หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 327
บทที่ 327
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจายิ้มๆ ก่อนพูดต่อท้ายว่า “กับคุณหนูหลี”
เฉียวเจาอึ้งงัน คนผู้นี้ยังมีความเสียสละอยู่สักนิดหรือไม่
ชั่วขณะนี้ บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงันอันพิลึกพิลั่น
หัวหน้าภิกษุกระแอมกระไอเบาๆ ทำลายความเงียบ “ถึงท่านโหวกับคุณหนูหลีจะอยู่ด้วยกัน แต่นี่เกรงว่าจะพิสูจน์อะไรไม่ได้กระมัง”
“กระดูกไก่ยังฝังอยู่ในหลุมตรงท้ายป่าไผ่โน่น ตอนนี้น่าจะยังอุ่นๆ อยู่ สำหรับพยาน…” ชายหนุ่มกวาดตามองเหล่าภิกษุแล้วหยุดสายตาที่จุดๆ หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “ซือฟู่สองท่านที่คุ้มกันจิ้งซีซือฟู่เป็นพยานได้”
เหล่าภิกษุมองไปทางภิกษุสองรูปนั้นทันที
หัวหน้าภิกษุไต่ถามเสียงขรึม “ศิษย์น้องทั้งสองอยู่ที่นั่นในตอนนั้นหรือไม่”
ภิกษุสองรูปสบตากันแล้วหนึ่งในนั้นเอ่ยตอบ “ตอนนั้นประสกกับสีกาย่างไก่ป่าอยู่จริงๆ”
หัวหน้าภิกษุถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับความจริงนี้ไม่ได้ “เวลานั้นศิษย์น้องทั้งสองยังไม่เข้านอนอีกหรือ”
ภิกษุสองรูปนิ่งเงียบเป็นเชิงยอมรับ พวกเขารำพึงในใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จะนอนหลับได้หรือ กลิ่นไก่ย่างหอมหวนถึงเพียงนั้น
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงลอบขบขัน กลับสัมผัสได้ว่ามีสายตาคุ้นเคยคู่หนึ่งจับอยู่ที่ตัวเขา
เขาหันศีรษะไป ยกมุมปากขึ้นอมยิ้มกับเด็กสาวที่มองเขาอยู่
เฉียวเจาดึงสายตากลับทันควัน นางเม้มปากแน่น
เช่นนี้แสดงว่าตอนทั้งสองคนย่างไก่อยู่ เขาก็จับได้ว่ากลิ่นหอมดึงดูดความสนใจของภิกษุสองรูปให้มาดูแล้ว ทว่ายังทำหน้าตาเฉยกินอย่างเอร็ดอร่อยได้อีกหรือนี่
เจ้าอาวาสเอ่ยปากขึ้น “เป็นความเข้าใจผิดเท่านั้น หวังว่าท่านโหวกับคุณหนูหลีอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง”
เซ่าหมิงยวนพูดเสียงเรียบ “พวกข้าเข้าใจจิตใจของซือฟู่ทุกท่านได้”
“ท่านเจ้าอาวาส ข้าอยากไปดูสักหน่อยว่าตอนนี้สารถีของข้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าว
เมื่อเจ้าอาวาสพยักหน้าตกลง เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนจึงเดินไปทางห้องพักแขก
ประตูห้องปิดสนิท ทว่าข้างในจุดไฟสว่างอยู่
พอเฉียวเจาตบประตู เสียงของปิงลวี่ดังมาจากข้างในทันที “เลิกเคาะได้แล้ว ข้าไม่มีวันปล่อยภิกษุหัวโล้นอย่างพวกเจ้าเข้ามาหรอก”
“ปิงลวี่ ข้าเอง”
ประตูเปิดผลัวะออก ปิงลวี่ถือเก้าอี้ตัวหนึ่งไว้ ดวงตาของนางแดงก่ำ “คุณหนู ได้เจอท่านกับแม่ทัพเซ่าจนได้”
“เฉินกวงเป็นอย่างไรบ้าง” เฉียวเจาถาม
ปิงลวี่วางเก้าอี้ลง นางถลึงตาใส่ภิกษุที่มากับเฉียวเจาและเซ่าหมิงยวน พลางกล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “เฉินกวงไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แต่เมื่อครู่พระหัวโล้นตัวเหม็นพวกนี้อยู่ด้านนอกตบประตูดังสนั่นหวั่นไหว ตะโกนขู่ฆ่าท้าตีท้าต่อย ข้าเลยยันประตูไว้สุดชีวิตไม่เปิดให้พวกเขา”
