หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 34
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับอู่ซื่อลูกสะใภ้เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน ชั่วอึดใจเดียวเรือนฝั่งซ้ายที่เล็กและแคบก็เต็มแน่นไปด้วยผู้คน
คุณหนูรองหลีเจียวเห็นพวกนางมาถึงก็ร้องไห้ทันที ท่านย่า ท่านแม่…
อู่ซื่อทอดสายตาไปเห็นเศษกระเบื้องเกลื่อนพื้น ยังมีดวงหน้าน้อยๆ ที่ซีดขาวยิ่งกว่าหิมะของบุตรสาว นางก็ชักสีหน้า แล้วสาวเท้าเร็วรี่เข้าไปส่งเสียงเรียกหลีเจียว เจียวเจียว ให้แม่ดูว่าแผลเป็นอย่างไรเร็วเข้า
หลีเจียวยกขาขึ้น เจ็บเหลือเกิน…
อู่ซื่อเห็นรอยเลือดแดงฉานตรงฝ่าเท้าขาวนุ่มก็ใจหายวาบทันใด นางโอบบุตรสาวพลางกล่าวเสียงเครียด ต่งมามา ยังไม่รีบตรวจอาการให้คุณหนูรองอีก!
สตรีวัยกลางคนมุ่นมวยกลมผู้หนึ่งก้าวออกมา ปลดหีบที่สะพายติดตัวลงก่อนย่อกายลงทำแผลให้หลีเจียว
หลีเจียวร้องโอดโอยเบาๆ อู่ซื่อก็กอดปลอบนางเสียงนุ่ม ทว่าดวงตาเรียบเฉยแฝงแววคมกร้าวกลับตวัดมองไปทางเหอซื่อกับบุตรสาว
ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงผู้เคร่งครัดธรรมเนียม ในใจอู่ซื่อจะโกรธเคืองปานใดก็ไม่คิดจะปริปากก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเดินเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของหลีเจียวปราดหนึ่งแล้วมุ่นคิ้วกล่าวขึ้น บาดแผลที่เท้าไม่ตื้นเลย สตรีจะมีรอยแผลเป็นไม่ได้ ต่งมามา นำยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาติดตัวมาด้วยหรือไม่
นำมาด้วยเจ้าค่ะ ต่งมามาพูดตอบพร้อมกับทำแผลให้หลีเจียวอย่างชำนิชำนาญไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพยักหน้า ก้าวเท้าเนิบๆ ไปนั่งลงบนเก้าอี้ ถึงเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า หลานเจียวบาดเจ็บได้เช่นไร
ท่านย่า ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลีเจาผู้เดียว หลีเจียวโพล่งขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่
ตอนได้ยินว่าอาจมีแผลเป็น หลีเจียวลอบเคืองแค้นมากขึ้น นัยน์ตาเรียวสวยถลึงมองเฉียวเจา อยากจะปรี่เข้าไปฉีกเนื้ออีกฝ่ายใจจะขาด
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงปรายตามองหลานสาว
หลีเจียวหยุดปากกะทันหัน นางถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมานานถึงเพียงนี้ ย่อมต้องรู้นิสัยของหญิงชราอย่างแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงดึงสายตาคืน ผินหน้าไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง น้องสะใภ้ ท่านไต่ถามเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้วหรือยัง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแย้มยิ้ม ข้าเพิ่งมาถึงก็สั่งให้ทำแผลให้หลานเจียวก่อนทันที ยังไม่ได้ซักไซ้อย่างละเอียดว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ท่านเซียงจวินก็มาถึงแล้ว
นางกล่าวพลางชำเลืองหางตามองเฉียวเจาแวบหนึ่ง พลางรำพึงในใจว่า จริงๆ เลย เจ้าเด็กอกตัญญูผู้นี้วันใดไม่ก่อเรื่องคงจะไม่สบายใจสินะ ทำพูดดิบดีว่าจะคัดลอกพระธรรม!
