หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 350
บทที่ 350
เฉียวเจาออกจากวังหลวงแล้วสั่งให้สารถีมุ่งหน้าตรงไปยังจวนกวนจวินโหว
ร่างกายของนางดีขึ้นแล้ว จะลักลอบไปพบกับเซ่าหมิงยวนที่เรือนด้านข้างทุกวันย่อมไม่เป็นการดี
นางฝังเข็มให้เขาตามเดิมเสร็จ เอ่ยขึ้นว่าจะสนทนากับเฉียวโม่ตามลำพัง
“จงใจให้กวนจวินโหวปลีกตัวออกไป จะคุยอะไรกับพี่ใหญ่หรือ”
“พี่ใหญ่ วันนี้ข้าไปเข้าเฝ้าไทเฮาในวังหลวงมาเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่ประหลาดใจยกใหญ่
เฉียวเจาเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวจบ จึงพบว่าคนที่รับฟังอย่างตั้งใจเงียบขรึมผิดปกติ “พี่ใหญ่?”
เฉียวโม่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ดังนั้นเจ้าจะไปที่ทะเลแดนใต้เพื่อเก็บมุกนิ่มเช่นเดียวกับหมอเทวดาหลี่หรือ”
นี่พี่ใหญ่ไม่ยินยอมใช่หรือไม่
แม่นางเฉียวยิ้มฝืดๆ กล่าวขึ้น “นี่มิใช่จุดสำคัญเจ้าค่ะ เป้าหมายหลักที่ข้าอยากไปทางทิศใต้เพราะเหตุไฟไหม้เรือนพวกเรา…”
“แต่ยังต้องไปเก็บมุกนิ่มกลับมารายงานตัว?” เฉียวโม่ตัดบทนางด้วยสีหน้าเฉยเมย
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ
เฉียวโม่มองน้องสาวด้วยแววตาค้นหา “เจาเจา เจ้าไปเก็บมุกนิ่มที่ทะเลแดนใต้ มิใช่เพื่อรักษาใบหน้าให้องค์หญิงเก้าเท่านั้นกระมัง”
นางหลบสายตาเขา “ข้ายังอยากไปเซ่นไหว้ท่านปู่หลี่ด้วยเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่ นอกจากเรื่องพวกนี้ เจ้ายังอยากใช้มุกนิ่มรักษาใบหน้าข้าด้วย” เขาพูดเสียงเบา
เฉียวเจาจับมือเขาไว้พร้อมกับกล่าวยิ้มๆ “พี่ใหญ่ ยิงธนูทีเดียวได้นกสามตัวไม่ดีหรือเจ้าคะ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป คงยากมากที่จะหาเหตุผลเดินทางลงใต้อย่างเปิดเผยได้อีก”
“ความปลอดภัยของเจ้าจะทำฉันใด”
“ไทเฮาจะส่งคนตามไปคุ้มครองเจ้าค่ะ”
ดวงตาของเฉียวโม่หม่นลง หมอเทวดาหลี่ก็มีคนของกวนจวินโหวคุ้มครอง แต่พอพบกับภัยธรรมชาติยังคงสุดปัญญาจะทำอะไรได้ “เจาเจา กลางทะเลไม่เหมือนบนบก มันอันตรายเกินไป ข้าไม่เห็นด้วย”
“พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเราตกลงกันไว้ว่าขอแค่มีคนที่ไว้วางใจได้ไปเป็นเพื่อนข้า ท่านจะไม่คัดค้าน”
เฉียวโม่ไม่ใจอ่อน “ตอนนั้นพูดว่าไปจยาเฟิง ไม่ได้รวมไปถึงทะเลแดนใต้”
เหนือสิ่งอื่นใด ยังเพราะเพิ่งเกิดเรื่องของหมอเทวดาหลี่อีก
เขาทนรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนในครอบครัวซ้ำอีกไม่ไหวแล้ว
