หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 340
บทที่ 340
เฉียวเจาตวัดสายตามองปิงลวี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ปิงลวี่เกาท้ายทอย “น่าแปลกนัก ก่อนหน้านี้มันยังพูดคำว่าสมดังปรารถนาอยู่ชัดๆ เลยนะเจ้าคะ”
สาวใช้น้อยพูดพร้อมกับเคาะกรงนกเบาๆ “สมดังปรารถนา สมดังปรารถนา”
นกขุนทองเอียงคอมองหน้าปิงลวี่ “สมดังปรารถนา”
ปิงลวี่หิ้วกรงนกไปตรงหน้าเฉียวเจาอย่างตื่นเต้นคึกคัก “คุณหนู ท่านได้ยินแล้วกระมัง เป็นคำว่าสมดังปรารถนา”
เจ้านกขุนนางจ้องเฉียวเจาตาเขม็ง “น้องหญิง น้องหญิง”
เฉียวเจาอึ้งงัน “…”
ปิงลวี่เบิกตากว้างอย่างตกใจ นางขบคิดเล็กน้อยแล้วตบมือกล่าวขึ้น “ข้าทราบแล้ว นกตัวนี้พูดกับแต่ละคนไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ”
“เอามันแขวนไว้ใต้ชายคาก่อนเถอะ” เฉียวเจาบอกเสียงเรียบ
เซ่าหมิงยวนมอบนกขุนทองที่ส่งเสียงเรียก ‘น้องหญิง’ ให้นางตัวหนึ่ง นี่คิดจะทำอะไรกันแน่
ตกดึกเฉียวเจานอนไม่หลับ เหม่อมองตะขอเงินเกี่ยวม่านเหนือเตียงอย่างใจลอย ภาพความทรงจำตอนอยู่ร่วมกับหมอเทวดาหลี่หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองเป็นฉากๆ ราวกับสายน้ำ
ตอนกลางวันอยู่ที่จวนกวนจวินโหว นางเสียใจมากเกินไปจนลืมซักถามเซ่าหมิงยวนอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร นางไม่เชื่อว่าผู้เก่งกาจประหนึ่งเทพเซียนเช่นท่านปู่หลี่จะโชคร้ายปานนั้น
ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องไปถามเขาให้ละเอียดแจ่มแจ้ง
เฉียวเจาลุกขึ้นนั่งกอดผ้าห่มผืนบางๆ อย่างเหม่อลอยกลางผืนราตรีสงัดเงียบนานครู่หนึ่งถึงลงจากเตียงไปรินน้ำ
อาจูที่นอนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงก็เดินเข้ามา นางรีบบอก “คุณหนู ข้ารินให้เองเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง เจ้าไปนอนเถอะ” เฉียวเจาห้ามอาจูไว้ นางรินน้ำอุ่นถ้วยหนึ่ง กุมด้วยสองมือพลางนั่งลงบนเก้าอี้
ด้วยเด็กสาวมีเรือนกายเล็กและบอบบาง นางนั่งบนเก้าอี้แล้วดูเหมือนซุกตัวอยู่บนนั้นมากกว่า สองเท้าของนางเปลือยเปล่า ดูปล่อยตัวตามสบายอย่างที่อาจูไม่เคยเห็นมาก่อน
อาจูยืนอยู่กับที่ไม่ขยับตัว
เฉียวเจาดื่มน้ำคำหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ นางถอนใจเฮือก ชี้ที่เก้าอี้ด้านข้างพลางกล่าวว่า “นั่งสิ”
อาจูจรดฝีเท้าเบาๆ เดินมานั่งลงเป็นเพื่อนเฉียวเจาอย่างเงียบเชียบ
“อาจู หมอเทวดาหลี่ประสบเคราะห์ร้ายแล้ว” เฉียวเจาดื่มน้ำหมดถ้วยแล้วเอ่ยปากขึ้น
อาจูสะดุ้งสุดตัว มองเฉียวเจาอย่างตกตะลึง
เฉียวเจาเบือนหน้าไปมองนาง เผยรอยยิ้มที่เศร้าโศกยิ่งกว่าร่ำไห้ “เหนือคาดมากกระมัง”
“คุณหนู…”
เฉียวเจาหลุบตาลงเพ่งมองถ้วยกระเบื้องลายครามในมือ สีน้ำเงินสดบนถ้วยขับเน้นมือของนางให้ขาวยิ่งกว่าหยกขาว “จนตอนนี้ข้ายังเหมือนอยู่ในความฝันจนไม่อยากจะเชื่อ”
