไปกันเถอะ” เซ่าหมิงยวนบอกเสียงนุ่ม
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้าแล้วบอกกับสาวใช้ “ปิงลวี่ เจ้าอยู่ดูแลเฉินกวงนะ”
เซ่าหมิงยวนมองนางอย่างหลากใจ
ปิงลวี่เป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนูหลี ก่อนหน้านี้เป็นเหตุสุดวิสัย เพราะอะไรตอนนี้คุณหนูหลีถึงทิ้งนางไว้ดูแลเฉินกวง
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น “ข้าดูแลคนได้ไม่ดีเท่าปิงลวี่” อันว่าทุกคนมีความถนัดต่างกัน
เซ่าหมิงยวนกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง “อืม ปิงลวี่ดูแลเฉินกวงก็เหมาะสมดี”
ทั้งคู่เดินเคียงไหล่กันออกจากกระท่อม ทิ้งปิงลวี่ซึ่งทำสีหน้าชอบกลไว้ที่เดิม
นางรู้สึกไม่วายว่าดูเหมือนระหว่างคุณหนูกับแม่ทัพเซ่าจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น
ผืนฟ้าด้านนอกดารดาษไปด้วยดวงดารา เจ้าอาวาสกับคนอื่นๆ ต่างคนต่างกลับห้องไปนานแล้ว เหลือภิกษุที่เฝ้าอยู่นอกประตูสองสามรูป พอเห็นเขากับนางออกมาก็เบนสายตามามองทันที
“หวังว่าซือฟู่ทุกท่านจะช่วยดูแลคนป่วยในห้องให้ดีด้วยขอรับ” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างมีมารยาท
“ท่านโหวโปรดวางใจ ท่านเจ้าอาวาสได้สั่งกำชับไว้แล้ว” ภิกษุรูปหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ซือฟู่โปรดนำทางด้วย พวกข้าอยากไปบอกกล่าวท่านเจ้าอาวาสสักคำ”
“ประสกกับสีกาเชิญทางนี้” ภิกษุนำทางทั้งสองไปยังที่พำนักของเจ้าอาวาส
เวลาหนึ่งถ้วยชาให้หลัง เขากับนางเดินออกจากที่พำนักของเจ้าอาวาสกลับไปที่กระท่อมไม้ไผ่
เฉียวเจาหยุดยืนหน้าประตู
ใต้แสงเดือน รอบกระท่อมไม้ไผ่เงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงใบไผ่เสียดสีกัน
“คุณหนูหลียังไม่อยากนอนหรือ” เซ่าหมิงยวนกล่าวถาม
เฉียวเจาสาวเท้าหลายก้าวเดินไปทางป่าไผ่ นางพูดเสียงเบา “ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของซือไท่อยู่สักหน่อย แม้จะพูดว่าซือไท่มีของที่อีกฝ่ายอยากได้อยู่ในมือ จึงยังปลอดภัยไม่เป็นอันตรายในขณะนี้ แต่หากฝ่ายนั้นโดนไล่ต้อนหนักเข้า อาจจะเป็นสุนัขจนตรอกก็เป็นได้”
“หวังว่าพรุ่งนี้จะหาตัวคนผู้นั้นพบ” เซ่าหมิงยวนยื่นมือออกไป คิดจะปลอบประโลมเด็กสาวดังเช่นที่เคยทำกับเหล่าทหารนักรบมานับครั้งไม่ถ้วน กลับตระหนักได้ฉับพลันว่าคนตรงหน้าไม่เหมือนกับพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขาเหล่านั้น
เขาจำต้องปล่อยมือลงโดยไม่ให้ผิดสังเกต ก่อนจะกล่าวเสียงนุ่มว่า “อย่าคิดมากเกินไป พวกเราพยายามสุดความสามารถแล้ว ที่เหลือขึ้นอยู่กับสวรรค์กำหนด”
ใต้หล้านี้สิ่งที่ยากหยั่งเดาที่สุดคือใจคน อีกฝ่ายจะบังเกิดความคิดสังหารอู๋เหมยซือไท่เวลาใดเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก
เฉียวเจาหลุบตาลงเพ่งมองพื้นดินที่อาบไล้ด้วยแสงสีเงินยวงพลางพูดเอื่อยๆ “ทำให้ดีที่สุด ผลสำเร็จเป็นฟ้าลิขิต ข้าเข้าใจสัจธรรมนี้ได้”
เหมือนกับที่นางรู้ว่าตนเองปลอดภัยแล้ว แต่ยังคงไม่อยากไปนอนอยู่ดี
นางกลัวว่าเมื่ออยู่ในความเงียบ จะนึกถึงความรู้สึกหายใจไม่ออกตอนที่คนร้ายผู้นั้นคร่อมทับตัวนางไว้
“หรือไม่ก็…” นางอยากพูดว่า ‘หรือไม่ก็คุยสัพเพเหระกันตามสบาย’
คนบางคนกลับพูดต่อให้ “หรือไม่ก็ข้าไปทำอะไรมาให้ท่านกินจะดีกว่า”
“แม่ทัพเซ่าทำอาหารเป็นหรือ”