เฉียวโม่รู้แก่ใจดีว่าน้องสาวเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง เขาตวัดสายตาไปที่ต้นฉำฉากลางลานเรือน
ดอกฉำฉาบานสะพรั่งเป็นสีแดงดุจเปลวเพลิง ดอกไม้รูปทรงคล้ายพัดเล็กๆ ร่วงกระจัดกระจายปกคลุมพื้นไว้ชั้นหนึ่ง
เขาดึงสายตากลับ ยกปัญหาสำคัญที่สุดขึ้นมา “เจ้าต้องฝังเข็มขับพิษให้กวนจวินโหวทุกวันไม่ใช่หรือ ถ้าออกเดินทางไปแล้วเขาจะทำอย่างไร”
เฉียวเจาย่อมต้องใคร่ครวญปัญหานี้มาก่อน นางได้ยินแล้วเอ่ยตอบ “ข้าขอผัดเวลาไปได้สองสามเดือนค่อยออกเดินทาง…”
เมื่อเห็นสายตาขุ่นมัวของพี่ชาย เฉียวเจาหยุดปากอย่างอ่อนใจ
นางหารือกับพี่ใหญ่เรียบร้อยแล้วชัดๆ มิใช่ประหารก่อนกราบทูลภายหลังสักหน่อย เหตุใดพี่ใหญ่ต้องคัดค้านหัวชนฝาเช่นนี้
“พี่ใหญ่…” เฉียวเจาเรียกขานคำหนึ่ง
เฉียวโม่หันหลังให้ไม่มองนางเสียเลย
เฉียวเจายื่นมือไปจับแขนเสื้อเขา “พี่ใหญ่ ไทเฮาเอื้อนโอษฐ์แล้ว ตอนนี้คงกลับคำไม่ได้อีก ท่านว่าอย่างไร”
เฉียวโม่ดึงแขนเสื้อคืน พูดเสียงเย็นว่า “ในเมื่อน้องเจากล่าวอย่างนี้ ไยต้องมาบอกกล่าวพี่ใหญ่อีกเล่า”
ด้วยความฉลาดหลักแหลมของน้องสาวคนโต คิดจะให้ไทเฮาเปลี่ยนใจมิใช่ไร้หนทาง พูดกันตรงๆ คือแม่เด็กน้อยอยากไป ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็ไม่พรั่น
“พี่ใหญ่ ท่านโกรธข้าจริงๆ หรือเจ้าคะ” เห็นแผ่นหลังเหยียดตรงของพี่ชาย เฉียวเจาไต่ถามขึ้น
เสียงพูดของร่างกายนี้อ่อนหวานนุ่มนิ่ม พอนางกล่าวคำนี้จึงละม้ายสาวน้อยกำลังออดอ้อนอยู่
เฉียวโม่ใจอ่อนยวบไปหลายส่วน จากนั้นเขาฝืนบังคับตนเองให้ทำใจแข็งดังเก่า
ใจอ่อนไม่ได้ ขืนใจอ่อน น้องเจาจะได้ใจ
ครั้นไม่มีเสียงใดๆ ดังมาจากเบื้องหลังเป็นนาน มีเพียงกลิ่นกายหอมรวยรินมาจางๆ ทำให้เขาแน่ใจว่าคนยังอยู่
สุดท้ายเฉียวโม่หันหน้าไปอย่างห้ามใจไม่อยู่ เห็นเด็กสาวนั่งจับเจ่าเหงาหงอย ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนลูกแมวโดนเจ้าของทอดทิ้ง
เขาอดยกมือยีผมนางไม่ได้ “เจาเจา…”
เด็กสาวช้อนตาขึ้น ดวงตาสุกใสฉาบม่านน้ำวาววับไว้บางๆ “พี่ใหญ่โกรธจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ไม่…”
เด็กสาวตาเป็นประกาย “เช่นนั้นตอบตกลงแล้ว?”
“ไม่…”
แววตาของนางหม่นลงละม้ายดวงดาวบนท้องฟ้าร่วงหล่นสู่ห้วงลึกแห่งความสิ้นหวังที่ห้อมล้อมตัวนางไว้จนหมด
เฉียวโม่พูดไม่จบประโยคก็กลับลำอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ได้จะไม่ตอบตกลง”
แต่กล่าวคำนี้จบ เขาก็ขุ่นเคืองตนเองสุดจะกล่าว ข้าใจอ่อนได้อย่างไร!
