หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 35
ลูกนัยน์ตาข้างขวาของหญิงชราเป็นสีขาวขุ่น ยามนางจ้องมองคนด้วยความโกรธา สายตาจะดูเหี้ยมเกรียมชวนให้ขนลุกขนพอง
เหอซื่อทนกับบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหวอีกต่อไป ถลันเข้าไปเอาตัวบังหน้าเฉียวเจา พูดเสียงดังกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ท่านเซียงจวิน เจาเจายังเด็ก ไม่รู้ความ ท่านจะลงโทษก็ลงโทษข้าเถอะ
เฉียวเจายืนอยู่หลังเหอซื่อ แม้ว่าจะอ่อนใจกับความวู่วามของเหอซื่อ แต่พอเห็นมือที่ไพล่อยู่ข้างหลังของนางสั่นเทาน้อยๆ ในใจก็ไม่อาจตัดพ้อต่อว่าได้แล้ว
เหอซื่อ ความผิดที่เจ้าไม่อบรมบุตรสาวอย่างเข้มงวด อีกประเดี๋ยวข้าต้องไล่เลียงแน่ ตอนนี้เจ้าถอยไปก่อน คนคนหนึ่งกระทำผิดแล้วไม่ถูกลงโทษก็จะไม่รู้จักเข็ดหลาบ วันหน้ายังจะทำผิดซ้ำรอยเดิม ตอนนี้เจ้าปกป้องนางเท่ากับเป็นการให้ร้ายนาง ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกล่าววาจาอย่างเที่ยงธรรมและเปี่ยมไปด้วยเหตุผล
ท่านเซียงจวินพูดได้ถูกต้อง หนนี้ข้าจะลงโทษเจ้าเด็กอกตัญญูผู้นี้อย่างหนักแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกลอกลูกตาสีขาวขุ่นน่าสะพรึงกลัวไปมา แค่นเสียงพูดว่า น้องสะใภ้ ข้าว่าพวกท่านล้วนหักใจทำไม่ลงคอหรอก คราวนี้ให้ข้าเป็นคนอบรมสั่งสอนหลานเจาเถอะ
อยู่ร่วมกันมานานปานนี้ มีหรือนางจะไม่รู้จักคนอย่างน้องสะใภ้ผู้นี้ ชอบปกป้องคนของตนเอง ต่อให้โมโหพวกผู้เยาว์เพียงใดก็ทนดูคนอื่นสั่งสอนไม่ได้ วันนี้นางต้องยื่นมือยุ่งให้ได้ ให้น้องสะใภ้อัดอั้นตันใจเสียบ้าง พออารมณ์เสียก็จะได้ระบายลงไปที่ตัวสองแม่ลูกที่ไม่รู้จักธรรมเนียมมารยาทคู่นี้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโดนโต้กลับถึงกับสะอึกพูดอะไรไม่ออก นางถลึงตาใส่เหอซื่ออย่างดุดัน
แม้จะบอกว่าทั้งสองจวนแยกเรือนกันมานานแล้ว แต่ยังคงแบ่งแยกเป็นคนละสกุลหลีไม่ได้ ฝ่ายฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีอำนาจบารมีในวงศ์ตระกูลมากพอดู จะอบสั่งสอนสตรีในตระกูล ประมุขตระกูลรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสมีแต่จะเห็นเป็นเรื่องน่ายินดี นับประสาอะไรกับว่าทั้งสองครอบครัวยังเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน
ท่านย่าใหญ่กล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด เฉียวเจาส่งเสียงพูดขึ้น ดึงสายตาของทุกคนไปทันใด
นางไม่ตกประหม่าสักนิด ดวงตาคู่งามมองที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง สุ้มเสียงจริงใจเต็มเปี่ยม
คนคนหนึ่งกระทำผิดแล้วไม่ถูกลงโทษก็จะไม่รู้จักเข็ดหลาบ วันหน้ายังจะทำผิดซ้ำรอยเดิม
นางพูดทวนคำกล่าวของหญิงชราโดยไม่ตกหล่นสักคำสร้างความงุนงงให้กับทุกคนอย่างเหลือหลาย
สายตาอำมหิตของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเพ่งตรึงอยู่ที่เฉียวเจา นางเค้นรอยยิ้มเย้ยหยัน หลานเจาตระหนักถึงจุดนี้ได้ ยังไม่นับว่าหมดทางเยียวยา
เฉียวเจาอยากหัวเราะอยู่สักหน่อย ท่านเซียงจวินผู้นี้อาศัยศักดิ์ฐานะตนก้าวก่ายหน้าที่คนอื่นอย่างไม่เกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย
ครั้นเห็นทุกคนพุ่งความสนใจมาที่ตัวนาง เฉียวเจาพลันเดินอ้อมตัวเหอซื่อออกมาข้างหน้าสองสามก้าวแล้วหยุดยืนนิ่ง ตอนนั้นข้ายืนอยู่ตรงนี้ พี่เจียวเหวี่ยงมือฟาดลงมาเจ้าค่ะ
