หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 328
บทที่ 328
คำกล่าวนี้ดังขึ้น สีหน้าของภิกษุทั้งหลายเคร่งขรึมไปตามๆ กัน
พวกเขาไม่โง่งม ย่อมรู้แน่นอนว่าเซ่าหมิงยวนพินิจพิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล
ตอนกลางดึก หากไม่ใช่คนที่เชื่อใจ จะเปิดประตูให้เขาเข้ามาได้อย่างไร นี่บ่งชัดได้ว่าฆาตกรคือภิกษุในวัดอย่างสิ้นข้อกังขา แล้วข้อประจักษ์นี้ทำให้ทุกคนในที่นี้อยู่ในอารมณ์ตึงเครียดกันหมด
“คงอวิ๋น เรียกศิษย์ทุกคนในวัดมารวมตัวกันในอุโบสถ” เจ้าอาวาสออกคำสั่ง
คงอวิ๋นหัวหน้าภิกษุขานรับ
ไม่นานนัก เสียงระฆังทุ้มต่ำดังก้องกังวานไปทั่ววัดไม่ขาดสาย
ยามดึกเงียบสงัด เสียงระฆังดังจนได้ยินไปไกล กระทั่งคนที่เร่งเก็บกวาดเปิดเส้นทางขึ้นลงภูเขาทั้งกลางวันกลางคืนตรงเชิงเขาลั่วสยายังตกใจตื่นขึ้น
เจียงสืออีดีดตัวลุกขึ้นไปหาเซ่าจือทันใด “ในวัดเกิดเรื่องใดขึ้น ท่านโหวส่งข่าวอะไรออกมาอีกหรือไม่”
“ไม่มี” เซ่าจือตอบคำหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ เขาทอดสายตามองไปไกลๆ ทางวัด
คนมากมายตรงเชิงเขาต่างหมดแก่ใจนอนต่ออีก
ด้านภิกษุที่หลับสนิทอยู่ในวัดก็สะดุ้งตื่นกันหมด ต่างกุลีกุจอสวมจีวรแล้วรุดไปที่อุโบสถใหญ่
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจามองดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ ตลอดเวลาในฐานะคนนอก
“ง่วงนอนแล้วหรือไม่” เขาเบนหน้ามาถามกะทันหัน
นัยน์ตาของเด็กสาวสุกใสแวววาวกลางม่านรัตติกาล นางส่ายหน้าเบาๆ “จะนอนหลับได้อย่างไรเจ้าคะ”
“วางใจได้ คนผู้นั้นควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ กลับเป็นฝ่ายเผยตัวออกมาเอง อีกไม่นานความจริงจะปรากฏชัดแล้ว”
“นั่นสิ แค่ไม่รู้ว่าซือไท่เป็นเช่นไรบ้าง” เฉียวเจามองไกลๆ ไปทางเจ้าอาวาสแวบหนึ่ง
เขาผงกศีรษะให้คนทั้งสองเล็กน้อยราวกับรับรู้ได้
เจ้าอาวาสจัดแบ่งภิกษุทั้งหมดออกเป็นหลายกลุ่มโดยไม่แบ่งอาวุโส ทำการไล่ค้นที่พำนักของทุกคนไปทีละห้องๆ ภายในวัดต้าฝูสว่างไสวดุจยามกลางวันจวบจนฟ้าสาง โคมไฟถึงดับมอด
เหล่าภิกษุคว้าน้ำเหลวกลับมารวมตัวกันที่อุโบสถ
คงอวิ๋นหัวหน้าภิกษุกล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาส ค้นที่พำนักของศิษย์ทุกรูปหมดแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด ข้าว่าเชิญสารถีกับสาวใช้ของคุณหนูหลีออกมาถามให้รู้เรื่องจะดีกว่า”
“ไยซือฟู่ไม่รออีกประเดี๋ยวเจ้าคะ”
“ยังจะรออะไรอีก ท่านโหวบอกว่าฆาตกรคือภิกษุในวัด แต่จนบัดนี้ยังไม่พบความผิดปกติใดๆ ขณะที่สองคนนั้นกลับมีจุดน่าสงสัยมากมาย ถึงพวกเขาไม่ใช่ฆาตกร ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรเป็นแน่”
“มีส่วนเกี่ยวข้องจริง สาวใช้ของข้าเห็นรูปลักษณ์สัณฐานของคนที่เป็นพรรคพวกเดียวกับพรานป่า” เฉียวเจาพลันเอ่ยขึ้น