นางขดตัวอยู่บนเก้าอี้กล่าวประโยคนี้ด้วยหน้าตาซีดเผือด มือสั่นระริกไม่หยุด ดวงตาฉาบประกายน้ำวาวๆ ทว่าไม่มีน้ำตาไหลรินลงมา
ในค่ำคืนที่เงียบสงบผิดสามัญนี้ อาจูตระหนักขึ้นได้ในบัดดลว่าแท้จริงแล้วคุณหนูผู้เก่งกาจไปเสียทุกอย่างในความคิดของนางเสมอมายังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่เจริญวัยเต็มที่
อาจูลุกขึ้นเดินไปที่ข้างกายเฉียวเจา ยื่นมือโอบไหล่นางไว้อย่างห้ามใจไม่อยู่
นางรู้ว่าทำเช่นนี้เป็นการอาจเอื้อมล่วงเกิน ทว่าเวลานี้นางเพียงอยากโอบกอดอีกฝ่ายไว้อย่างนี้
ตัวของเฉียวเจาแข็งเกร็งไปก่อนจะผ่อนคลายลง จากนั้นนางเอาหน้าซุกอกอาจูเงียบๆ อยู่นาน
อาจูรู้สึกได้ว่าสาบเสื้อเปียกแฉะ แต่นางอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว
พักใหญ่ต่อมาเฉียวเจาลุกขึ้นยืน ถึงแม้ใบหน้ามีรอยชื้นๆ ทว่าสีหน้าสงบนิ่งมาก “อาจู ไปนอนเถอะ ข้าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย”
อาจูไม่วางใจให้เฉียวเจาออกไปคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด นางเดินตามหลังไปเงียบๆ
เฉียวเจาย่างเท้าออกนอกห้อง
รัตติกาลในฤดูร้อน ผืนฟ้าไพศาลกว้างไกลสูงลิบประดับประดาด้วยแสงดาวดุจภาพฝัน ช่วยปลอบประโลมจิตใจของผู้ไม่อาจหลับใหลได้มากเท่าไรก็สุดรู้ กรงนกที่แขวนไว้ใต้ชายคาแกว่งไกวไปมาเบาๆ ตามแรงลมยามดึก
เฉียวเจาเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
นกขุนทองในกรงนอนหลับไปแล้ว สองเท้าของมันเกาะบนผนังกรง ปากคาบซี่ไม้ไผ่ที่ทำเป็นโครงกรงนก เพราะน้ำหนักตัวของมันเทไปด้านหนึ่งกรงก็เลยเอียงเล็กน้อย ทำให้รู้สึกว่ามันจะลื่นตกลงมาได้ทุกเมื่อ
ท่านอนชวนขันอย่างนี้ทำให้มุมปากของเฉียวเจายกขึ้นอย่างสุดระงับ นางยื่นมือไปแตะหัวมันเบาๆ
นกขุนทองตกใจตื่นทันที ตัวไถลตกลงไปบนพื้นกรง มันตะเกียกตะกายกระโดดขึ้นไปบนไม้คอน ดวงตาเล็กกลมดิกเขม้นมองคนที่รบกวนห้วงนิทราอันแสนสุขของมัน
“ขอโทษด้วย”
นกขุนทองจ้องหน้าเฉียวเจาชั่วครู่ก่อนอ้าปากออก “น้องหญิง ยิ้มให้ท่านพี่หน่อยสิ”
เฉียวเจานิ่งงัน “…”
ตกลงเซ่าหมิงยวนมอบนกขุนทองเช่นนี้ให้นางหมายความว่าอะไรกันแน่
แม่นางเฉียวกลับเข้าห้องเอนกายลงบนเตียงเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ หลับไป
อาจูห่มผ้าห่มให้นางอย่างเบาไม้เบามือ แล้วถอยออกไปอย่างปราศจากสุ้มเสียง
ยามราตรีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉียวเจามิได้ลุกจากเตียงตรงเวลาดังเช่นที่ผ่านมา อาจูเดินย่องเข้ามาเห็นนางจับไข้จนสองแก้มแดงก่ำแล้วแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก
“คุณหนู…” อาจูเอามืออังหน้าผากผู้เป็นนาย สัมผัสที่ร้อนจนน่าตกใจทำให้มือของนางสั่นกระตุก
“คุณหนู ท่านตื่นสิ” อาจูเขย่าตัวเฉียวเจาเบาๆ เห็นนางไม่ตื่นก็รีบไปรายงานเหอซื่อ
เหอซื่อได้ยินแล้วร้อนใจเจียนคลั่ง รีบสั่งคนไปเชิญหมอตามคำเล่าลือในเมืองหลวงมาตรวจอาการให้เฉียวเจาทันที