หลีเจียวอดยิ้มเยาะไม่ได้ หลีเจา ป่านนี้แล้วเจ้ายังจะโกหกพกลมอีกหรือ ตอนนั้นพี่เจี่ยวพยุงข้าลุกขึ้น เจ็บทั้งมือทั้งเท้าจนทนไม่ไหว ไหนเลยจะมีแรงตีเจ้าอีก พี่เจี่ยว ท่านว่าใช่หรือไม่
น้ำเสียงบีบเค้นคาดคั้นของอีกฝ่ายทำให้หลีเจี่ยวลอบไม่พึงใจ แต่ระหว่างพวกนางมิได้มีความขัดแย้งอะไรกันจริงๆ ที่นางไม่ชมชอบหลีเจียวมาจากสาเหตุแค่นิสัยใจคอไม่เข้ากัน ขณะที่ความรู้สึกไม่ชอบหลีเจานั้นเป็นสัญชาตญาณติดตัวแต่กำเนิด
เพลานี้นางตัดสินใจเลือกโดยไม่ลังเลใจ ใช่เจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าพยุงน้องเจียวลุกขึ้นตรงนี้ จากนั้นน้องเจียวก็นั่งลงแล้ว
เพื่อให้น่าเชื่อถือมากขึ้น นางยังตั้งใจชี้ตำแหน่งที่ยืนในขณะนั้นเป็นพิเศษ
พี่เจี่ยวหมายความว่าพี่เจียวไม่เคยเดินมาทางนี้เลยหรือเจ้าคะ เฉียวเจาถามอย่างใจเย็น
น้ำเสียงสุขุมของนางทำให้หลีเจี่ยวสังหรณ์ถึงอันตรายรางๆ อย่างไร้สาเหตุ แต่ถึงขั้นนี้แล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับคำพูด ทั้งนางก็คิดไม่ออกว่าเด็กสาวตรงหน้ายังจะก่อคลื่นลมอะไรได้อีก จึงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว ใช่ น้องเจียวนั่งลงแล้วข้าก็เฝ้าอยู่ข้างนางตลอด แล้วพวกข้าจะไปทางนั้นได้อย่างไร
หลีเจียวปลอดโปร่งโล่งใจเมื่อเห็นว่าคุมสถานการณ์ได้แล้ว นางมองเฉียวเจาอย่างมึนตึงพลางกล่าว น้องเจา เจ้าทำให้ข้าเจ็บเนื้อเจ็บตัวถึงเพียงนี้แล้ว ยอมรับผิดต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสเป็นเรื่องยากปานนั้นเชียวหรือ ไร้การอบรมสั่งสอนสิ้นดี
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็รู้สึกหน้าชาวาบๆ
ด้านเหอซื่อซึ่งเห็นบุตรสาวเป็นแก้วตาดวงใจกล่าวโพล่งขึ้นด้วยความโกรธจัด ใครไร้การอบรมสั่งสอน นางเด็กน้อยพูดจาระคายหูเพียงนี้ ข้าว่าพวกเจ้าต่างหากที่ไร้การอบรมสั่งสอนทั้งตระกูล
เฉียวเจาแทบจะหมดคำพูด นางไม่เคยเห็นด้านนี้ของเหอซื่อมาก่อน นางทำหน้าอึ้งงัน ความรู้สึกในใจสับสนปนเปเป็นพิเศษ แม้แต่หลีเจี่ยวยังอยากอุดปากแม่เลี้ยงผู้นี้ไว้ใจจะขาด
ไร้การอบรมสั่งสอนทั้งตระกูล? นี่มิใช่ด่ารวมไปถึงท่านเซียงจวินด้วยหรือ ถ้าเกิดนางมีน้ำโหขึ้นมา วันหน้าไม่พาคุณหนูจวนตะวันตกไปร่วมงานเลี้ยงของหมู่สตรีสูงศักดิ์พวกนั้นอีกล่ะก็ ทีนี้จะทำฉันใดดีเล่า!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองลูกสะใภ้อย่างทอดอาลัย
เอ่อ…ถึงจะรู้สึกคำนี้มีเหตุผลอยู่เล็กๆ น้อยๆ แต่อย่าพูดออกมาสิ!
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงโกรธจนหน้าเขียว นางไร้การอบรมสั่งสอนหรือ บุตรสาวของพวกเศรษฐีบ้านนอกถึงกับกล้าพูดคำนี้
หญิงชราพ่นลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง น้องสะใภ้ ถือโอกาสที่เด็กยังเป็นไม้อ่อนดัดได้ ข้าจะอบรมสั่งสอนให้ สำหรับเรื่องอื่นก็สุดแท้แต่ท่านเถอะ
นี่คือการบอกว่าเหอซื่อเป็นไม้แก่ดัดยาก นางไม่อยากแม้แต่ชายตาแล
เฉียวเจาหวั่นใจแต่เพียงว่ามารดาของตนในร่างใหม่จะกล่าววาจาน่าตกใจอะไรออกมาอีก นางจึงตะโกนขึ้น ข้าขอถามซ้ำอีกครั้ง! พี่สาวทั้งสองไม่เคยมาตรงนี้เลยจริงๆ หรือ
หลีเจี่ยวกระวนกระวายใจชอบกล นางไม่เปล่งเสียงตอบ
ส่วนหลีเจียวพูดเสียงดัง เจ้าทำเสียงดังกว่าก็เป็นฝ่ายชนะรึ ถึงพูดอีกร้อยรอบก็เหมือนเดิม พวกข้าไม่เคยไปตรงนั้น ไม่เคยไปตรงนั้น!
