หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 342
บทที่ 342
“ท่านโหว เจาเจา พวกเราหารือเรื่องพิธีศพของหมอเทวดาหลี่กันเถอะ”
แม้นจะหักใจเอ่ยเรื่องที่ทำให้น้องสาวเสียใจนี้ไม่ได้ปานใด แต่เฉียวโม่ไม่อาจปล่อยให้ผู้อาวุโสมิตรเก่าของสกุลเฉียวที่ต้องสิ้นชีพเพราะตนท่านนี้ไม่มีแม้แต่สถานที่ให้คนเซ่นไหว้ เขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“ท่านหมอเทวดาไม่มีบุตรหลาน ไม่เคยลงหลักปักฐานที่ใดมาทั้งชีวิต พวกเราก็สร้างสุสานหมวกกับอาภรณ์ให้ท่านผู้เฒ่าในเมืองหลวงเถอะ เจาเจาเป็นหลานสาวบุญธรรมของท่าน ถึงเวลาก็ให้เจาเจาเป็นคนตั้งป้ายศพ…” เฉียวโม่กล่าวพลางมองไปทางนาง กลับพบว่าเด็กสาวเอาสองมือเท้ากับโต๊ะหินหลับไปตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้
“เจาเจา…” เขายื่นมือไปผลักนางเบาๆ ทีหนึ่ง
ร่างของเฉียวเจาโงนเงนไปมาก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะหิน
เฉียวโม่ตกใจยกใหญ่ “เจาเจา เจ้าเป็นอะไรไป”
เซ่าหมิงยวนยื่นมือแตะหน้าผากนาง เขาทำสีหน้าไม่ดีนัก “นางเป็นไข้”
“ป่วยแล้ว?” เฉียวโม่ช้อนตัวนางขึ้นอุ้มไว้ “ท่านโหว ข้าพาเจาเจาเข้าไปในห้องก่อน”
เมื่อเห็นเฉียวโม่อุ้มเฉียวเจาไปแล้ว เซ่าหมิงยวนก็รีบสั่งให้องครักษ์ไปเชิญหมอมาทันทีพร้อมกับตามตัวปิงลวี่มาถาม “คุณหนูของเจ้าไม่สบายหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ เอ๊ะ คุณหนูของข้าล่ะ” ปิงลวี่เหลียวมองรอบด้านอย่างงุนงง พอไม่เห็นวี่แววของเฉียวเจาอยู่ในลานเรือน นางก็อดร้อนใจไม่ได้
ข้าสัปหงกแค่ประเดี๋ยวเดียว ไฉนคุณหนูหายตัวไปแล้ว
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนฉายแววเครียดขรึมอยู่บ้าง “คุณหนูของเจ้าหมดสติไป คุณชายเฉียวพานางเข้าไปในห้องแล้ว”
“ข้าไปดูคุณหนูของข้า…” ปิงลวี่ทำสีหน้าร้อนรน
“คุณหนูของเจ้าป่วยเป็นอะไร”
ปิงลวี่เกาท้ายทอย “ท่านหมอบอกว่าคุณหนูของข้ากลัดกลุ้มกังวลเกินไป เมื่อวานกลับไปนางก็เก็บตัวอยู่ในห้อง เมื่อเช้าข้ากับอาจูพบว่าคุณหนูจับไข้ รีบเชิญท่านหมอมาตรวจอาการให้ ตอนแรกท่านหมอกำชับให้คุณหนูนอนพักผ่อนมากๆ คิดไม่ถึงว่านางกินโจ๊กไปชามหนึ่งก็พาข้ามาที่นี่ แม่ทัพเซ่าไม่รู้อะไร คุณหนูต้องแอบหนีออกมานะเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขาชำเลืองมองประตูห้องพลางถาม “คุณหนูของเจ้าเก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวันหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ ตอนหลังข้าถีบประตูเปิดออกแล้วหิ้วกรงนกขุนทองที่ท่านมอบให้เข้าไป”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยถามเสียงเบา “ถูกใจนางหรือไม่”
ปิงลวี่ตอบอย่างเถรตรงโผงผาง “ข้าดูไม่ออกหรอกว่าถูกใจหรือไม่ แต่นกขุนทองตัวนั้นพูดอะไรตลกมาก เห็นคุณหนูของข้าก็เรียกว่าน้องหญิงเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” เซ่าหมิงยวนทำหน้าตะลึงลาน บังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะแคะหูตนเอง
ข้าต้องหูฝาดเป็นแน่!