ยังไม่ได้ถามหรอกหรือ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเลิกคิ้วขึ้น มองไปทางเฉียวเจา หลานเจา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เล่ามาสิ
มือของเหอซื่อที่จับตัวเฉียวเจาอยู่กำเข้าหากันแน่น
เฉียวเจาเดินไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ย่อเข่าคำนับแล้วลุกขึ้นยืน เปล่งเสียงพูดเนิบช้านุ่มนวล เรียนท่านย่าใหญ่ เรื่องราวเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เมื่อครู่พี่เจียวบุกเข้ามาในเรือนข้า ข้าเห็นนางกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงเชิญนางดื่มน้ำชา ใครจะรู้ว่าพี่เจียวไม่รับถ้วยน้ำชาให้ดี ก็เลยหล่นใส่ปลายเท้านางพอดิบพอดี…
เจ้าพูดเหลวไหล! ท่านย่า นางจงใจปล่อยมือ ถ้วยน้ำชาถึงตกใส่เท้าข้า ซ้ำยังเป็นต้นเหตุให้ข้าลื่นล้มจนมือทับไปบนเศษกระเบื้องจนถูกบาดเป็นแผล… หลีเจียวพูดถึงตอนท้ายก็เริ่มสะอึกสะอื้นอย่างห้ามไม่อยู่
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงขึงตึงโดยพลัน อุบายจงใจปล่อยมือพรรค์นี้ นางเห็นมานักต่อนัก ยามพวกอนุมาคารวะ ภรรยาเอกที่มีเจตนากลั่นแกล้งก็ชอบใช้ลูกไม้นี้กันบ่อยๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลานสาวอายุยังน้อยๆ ก็หัดใช้เล่ห์เหลี่ยมสกปรกพวกนี้เป็นแล้ว
นางทำหน้าขรึมมองไปทางเฉียวเจา
เด็กสาวยืนอยู่กลางโถงทนรับสายตาแฝงความรู้สึกต่างๆ กันด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ฝ่ายฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั้นนอกจากจะรู้สึกเอือมระอาแล้วยังฉงนฉงายอยู่บ้าง
หลานเจาเป็นคนจำพวกหมอนปักลาย* ที่อวดเบ่งแต่ในเรือน ก่อนหน้านี้เวลาพบหน้านางก็เหมือนหนูเห็นแมว ตกใจจนตัวสั่นงันงกไปนานแล้ว วันนี้เกิดอะไรขึ้น
เฉียวเจากลับมาคราวนี้ไม่โดนลงโทษ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ลอบไม่พึงใจแต่แรก บันดาลให้ขณะนี้เห็นหน้านางก็ยิ่งขัดนัยน์ตายิ่งขึ้น นางเอ่ยตวาดด้วยสีหน้าบึ้งตึง หลานเจา! เบื้องหน้าผู้อาวุโสมากมายในวันนี้ เรื่องราวเป็นเช่นไรกันแน่ เจ้าจงบอกมาตามสัตย์จริง หากพูดปดแม้สักครึ่งคำ ถึงท่านย่าเจ้าจะคุ้มหัวเจ้า ข้าก็ไม่ละเว้นเจ้าอยู่ดี
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสร้างบารมีมาเนิ่นนาน พอกล่าวถ้อยคำนี้ด้วยสีหน้าเย็นชาในเพลานี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงคุณหนูห้าหลีซูที่แสร้งทำเป็นนกกระจอกเทศมุดดินอยู่ตลอด กระทั่งหลีเจี่ยวก็ยังสั่นสะท้านอย่างตื่นตระหนก แต่ก็ลอบสาแก่ใจสุดจะเปรียบในเวลาเดียวกัน
หลีเจียวได้รับบาดเจ็บ หลีเจาโดนอบรมสั่งสอน วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริงๆ
เฉียวเจามองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแล้วค่อยหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
ฝ่ายหลังอยากถอนใจอย่างมาก นางนึกว่าประสบเคราะห์ร้ายมาครั้งหนึ่ง เจ้าเด็กอกตัญญูผู้นี้จะรู้ความขึ้นสักหน่อย คิดไม่ถึงว่ายังเป็นดินอ่อนเหลวก่อกำแพงไม่ได้ วันนี้สมควรได้รับบทเรียนบ้างก็ดี
เฉียวเจาดึงสายตาคืน เอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังว่า ท่านย่าใหญ่ ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะพูดความจริงโดยไม่ปิดบังให้พี่เจียวแล้ว ตอนข้าเชิญนางดื่มน้ำชา นางเหวี่ยงมือปัดถ้วยน้ำชาในมือข้าหล่นถึงได้ตกใส่เท้า…
เจ้าพูดเหลวไหลๆ หลีเจียวร้องโวยวายหน้าดำหน้าแดง
เฉียวเจาชายตามองนางอย่างเยือกเย็น ตอนนั้นพี่เจี่ยวกับน้องซูก็อยู่ด้วย ท่านย่าใหญ่ถามพวกนางได้เจ้าค่ะ
พี่เจี่ยว น้องซู พวกเจ้าพูดสิ ตอนนั้นนางจงใจทำถ้วยตกใส่ข้าใช่หรือไม่ หลีเจียวชิงถามขึ้นก่อนด้วยหวาดหวั่นสุดใจว่าสองคนนี้จะบอกความจริงออกมา