เฉียวเจาคลี่ยิ้มฉับพลัน นางเบี่ยงกายไปทางด้านข้าง เผยให้เห็นฉากกั้นแก้วสีลายดอกโบตั๋นบาน
ในยุคนี้ ฉากกั้นในห้องหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนส่วนใหญ่จะเป็นแบบผ้าปักลายขึงกรอบไม้ แต่ฉากกั้นแก้วสีที่ตั้งประดับในห้องเฉียวเจาประเภทนี้มีอยู่ไม่มาก โดยเฉพาะในจวนสกุลหลีมีบานนี้อยู่เพียงบานเดียว เป็นของขวัญวันเกิดที่เหอซื่อมอบให้บุตรสาวอันเป็นที่รักยิ่ง
ลายดอกไม้บนฉากกั้นแก้วสีกำลังบานสะพรั่งประชันสีสันละลานตา ทุกคนมองจุดผิดปกติใดๆ ไม่ออกในชั่วครู่ชั่วยาม แค่รู้สึกว่าการกระทำของเฉียวเจาแปลกพิกล
อืม คนพวกนี้มิใช่คนช่างสังเกตสักเท่าไร เฉียวเจาแอบคิดในใจ
นางยกมือชี้ให้เห็นเป็นอันสิ้นเรื่อง ท่านย่าใหญ่ ท่านย่า พวกท่านดูสิ ตรงนี้มีรอยฝ่ามือครึ่งหนึ่ง ยังมีเลือดติดอยู่เลยเจ้าค่ะ
สิ้นเสียงนี้ ภายในโถงก็พลันเงียบกริบอย่างน่าประหลาด
หลีเจียวหันขวับไปมอง ตรงช่องว่างระหว่างลวดลายนานาสีสันบนฉากกั้นแก้วสี นางเห็นรอยฝ่ามือเปื้อนเลือดเลือนรางครึ่งหนึ่งในที่สุด
นางกัดริมฝีปากแน่น ขณะที่หลีเจี่ยวหน้าซีดปราศจากสีเลือด
พวกนางยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่เคยไปตรงนั้น แล้วรอยฝ่ามือเปื้อนเลือดบนฉากกั้นมาจากที่ใดกันเล่า
เด็กสาวสองคนล้วนไม่เบาปัญญา เวลานี้ย่อมกระจ่างแจ้งแล้วว่าโดนจับโกหกได้คาหนังคาเขา
เมื่อคำโป้ปดถูกเปิดโปงอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งคู่ต่างอึ้งงันไปชั่วขณะ
คุณหนูห้าหลีซูซึ่งยืนอยู่มุมห้องราวกับรู้จักเฉียวเจาเป็นครั้งแรก นางเบิกตากว้างแอบเหลือบมองอีกฝ่าย นางจำได้แม่นยำว่าหลังจากพี่สาวของตนได้รับบาดเจ็บแล้วเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายมาก ไม่มีใครให้ความสนใจไปที่ฉากกั้นเล็กๆ บานหนึ่ง ไฉนพี่เจาถึงพบรอยฝ่ามือบนฉากกั้นได้
นางทบทวนความจำอย่างละเอียดแล้วฉุกคิดขึ้นได้กะทันหัน
ตอนพี่เจียวจะตีพี่เจา พี่เจาหลบได้ มือของพี่เจียวเลยตีโดนฉากกั้น ตอนนั้นพี่เจาก็เอามือจับฉากกั้นไว้ประเดี๋ยวหนึ่ง
สวรรค์! หรือตอนพี่เจายื่นมือไปจับแค่ประเดี๋ยวนั้นก็มองเห็นแล้ว และยังขุดหลุมพรางให้พี่เจี่ยวกับพี่เจียวกระโดดลงไปอีก
หลีซูเบิกตากว้างขึ้น ในหัวเหลือความคิดอยู่อย่างเดียว
พี่เจาร้ายกาจยิ่งนัก วันหน้าไม่กล้านินทาพี่เจาลับหลังอีกแล้ว!
หลังฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนิ่งเงียบไป นางค่อยๆ หันหน้าช้าๆ ไปมองหลีเจียว
หลีเจียวดิ้นรนเป็นเฮือกสุดท้าย แต่นั่นก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นข้า ใครจะรู้ว่าเป็นรอยที่ทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไร…
เฉียวเจาตัดบทนางอย่างเยือกเย็น เส้นลายมือของแต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน
เรื่องพื้นๆ พรรค์นี้ยังไม่รู้เชียวหรือนี่ เฉียวเจาค่อนแคะในใจ