“เจ้านกขุนทองตัวนั้นพูดว่าอะไร”
“มันเรียกคุณหนูของข้าว่าน้องหญิงตลอดเลย ท่านว่าน่าอัศจรรย์ใจหรือไม่เจ้าคะ”
สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มอึ้งงันไป น่าอัศจรรย์ใจหรือไม่เขาไม่รู้ แต่เขาสู้หน้าคุณหนูหลีไม่ได้น่ะเป็นความจริง!
ไม่นานนักองครักษ์พาหมอมาถึง เซ่าหมิงยวนยืนนิ่งอยู่หน้าประตู กระดากใจเกินกว่าจะเข้าไป
เฉียวเจาฟื้นแล้ว นางเห็นสายตาห่วงใยของพี่ชายก็พูดปลอบเขา “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่พักผ่อนไม่พอเท่านั้นเอง”
“กลับไปพักผ่อนให้ดีๆ”
“อื้อ ข้ายังแอบหนีออกมาอีกด้วย อยู่นานไม่ได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจาลุกขึ้นนั่งตะโกนเรียก “ปิงลวี่…”
ปิงลวี่ถลันเข้ามา “คุณหนู”
“พวกเรากลับได้แล้ว”
นายบ่าวสองคนเดินออกไปข้างนอก เซ่าหมิงยวนที่ยืนตรงหน้าประตูติดตามไป “คุณหนูหลี ข้าไปส่งท่าน”
ปกติเฉียวเจาพูดคุยกับเซ่าหมิงยวนมักให้ปิงลวี่ปลีกตัวออกไปเสมอจนกลายเป็นความเคยชินของนาง ยามนี้นางจึงถอยไปอยู่รั้งท้ายเองอย่างรู้หน้าที่
เซ่าหมิงยวนเดินอยู่ข้างๆ เฉียวเจา เขามองดูดวงหน้าขาวซีดของนาง พูดอย่างละอายใจว่า “เพราะพิษไอเย็นในตัวข้าทำให้คุณหนูหลีต้องลำบากไปด้วย”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ถ้อยคำตามมารยาทพรรค์นี้ แม่ทัพเซ่าไม่ต้องพูดแล้ว พรุ่งนี้ข้ายังจะมาตามเดิม น่าจะเวลาเดียวกับวันนี้เจ้าค่ะ”
เมื่อส่งเฉียวเจากลับไปแล้ว เซ่าหมิงยวนกลับเข้าห้องหนังสือ ย่างเท้าไปหยุดยืนหน้าภาพวาดคนตรงผนังฝั่งซ้าย พินิจดูอยู่นานสองนานก่อนจะเรียกองครักษ์มาสั่งกำชับหลายคำ
วันต่อมาเฉียวเจาพาปิงลวี่แอบหนีออกมาทางประตูด้านข้างของจวนสกุลหลี ไม่ทันไรก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งส่งเสียงเรียก “คุณหนูหลี เชิญตามข้าน้อยมาขอรับ”
ปิงลวี่เอาตัวบังอยู่ข้างหน้าเฉียวเจา เอ่ยด้วยสีหน้าระวังระไว “เจ้าเป็นใคร”
เฉียวเจาความจำดี นางมองปราดเดียวก็จดจำได้ “องครักษ์ของแม่ทัพเซ่า?”
“ถูกต้องขอรับ นี่คือป้ายคำสั่งของท่านแม่ทัพ เชิญคุณหนูหลีผ่านตา” องครักษ์ถือป้ายด้วยสองมือยื่นออกไปอย่างพินอบพิเทา
เฉียวเจาดูป้ายแล้วเอ่ยถาม “ไปที่ใดหรือ”
“เชิญคุณหนูหลีตามข้าไปเป็นพอ”
“ทำเป็นมีลับลมคมในอะไรกัน” ปิงลวี่เบะปาก คนผู้นี้ไม่น่ารักอย่างเฉินกวงสักน้อยนิด!
เฉียวเจาโบกมือปรามปิงลวี่ให้หยุดพูดบ่นแล้วบุ้ยใบ้บอกให้องครักษ์นำทาง
“คุณหนู เขาจะพาพวกเราไปที่ใดเจ้าคะ” ปิงลวี่กระซิบถาม
“ตามไปก็จะได้รู้กัน”
ในเมื่อเป็นคนที่เซ่าหมิงยวนส่งมา เขาย่อมเป็นผู้เตรียมการไว้เป็นธรรมดา
เฉียวเจาเพิ่งกล่าวคำนี้จบองครักษ์ก็หยุดฝีเท้า ยื่นมือไปเปิดประตูออก “คุณหนูหลีเชิญเข้าไปข้างในขอรับ”
นางผงกศีรษะเล็กน้อยกับองครักษ์แล้วก้าวขาเดินเข้าไป
ปิงลวี่มองซ้ายแลขวา พูดอย่างฉงนใจว่า “คฤหาสน์ด้านข้างจวนสกุลของเราหลังนี้ว่างเปล่ามาตั้งนานแล้ว เจ้าพาคุณหนูของข้ามาที่นี่ทำอะไร…เอ๊ะ แม่ทัพเซ่า?”