หลีเจี่ยวกับหลีซูนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
หลีเจียวชูมือขึ้นพลางร่ำไห้ ท่านย่าดูสิเจ้าคะ ข้าหกล้มแล้วมือยังถูกบาดเป็นแผล เจ็บเหลือเกิน…
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่แท้จริงแล้วสงสารสุดจะกล่าว นางอดมองค้อนเฉียวเจาไม่ได้
เฉียวเจาเล่าต่อโดยไม่เหลือบเปลือกตาขึ้น พี่เจียวปัดถ้วยน้ำชาหล่นแล้วทำให้พื้นลื่นถึงหกล้ม ซ้ำมือยังถูกบาดเป็นแผล หลังจากนางลุกขึ้นก็อับอายจนพาลโกรธ ยกมือจะตบหน้าข้า…
หุบปากนะ! อู่ซื่อฮูหยินใหญ่ของจวนตะวันออกตะเบ็งเสียงพูดอย่างสุดระงับ จากนั้นข่มความโกรธเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ท่านอาสะใภ้รอง หลานเจาทำลายชื่อเสียงของเจียวเจียวเยี่ยงนี้ ท่านต้องอบรมสั่งสอนให้ดีๆ นะ
อื้อ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเปล่งเสียงรับคำ
ดูท่าทางหลานเจาแล้วไม่คล้ายพูดเท็จ ถ้าเป็นดังเช่นที่นางพูดจริงๆ เป็นใครกันแน่ที่จะขาดการอบรมสั่งสอนยังบอกไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกระแอมกระไอทีหนึ่งเป็นเชิงเตือนให้อู่ซื่อระวังวาจาท่าทาง นางหันไปถามพวกหลีเจี่ยว หลานเจี่ยว หลานซู ตอนนั้นพวกเจ้าสองคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์ พวกนางสองคนเป็นคนใดที่พูดความจริงกันแน่
หลีซูกระถดตัวไปด้านหลังอย่างห้ามไม่อยู่
ข้างฝ่ายหลีเจี่ยวลอบขบกรามแน่น นางตัวดีหลีซานถึงกับลากนางติดร่างแหไปด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่เกรงใจแล้ว ท่านย่าใหญ่ ตามที่เจี่ยวเอ๋อร์เห็นตอนนั้น ดูเหมือนน้องเจาจะจับไม่แน่น…
เหอซื่อตวาดเสียงกราดเกรี้ยว หลีเจี่ยว! นางเด็กใจร้าย ปรักปรำน้องสาวของเจ้าได้อย่างไร
เฉียวเจาอดกุมขมับไม่ได้ คนเป็นแม่เลี้ยงที่ดุด่าลูกเลี้ยงต่อหน้าพวกผู้อาวุโสเช่นนี้ มีก็แต่มารดาบังเกิดเกล้าของนางในร่างใหม่ผู้นี้
เหอซื่อ! หุบปากเสีย ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโมโหจนทำตาปะหลับปะเหลือกไม่หยุด
หลีเจียวเม้มปากยิ้มออกแล้ว นางรู้อยู่แล้วว่าพวกนางสองคนต้องเข้าข้างตน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงปรายตามองเหอซื่อก่อนซักไซ้ไล่เลียง เช่นนั้นหลานเจียวยกมือตบหน้าหลานเจาหรือไม่
หลีเจี่ยวเม้มริมฝีปากมองไปทางเหอซื่อ ในดวงตาซ่อนรอยกระหยิ่มไว้
เหอซื่อเดือดดาลจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เพิ่งอ้าปากจะพูดก็เห็นเฉียวเจาหันมาส่ายหน้ากับนางเบาๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกระแอมกระไอดังๆ เสียงหนึ่ง หลานเจี่ยว ไม่ต้องมองคนอื่น เจ้าบอกกล่าวตามสัตย์จริงเท่านั้นเป็นพอ
เจ้าค่ะท่านย่าใหญ่ หลีเจี่ยวตวัดหางตาไปทางเฉียวเจา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีเจ้าค่ะ ตอนนั้นเจี่ยวเอ๋อร์พยุงน้องเจียวลุกขึ้นแล้วประคองนางไปนั่งลงบนเก้าอี้
คุณหนูห้าหลีซูเงยหน้าขวับแล้วก็ก้มหน้าลงทันควัน
หลีเจี่ยวแอบหัวร่อในใจ คนเหยาะแหยะอย่างน้องซูย่อมไม่กล้าพูดจาส่งเดช เหตุการณ์ในตอนนั้นก็มีแต่พวกนางสองคนล่วงรู้ นางถือหางข้างหลีเจียว แล้วใครจะพิสูจน์ได้ว่านางโกหก
ส่วนสาวใช้ในเรือนล้วนเป็นคนข้างกายหลีเจา คำพูดของพวกนางต้องไม่น่าเชื่อถืออย่างแน่นอน
เมื่อยืนยันได้แล้วว่าหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนได้รับบาดเจ็บแล้วยังโดนใส่ร้าย ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทำหน้าตึง หลานเจา เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่
* หมอนปักลาย เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงผู้ที่มีดีแต่เปลือกทว่าปราศจากความรู้ความสามารถ