“ท่านหมอ บุตรสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอลุกขึ้นยืนลูบเคราพลางกล่าว “บุตรสาวท่านกลัดกลุ้มกังวลเกินไป ธาตุไฟคั่งค้างรบกวนจิต ข้าเขียนใบสั่งยาให้นางเทียบหนึ่ง กินแล้วพักผ่อนให้เต็มที่ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ข้อสำคัญคือต้องทำใจให้สบาย อย่ากลัดกลุ้มกังวล”
เหอซื่อพยักหน้าถี่รัว นางรอจนหมอออกไปเขียนใบสั่งยาตรงโถงห้องอีกฝั่งหนึ่ง ค่อยจับมือร้อนจัดของเฉียวเจาไว้พร้อมกับแอบเช็ดน้ำตา “เจ้าลูกผู้นี้ยังเด็กยังเล็กมีเรื่องกลุ้มใจอะไรกัน ตอนแม่อายุเท่าเจ้ายังไม่รู้เลยว่าคำว่า ‘กลุ้มใจ’ เขียนเช่นไร”
เหอซื่อนั่งเฝ้าอยู่ตลอดจนใกล้เที่ยงวัน เฉียวเจาถึงลืมตาขึ้น
“เจาเจา เจ้าฟื้นได้เสียที ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
แววงุนงงในดวงตาเฉียวเจาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านแม่ เป็นยามอะไรแล้วเจ้าคะ”
“จวนเที่ยงวัน เจ้าหิวแล้วกระมัง แม่ให้คนต้มโจ๊กลูกบัวใส่ฝูหลิง* ไว้ให้เจ้า แม่ป้อนเจ้ากินสักชามนะ”
“เที่ยงวัน?” เฉียวเจาตื่นเต็มตา “ข้านอนจนถึงเวลานี้เชียวหรือนี่”
“ใช่น่ะสิ ยาที่ท่านหมอสั่งให้เจ้าต้องป้อนให้เจ้ากินทั้งที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ แม่เป็นห่วงแทบแย่” เหอซื่อโอบเฉียวเจาพลางทอดถอนใจ “เจาเจาเอ๊ย บอกแม่มา เจ้าไม่สบายใจเพราะอะไรกันแน่”
“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว” เฉียวเจาพูดเสียงค่อย เรื่องพวกนั้นนางจะบอกกับท่านแม่ได้อย่างไร
เฉียวเจาพูดคำเดียวก็หันเหความสนใจของมารดาได้ดังคาด เหอซื่อกล่าวเร่ง “รีบไปยกโจ๊กมา”
อาจูตักโจ๊กลูกบัวใส่ฝูหลิงมารอท่าแต่แรก เหอซื่อยื่นมือรับไว้ “ให้ข้าป้อนเจ้าเถอะ”
“ท่านแม่ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจายื่นมือไปรอรับชามโจ๊ก
เหอซื่อขึงตาใส่นาง “อยู่เฉยๆ”
เฉียวเจาไม่พูดอะไรอีก กินโจ๊กหมดทั้งชามอย่างว่านอนสอนง่ายแล้วจะลุกขึ้น
“ไม่นอนลงดีๆ จะไปทำอะไรอีกหรือ” เหอซื่อยึดตัวนางไว้
“ท่านแม่ ข้าต้องไปจวนกวนจวินโหวเจ้าค่ะ”
เหอซื่ออ้าปากกว้าง “เจาเจา เจ้าไม่สบายอยู่ยังจะไปจวนกวนจวินโหวทำอะไร”
“ท่านปู่หลี่ให้ข้าใช้ตำรับยาที่ท่านทิ้งไว้ให้ช่วยรักษาใบหน้าของคุณชายเฉียวไม่ใช่หรือ ข้าต้องไปทุกวันเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้เฉียวเจาไปที่จวนกวนจวินโหวจะใช้ข้ออ้างนี้ เพราะคนทั้งสกุลเฉียวล้วนเคารพนับถือหมอเทวดาหลี่อย่างมาก ย่อมไม่มีเสียงทักท้วง
เมื่อได้รับถ่ายทอดความรู้จากผู้อื่น เป็นธรรมดาที่ต้องทำตามคำฝากฝังของเขาให้ลุล่วง นี่เป็นคติพื้นฐานในการประพฤติตน
ทว่าวันนี้เหอซื่อไม่ยอมแล้ว นางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ปกติแม่ตามใจเจ้าเสมอ แต่วันนี้ไม่ได้ วันนี้เจ้าอย่าไปที่ใดทั้งนั้น อยู่กับเรือนพักรักษาตัวให้ดีๆ”
* ฝูหลิง หรือโป่งรากสน คือสมุนไพรจีน มีสรรพคุณขับน้ำและความชื้น บำรุงม้าม และทำให้จิตใจผ่อนคลาย