บุรุษหนุ่มซึ่งยืนอยู่ในลานกว้างหน้าเรือนโถงหมุนกายมา ก้าวขาเรียวยาวเดินฉับๆ มาต้อนรับ “คุณหนูหลี”
เฉียวเจาสะดุดใจวูบ “ที่นี่…”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ข้ารู้มาว่าเรือนหลังนี้ไม่มีคนอยู่เลยไปขอซื้อต่อจากเจ้าของ วันหน้าก็ไม่ต้องรบกวนท่านต้องไปไกลๆ อย่างนั้น ทุกวันเวลานี้ข้าจะมารอท่านที่นี่เอง”
“แม่ทัพเซ่าซื้อคฤหาสน์หลังนี้ไว้หรือ” เมื่อเห็นเขาปรากฏกายขึ้นที่นี่ นางคาดเดาถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว แต่ได้ยินเขายืนยันกับปากยังคงอดทอดถอนใจมิได้
คนผู้นี้ร่ำรวยกล้าได้กล้าเสีย ยังทำอะไรเด็ดขาดฉับไวดีแท้ ในเวลาวันเดียวก็ซื้อคฤหาสน์ข้างเรือนนางไว้แล้ว
ไม่รู้ด้วยเหตุใดแม่นางเฉียวรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว
“คุณหนูหลีเชิญด้านใน” เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจาเดินเข้าสู่เรือนพำนักหลังหนึ่ง กล่าวอย่างขอลุแก่โทษ “ยังรกรุงรังอยู่ เพิ่งทำความสะอาดเรือนหลังนี้เสร็จแบบลวกๆ”
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม “ข้าจำได้ว่านายท่านเจ้าของเรือนหลังนี้รับราชการอยู่ในกรมอากร ต่อมากระทำความผิด คฤหาสน์หลังนี้ว่างเปล่าเป็นเวลานาน ยังเคยเล่าลือกันว่ามีผีสิง แม่ทัพเซ่าเก็บกวาดเรือนที่ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนานได้อย่างนี้ภายในวันเดียวก็น่าประหลาดใจเป็นอันมากแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูหลีรู้สึกว่าสะดวกเป็นพอ” เซ่าหมิงยวนขบคิดคำพูดของเฉียวเจาแล้วกล่าวปลอบ “สำหรับเสียงลือว่ามีผีสิง คุณหนูหลีไม่ต้องกลัว เวลาที่ท่านมา ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่ก่อนเสมอ”
“ฝังเข็มก่อนเถอะเจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงเรียบ
เมื่อวานยังนึกว่าเขาทื่อเป็นท่อนไม้อยู่เลย คาดไม่ถึงว่าจะซื้อคฤหาสน์ข้างเรือนนางไว้โดยไม่บอกไม่กล่าว ยังนับว่ามีความเห็นอกเห็นใจต่อสตรีตัวเล็กๆ ดี นี่เลยคิดจะเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันใช่หรือไม่
หลังฝังเข็มเสร็จ เฉียวเจาไม่รั้งอยู่นาน นางยอบกายคารวะแล้วอำลากลับไป
สองนายบ่าวใช้เวลาเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงเรือน เฉียวเจารู้สึกสะดวกอย่างมาก ขณะที่ปิงลวี่กลับทำหน้าเศร้าเต็มที
“เป็นอะไรไป”
ปิงลวี่ถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “คุณหนู แม่ทัพเซ่ากลายเป็นเพื่อนบ้านของเรา เช่นนั้นเฉินกวงไม่ต้องเป็นสารถีให้ท่านแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สาวใช้น้อยขมวดคิ้ว สีหน้าหม่นหมองโดยไม่ปิดบัง
เฉียวเจานึกอิจฉาอยู่หลายส่วนอย่างปราศจากเหตุผล นางอมยิ้มกล่าว “หรือว่าข้าไปที่อื่นจะไม่ต้องการสารถีเล่า”
ปิงลวี่ถึงถอนหายใจโล่งอก