ดวงตาของเฉียวเจาโค้งลง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ต้องตอบตกลงเป็นแน่เจ้าค่ะ”
เฉียวโม่ลอบโคลงศีรษะ หลังน้องสาวคนโตเปลี่ยนมาอยู่ในร่างใหม่ ไฉนถึงออดอ้อนเก่งเช่นนี้กัน “ข้าอาจเปลี่ยนใจอีกแล้ว”
เฉียวเจาอึ้งไปก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่อย่าสัพยอกข้าเลย แต่ไรมาท่านรักษาคำพูดตลอด”
เฉียวโม่ยิ้มอย่างจนใจ
เฉียวเจาทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา “พี่ใหญ่ยอมรับได้จริงๆ หรือที่ศัตรูของพวกเราจะลอยนวลเหนืออาญาบ้านเมือง”
“ข้าปวดใจที่ต้องเอาภาระหนักอึ้งให้เจ้าแบกไว้บนบ่าผู้เดียวต่างหาก”
ไม่ว่าน้องสาวจะเข้มแข็งเพียงใด เขาวาดหวังอยากเป็นพี่ชายที่กำบังลมฝนให้นางได้เสมอ มิใช่กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่ต้องให้น้องสาวออกหน้าทุกเรื่องอย่างเช่นเวลานี้
เฉียวเจาเริ่มยิ้มออก “ดังนั้นข้าถึงต้องไปทะเลแดนใต้เจ้าค่ะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาใบหน้าของพี่ใหญ่ให้หายดี มีเพียงทำเช่นนี้พี่ใหญ่ถึงจะก้าวเข้าสู่เส้นทางเป็นขุนนางได้ เมื่อนั้นเส้นสายสัมพันธ์ที่หลงเหลืออยู่ของท่านปู่กับท่านพ่อจึงจะช่วยสนับสนุนพี่ใหญ่ได้อีกแรง ภายภาคหน้าพวกเราก็จะต่อสู้ฟาดฟันกับสมุหราชเลขาธิการหลันซานให้รู้ดำรู้แดงได้อย่างแท้จริง”
ท่านปู่เคยเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาหลวง ในสมัยวัยหนุ่มยังเป็นผู้คุมสอบในการสอบขุนนางระดับเซียงซื่อ* และระดับฮุ่ยซื่อ** หลายครั้ง ตามธรรมเนียมแล้วผู้คุมสอบกับผู้เข้าสอบจะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ขอแค่ย่างเท้าเข้ามาเป็นขุนนาง นี่จะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่อาจปลดเปลื้องได้ชั่วชีวิต ด้วยเหตุนี้จุดเด่นของพี่ใหญ่จะสำแดงอานุภาพได้ก็ต่อเมื่อมีที่ยืนอยู่ในราชสำนัก
เฉียวโม่นิ่งเงียบอยู่นานถึงกล่าวเสียงเบา “เจ้าพูดได้ถูกต้อง”
ในเมื่อการสืบเบาะแสของผู้ที่วางยาพิษเขาสาวไปถึงตัวฮูหยินของมู่เอินป๋อซึ่งเป็นบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน เช่นนั้นไม่ว่าคนที่เล่นงานสกุลเฉียวโดยตรงจะเป็นใครก็ตาม ท้ายที่สุดพวกเขาต้องปะทะกับหลันซานวันยังค่ำ หากเขาราวกับคนพิการเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หรือว่าวันหน้าจะมองดูน้องสาวปะทะขับเคี่ยวกับสมุหราชเลขาธิการผู้นี้ด้วยตัวคนเดียว
“นี่พี่ใหญ่ตอบตกลงแล้วจริงๆ นะเจ้าคะ” เฉียวลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
“ไม่ตอบตกลงยังจะทำอย่างไรได้เล่า” เฉียวโม่ถอนใจเบาๆ
“พี่ใหญ่ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี วันนี้เรื่องที่ข้าเข้าวังทำให้คนในเรือนเป็นห่วงมาก ข้ากลับไปก่อนนะเจ้าคะ”
หลังน้องสาวกลับไป เฉียวโม่ยังนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะหินในลานเรือนไม่ขยับไปที่ใด จนกระทั่งน้ำชาที่วางอยู่เย็นชืดแล้วถึงหยิบขึ้นดื่มเงียบๆ คำหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนนั่งลงฝั่งตรงข้าม “พี่เฉียวโม่มีเรื่องลำบากใจอะไรใช่หรือไม่”
เฉียวโม่หันมามองเขา
“เกี่ยวกับคุณหนูหลี?”
เฉียวโม่พยักหน้า “ท่านโหวเดาไม่ผิด”
เซ่าหมิงยวนกวักมือเรียกองครักษ์คนหนึ่งให้ยกน้ำชาเย็นชืดออกไปเปลี่ยนเป็นชาชงใหม่ เขายกกาน้ำชารินถ้วยหนึ่งให้เฉียวโม่ แต่ไม่ได้รินให้ตนเองก็วางกากลับลงบนโต๊ะเบาๆ
“หากไม่ขัดข้องที่จะพูด พี่เฉียวโม่สามารถบอกข้าได้ ถ้าข้าช่วยเหลือได้จะทำสุดความสามารถอย่างแน่นอน”
“นางจะไปเก็บมุกนิ่มที่ทะเลแดนใต้”
ถ้อยคำเดียวของเฉียวโม่ทำให้เซ่าหมิงยวนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาสะกดความตะลึงพรึงเพริดในใจไว้ พยายามรักษาน้ำเสียงให้สงบนิ่งอย่างเต็มที่ยามเอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”
เมื่อได้ฟังเฉียวโม่บอกเหตุผล เขาอ้าปากกล่าว “ในเมื่อคุณหนูหลีตัดสินใจว่าจะไป อย่างนั้นข้าจะส่งองครักษ์ไปคุ้มครองเพิ่มขึ้น”
เฉียวโม่ดื่มน้ำชาคำหนึ่ง ค่อยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านโหวไม่ห่วงความปลอดภัยของเจาเจาหรือ”
* เซียงซื่อ คือการสอบรับราชการระดับมณฑล
** ฮุ่ยซื่อ คือการสอบรับราชการระดับเมืองหลวง