เหล่าภิกษุตกใจไปตามๆ กัน คงอวิ๋นหัวหน้าภิกษุทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกะทันหัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดคุณหนูหลีไม่บอกออกมาแต่แรก”
เฉียวเจายิ้มแล้ว “บอกออกมาแต่แรก จะให้ฆาตกรตัวจริงสังหารคนปิดปากหรือเจ้าคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญสีกาผู้นั้นออกมาชี้ตัวฆาตกรเถอะ” คงอวิ๋นพูดเสียงปึ่งชา
เฉียวเจาไม่กล่าวตอบ นางเบือนหน้าไปมองเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสบอกเสียงขรึม “ทุกคนอย่าเพิ่งร้อนใจ รออีกประเดี๋ยวเถอะ”
“ท่านเจ้าอาวาสยังจะรออะไรอีก” คงอวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ
เจ้าอาวาสเพียงยิ้มไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
ผ่านไปสองเค่อ ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเดินเข้ามากระซิบพูดสองสามคำที่ข้างหูเจ้าอาวาส เขาพยักหน้าแล้วเผยสีหน้ายินดี
รอเมื่อภิกษุหนุ่มพูดจบแล้วถอยออกไปด้านข้าง เจ้าอาวาสกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่งก่อนกล่าวยิ้มๆ “พบตัวซือไท่แล้ว”
“พบตัวซือไท่แล้ว?” เหล่าภิกษุมองหน้ากันไปมาอย่างตื่นตะลึง ต่างซักถามเป็นการใหญ่ “ท่านเจ้าอาวาส ซือไท่อยู่ที่ใด พบตัวได้อย่างไร”
พวกเขาทั้งหลายออกค้นตามที่พำนักของแต่ละรูปอยู่ตลอด แล้วเจ้าอาวาสสั่งคนไปตามหาซือไท่เมื่อใด
ทุกรูปอดหันไปมองภิกษุหนุ่มไม่ได้ ถึงแจ่มแจ้งในบัดดลเวลานี้ ก่อนหน้านี้จิ้งซวีศิษย์น้อยของเจ้าอาวาสไม่ได้ปรากฏตัวเลย เพียงเพราะว่าเขาอายุยังน้อยด้อยประสบการณ์ก็เลยไม่มีใครสนใจ
“คงอวิ๋น ตอนนี้เจ้าบอกมาได้แล้วกระมังว่าเหตุใดต้องลักพาตัวซือไท่และสังหารท่านเจ้าคณะ” เจ้าอาวาสมองคงอวิ๋นพร้อมกับโพล่งถาม
ถ้อยคำนี้ดังขึ้นละม้ายฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อมของเหล่าภิกษุ ทุกคนถอยออกด้านข้าง ทำให้คงอวิ๋นโดดเด่นออกมา
เขาทำสีหน้าตะลึงพรึงเพริด “ท่านเจ้าอาวาสกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอะไร ศิษย์ฟังไม่เข้าใจ”
“จิ้งซวี เจ้าบอกคงอวิ๋นสิว่าพบตัวซือไท่ที่ใด”
จิ้งซวีแสดงคำนับต่อเจ้าอาวาสแล้วกล่าวเสียงดังกังวาน “พบซือไท่ในคลังเก็บธัญพืช”
เหล่าภิกษุมองไปทางคงอวิ๋นด้วยสายตาที่ผิดไปจากเดิมหลายส่วน
คงอวิ๋นยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี “ถึงแม้ศิษย์เป็นผู้ดูแลของวัดซึ่งทำหน้าที่คุมห้องคลังอยู่ แต่พบตัวซือไท่ที่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าเกี่ยวข้องกับศิษย์”
เจ้าอาวาสมีสีหน้าหนักอึ้ง เขามองคงอวิ๋นพลางโคลงศีรษะทอดถอนใจ “เมื่อคืนกวนจวินโหวไปหาข้าก่อนกลับไป ได้บรรยายลักษณะที่เป็นไปได้มากที่สุดของฆาตกรไว้ว่าร่างเล็กผอม ออกบวชหลังเติบใหญ่แล้ว และออกไปทำงานนอกวัดโดยไม่เป็นที่สงสัยได้ทุกเวลา”
“ทว่าศิษย์ที่ตรงกับลักษณะเหล่านี้มีอยู่ไม่น้อย”