ภิกษุที่มาด้วยกันไม่ชอบใจเสียแล้ว เขาประนมมือคารวะ “อมิตาภพุทธ สีกาเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่ในวัดเกิดคดีฆ่าคนตายขึ้น เดิมคิดจะมาสอบถามสถานการณ์ทางประสกกับสีกาสองคน”
ปิงลวี่ทำเสียงฮึขึ้นจมูก “เฉินกวงสลบไสลไม่ได้สติ ส่วนข้าเป็นแค่สตรีนางหนึ่ง พวกเจ้ามาสอบถามสถานการณ์อะไรกัน เห็นชัดว่าเจตนาไม่ดี ตั้งใจจะป้ายความผิดให้พวกข้าส่งเดชต่างหาก”
สาวใช้น้อยพูดถึงตรงนี้แล้วเดินไปคล้องแขนกับเฉียวเจา “คุณหนู เมื่อครู่ข้าไม่เปิดประตู ทำได้ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจายกมือหยิกแก้มนาง “ดีมาก”
ในยามที่เหตุการณ์ไม่แน่ชัดและสุดปัญญาจะทำอะไรได้ การหลบหลีกเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ
“ข้าไปดูเฉินกวงสักหน่อย” เฉียวเจาบอกกับเซ่าหมิงยวนแล้วก้าวขาเดินเข้าไป
เขายืนอยู่หน้าประตูมองดูเด็กสาวโน้มตัวไปตรวจอาการผู้ใต้บังคับบัญชาของตน นางยื่นมือไปอังหน้าผากเฉินกวงก่อน ค่อยอังหน้าผากของตนเองอีกที จากนั้นยังยกข้อมือของเฉินกวงขึ้นมาจับชีพจร
ชายหนุ่มมองอยู่เช่นนี้อย่างสงบนิ่ง หากสายตาทอประกายเข้มขึ้นทีละน้อย
ปิงลวี่มองผู้เป็นนายแล้วมองเซ่าหมิงยวนอีกที นางเริ่มงุนงงมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉียวเจาตรวจอาการเสร็จก็พยุงลำตัวท่อนบนของเฉินกวงขึ้นพร้อมเอ่ยสั่ง “ปิงลวี่ รินน้ำอุ่นมาถ้วยหนึ่ง”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ขานรับแล้วรินน้ำมาให้อย่างฉับไว
นางรับถ้วยน้ำมาจ่อข้างปากเฉินกวง บอกเสียงนุ่มว่า “เฉินกวง ดื่มน้ำสักนิดนะ”
เฉินกวงไม่มีอาการตอบสนองใดๆ
“มาช่วยข้าประคองเขาอีกแรง” เฉียวเจาบอกกับสาวใช้
ปิงลวี่รีบทำตามคำสั่ง
“เฉินกวง เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ อ้าปากดื่มน้ำ”
ริมฝีปากของเฉินกวงอ้าเปิด ทว่าน้ำที่เทเข้าไปกลับไหลออกทางมุมปากมากกว่าครึ่ง
ตอนแรกเซ่าหมิงยวนตั้งท่าจะเข้าไปช่วย แต่เห็นภาพนี้แล้วราวกับฝ่าเท้าเขาถูกตรึงไว้กับพื้น ไม่อาจขยับได้สักก้าว
ราตรีนั้นเขาหมดสติไม่รู้สึกตัว คุณหนูหลีป้อนยาให้เขาได้อย่างไร
เฉียวเจาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากเฉินกวง นางระบายลมหายใจเฮือก “ยังดีที่ดื่มเข้าไปได้เล็กน้อย ปิงลวี่ อย่าลืมป้อนน้ำเขาเช่นนี้ทุกๆ ครึ่งชั่วยาม ไม่ว่าดื่มได้เท่าไรก็แล้วแต่”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
นางลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่า พวกเราออกไปกันเถอะ”
เขายืนนิ่งไม่ขยับ นัยน์ตาสีดำสนิทเพ่งมองเรียวปากสีชมพูอ่อนของเด็กสาว
นี่เขามองตรงที่ใดอยู่นะ
แม่นางเฉียวขมวดคิ้ว ส่งเสียงเรียกอย่างกังขา “แม่ทัพเซ่า?”