เจ้าอาวาสมองเขาอย่างพินิจแล้วถามอย่างเยือกเย็น “ถ้าประกอบกับเมื่อหลายปีก่อนยังอาจจะเป็นชาวบ้านหนีภัยหรือขอทานที่เกือบหิวตายตรงเชิงเขาด้วยเล่า”
สีหน้าของคงอวิ๋นนิ่งขึงไป
เจ้าอาวาสถอนใจเฮือกหนึ่ง “ข้าสั่งให้ศิษย์พลิกดูทะเบียนรายชื่อทั้งคืน ยี่สิบปีมานี้ศิษย์ที่ตรงกับจุดนี้มีอยู่ไม่เกินเจ็ดคน แล้วในเจ็ดคนนี้ที่ยังตรงกับสามจุดนั้นด้วยมีเจ้าคนเดียว”
คงอวิ๋นหัวร่ออย่างกลั้นไม่อยู่ “ดังนั้นท่านเจ้าอาวาสจึงสงสัยศิษย์ใช่หรือไม่ อาศัยแค่การคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าของคนนอกสองคนก็จะตัดสินโทษศิษย์หรือ”
“ซิ่นไห่…”
ภิกษุวัยกลางคนอีกรูปหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า ประคองถาดใบหนึ่งด้วยสองมือ บนนั้นวางอาภรณ์ที่พับไว้อย่างเรียบร้อย
คงอวิ๋นเห็นอาภรณ์บนถาดแล้วหน้าเสียทันใด
“นี่เป็นชุดของผู้มาจุดธูปไหว้พระที่ค้นเจอในห้องศิษย์พี่คงอวิ๋น ยังมีคราบเลือดติดอยู่”
เจ้าอาวาสมองคงอวิ๋นนิ่งๆ “คงอวิ๋น เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
คงอวิ๋นมองเจ้าอาวาสตาเขม็ง ความรู้สึกที่ฉายทางสีหน้าแปรปรวนเกินหยั่ง ผ่านไปเป็นนานเขาถึงถอนใจยาวเหยียดกล่าวขึ้น “ที่แท้ท่านเจ้าอาวาสเล่นละครฉากหนึ่ง เรียกศิษย์ในวัดมารวมตัวกันแล้วให้ข้าเป็นหัวหน้าพาคนออกค้นหาทั้งสี่ทิศ เพื่อไม่ให้ข้ามีเวลากำจัดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดกระมัง”
“จับกุมคงอวิ๋นไว้” เจ้าอาวาสหันหลังไป
ภิกษุนักยุทธ์ที่รออยู่ด้านข้างแต่แรกล้อมคงอวิ๋นไว้ทันใด
“สายไปแล้ว…” คงอวิ๋นฝืนเค้นเสียงกล่าวคำนี้ออกมา จากนั้นโลหิตสีดำก็ไหลออกมาทางมุมปาก
ชั่วเสี้ยวขณะที่เห็นจิ้งซวีปรากฏตัวขึ้น เขาก็กัดกระเปาะพิษที่ซ่อนอยู่ในฟันจนแตก
คงอวิ๋นตาเหลือก พูดเสียงงึมงำ “ข้าเสียใจภายหลังจริงๆ…”
หากมิใช่เพราะบุญคุณอาหารมื้อหนึ่งในครั้งนั้นทำให้เขาใจอ่อนขอร้องให้พรรคพวกไว้ชีวิตจิ้งซี ใช่หรือไม่ว่าคงไม่ทิ้งพิรุธไว้จนทำให้คนสงสัยมาถึงตัวเขาได้
นัยน์ตาของคงอวิ๋นเหลือกลาน เขาหมดลมหายใจไปแล้ว
ทุกคนได้ยินถ้อยคำสุดท้ายที่เขายังพูดไม่จบ แต่เดาไม่ออกว่าเขาเสียใจภายหลังด้วยเรื่องใดกันแน่ไปตลอดกาล
“อมิตาภพุทธ…” เจ้าอาวาสถอนใจยาวเหยียด “จิ้งซวี เจ้านำทางสิ พวกเราไปดูกันว่าซือไท่เป็นอย่างไรบ้าง”
ตอนเฉียวเจาพบกับอู๋เหมยซือไท่ นางนั่งพิงหมอนด้วยสีหน้าอิดโรย แต่แววตาสงบนิ่ง
“พวกเจ้ามาแล้วหรือ” อู๋เหมยซือไท่แย้มมุมปากออก “ศิษย์พี่เจ้าอาวาส ข้าอยากพูดคุยกับคุณหนูหลีตามลำพัง”
เจ้าอาวาสพยักหน้าแล้วถอยออกไปพร้อมกับพวกเซ่าหมิงยวน
ในห้องเหลือแค่อู๋เหมยซือไท่กับเฉียวเจา
“ซือไท่ ท่านรู้สึกเป็นเช่นไร ข้าตรวจชีพจรให้ท่านได้หรือไม่”
อู๋เหมยซือไท่คลายยิ้ม “อาตมาไม่ได้โดนทำร้ายทารุณ แค่ไม่ได้กินอะไรเลยเท่านั้น”
“ข้าไปทำโจ๊กเปล่ากับของกินแกล้มมาให้ท่านดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไม่รีบ” อู๋เหมยซือไท่ห้ามนางไว้ เอ่ยถามเสียงเรียบ “คงตกอกตกใจสินะ”