เซ่าหมิงยวนดึงสติคืนมา เขาไอเบาๆ ทีหนึ่ง “ไปเถอะ”
ไม่รอเฉียวเจาพูดตอบ เขาก็หมุนกายเดินฉับๆ ออกไปก่อน
เฉียวเจาจับต้นชนปลายไม่ถูก นางโคลงศีรษะแล้วรีบตามไป
คนผู้นี้ขาก็ยาวก้าวก็ยาวเหลือเกิน ขืนไม่ไล่ตามไปอีกคงโดนทิ้งไปไกลหลายโยชน์แล้ว
สำหรับภิกษุในวัดต้าฝู ค่ำคืนนี้คงยากจะข่มตานอนหลับได้เป็นแน่แท้ ทุกหนแห่งสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ กระทั่งนกที่หลับสนิทบนต้นไม้ยังตกใจตื่นเพราะความอึกทึกวุ่นวายนี้ พากันบินจากไปหาที่สงบเงียบ
ศพของเจ้าคณะยังคงอยู่ในห้องของเขา
เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาส เซ่าหมิงยวนจึงเข้าไปร่วมตรวจสอบด้วย
บาดแผลที่ทำให้เขาถึงแก่ความตายอยู่ที่กลางหลัง
“ท่านเจ้าอาวาส ข้าคิดว่าคนที่สังหารท่านเจ้าคณะเป็นภิกษุในวัดขอรับ”
เซ่าหมิงยวนกล่าวคำนี้ออกจากปาก ส่งผลให้เหล่าภิกษุมองมาด้วยความโกรธเคืองทันใด
หัวหน้าภิกษุกล่าวอย่างหัวเสีย “ท่านโหวคิดว่าพวกศิษย์พี่ของอารามซูอิ่งรวมถึงท่านเจ้าคณะถูกศิษย์ในวัดนี้สังหารหรือ ท่านกล่าวเช่นนี้มีหลักฐานหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนมองเขาปราดหนึ่งก่อนพูดอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน “แน่นอนว่าเป็นแค่การสันนิษฐาน”
“ท่านโหวอ้างอิงจากสิ่งใด” เจ้าอาวาสไต่ถาม
เซ่าหมิงยวนยกมือชี้ “ท่านเจ้าอาวาสดูสิ ของตั้งประดับในห้องท่านเจ้าคณะไม่ตกหล่นกระจัดกระจายสักชิ้น พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้ต่อสู้กับคนร้าย แต่โดนสังหารอย่างไม่ทันตั้งตัวแม้แต่น้อย”
“นี่จะบ่งบอกอะไรได้ ตอนนั้นท่านเจ้าคณะหลับสนิทอยู่ เป็นธรรมดาที่จะไม่ทันตั้งตัว”
“ไม่ใช่ ขณะนั้นท่านเจ้าคณะตื่นแล้ว อีกทั้งเขายังพาคนร้ายเข้ามาในห้องด้วยตนเอง” เฉียวเจากล่าวต่อ
“เป็นไปไม่ได้ ตอนพวกอาตมาเข้ามาก็เห็นท่านเจ้าคณะฟุบคว่ำอยู่บนเตียงแล้ว” เหล่าภิกษุพากันโต้แย้งขึ้น
เฉียวเจาหันไปมองเซ่าหมิงยวน เขาส่งยิ้มให้นางน้อยๆ เป็นเชิงบอกให้นางเป็นคนพูด
นางก็ไม่เกรงใจ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “หลังจากซือฟู่ทุกท่านเข้ามา ได้ขยับตัวท่านเจ้าคณะหรือไม่”
“ไม่เลย หลังยืนยันว่าท่านเจ้าคณะสิ้นลมแล้วก็ปล่อยให้อยู่ในสภาพเดิมตลอด”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ดังนั้นนี่มิใช่เรื่องที่เห็นได้ชัดเจนหรอกหรือ ร่างของท่านเจ้าคณะอยู่บนผ้าห่มผืนนี้ทั้งหมด แสดงว่าเขาโดนลอบสังหารแล้วคนร้ายเอาตัวไปวางบนเตียง”
“ยังมีลักษณะบาดแผล” เซ่าหมิงยวนกล่าวเสริมขึ้น “หากท่านเจ้าคณะโดนลอบสังหารขณะนอนหลับอยู่ บาดแผลจากการโดนแทงไม่สมควรเป็นมุมเช่นนี้ ต้องเป็นการแทงลงเอียงๆ ส่วนลักษณะของแผลนี้เกิดจากฆาตกรแทงตรงเข้าทางข้างหลังต่างหาก”
ภิกษุทั้งหลายมองหน้ากันไปมา มีรูปหนึ่งถามขึ้น “แล้วพิสูจน์ได้เช่นไรว่าท่านเจ้าคณะพาฆาตกรเข้ามาในห้อง”
“หน้าต่างปิดอยู่ ในเมื่อท่านเจ้าคณะโดนคนใช้ของมีคมแทงกลางหลัง คงมีแต่เขาที่เป็นคนเปิดประตูให้คนผู้นั้นแล้วโดนปลิดชีพตอนหันหลังเดินเข้าข้างใน”
เซ่าหมิงยวนกวาดตามองเหล่าภิกษุรอบหนึ่ง “นี่บ่งบอกได้ว่าท่านเจ้าคณะไว้วางใจฆาตกรอย่างมาก”