หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 352
บทที่ 352
อีกด้านหนึ่ง เฉียวเจากลับถึงเรือนหยาเหอ นางบอกเรื่องกำลังจะเดินทางลงใต้กับมารดา เหอซื่อได้ยินแล้วทนรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
“ท่านแม่ ท่านฟังข้าอธิบายนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ฟังๆ” เหอซื่อเอามือปิดหู สาวเท้าเดินออกไปข้างนอกเลย หากข้ายอมฟังต้องโดนนางหว่านล้อมเป็นแน่!
เหอซื่อพุ่งไปชนร่างหลีกวงเหวิน
เขายื่นมือประคองนางไว้แล้วพูดเอ็ด “นี่ทำอะไรกัน ลุกลี้ลุกลน!” เพราะอะไรภรรยาเขาจะเป็นกุลสตรีสักนิดไม่ได้นะ
“ท่านพี่ ท่านรีบไปเกลี้ยกล่อมเจาเจาเถอะเจ้าค่ะ ข้าห้ามนางไม่อยู่…”
“เกลี้ยกล่อมอะไร” หลีกวงเหวินทำท่าไม่เชื่อคำพูดนาง “เจาเจากระทำการใดอย่างมีขอบเขตเสมอมา เจ้าอย่าถ่วงรั้งนาง” สตรีโง่เขลา รู้จักแต่สร้างปัญหาให้บุตรสาวของเขา
ดวงตาคู่งามของเหอซื่อเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน “ท่านพี่ยังไม่ทราบกระมัง เจาเจาจะไปทิศใต้เสาะหาตัวยาให้องค์หญิงเจ้าค่ะ”
เมื่อเหอซื่อเช็ดน้ำตาพลางพูดจนจบ นายท่านใหญ่ของสกุลหลีผู้รูปงามคมคายก็ตะลึงงันไป
“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าเจาเจากระทำการใดมีขอบเขต แต่ข้าอดเป็นห่วงไม่ได้…”
ริมฝีปากของหลีกวงเหวินสั่นระริก เขาถอนคำพูดเมื่อครู่นี้ เจ้าลูกผู้นั้นมีขอบเขตที่ใดกัน เหลวไหลสิ้นดี
หลีกวงเหวินเหลือบตาไปเห็นเฉียวเจายืนอยู่ข้างประตู
“ท่านพ่อ” เฉียวเจากล่าวทักทายอย่างเป็นเด็กดี
“อื้อ” หลีกวงเหวินส่งเสียงตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย
“หรือไม่ท่านพ่อเกลี้ยกล่อมท่านแม่เถอะเจ้าค่ะ ท่านเข้าใจอะไรๆ มากกว่า ท่านแม่เชื่อฟังท่าน” เฉียวเจาชิงกล่าวเยินยอหลีกวงเหวินก่อน ค่อยหันไปบอกกับเหอซื่อพร้อมรอยยิ้มละไม “ท่านแม่ ข้าไปต้มของหวานให้พวกท่านสองคนดื่มนะเจ้าคะ”
บุตรสาวเดินหนีไปแล้ว ทิ้งให้สองสามีภรรยามองหน้ากันไปมา
นานครู่ใหญ่ต่อมา เหอซื่อถามขึ้น “ท่านพี่ เจาเจาบอกว่าท่านเข้าใจอะไรๆ มากกว่า หมายความว่าอะไรเจ้าคะ”
หลีกวงเหวินมองฟ้าเงียบๆ เขาจะรู้ได้อย่างไร เมื่อครู่พอบุตรสาวเอ่ยชมเขา เขามัวแต่ดีใจจนลืมถามไป
เฉียวเจาผลุบเข้าไปอยู่ในห้องครัวเล็ก ต้มของหวานที่เติม ‘เครื่องปรุงพิเศษ’ อย่างหนึ่งแล้วยกไปให้หลีกวงเหวินกับเหอซื่อ
เมื่อมีของหวานไปแสดงความกตัญญู ในที่สุดเฉียวเจาก็ใช้วิธีทั้งวิงวอนทั้งหว่านล้อมบิดามารดาจนเป็นผลสำเร็จ นางถึงถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอกกลับไปยังเรือนเล็กฝั่งซ้าย
นกขุนทองใต้ชายคากำลังสัปหงกอยู่บนคอน มันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็กระพือปีกบินมาเกาะมือเฉียวเจา เอียงคอเปล่งเสียงพูดว่า “สมดังปรารถนา…”
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม
หลังจากสอนคำที่ถูกต้องให้เจ้านกขุนทองตัวนี้พูดนับครั้งไม่ถ้วน มันก็ไม่เรียกส่งเดชอีกแล้ว
นางเพิ่งคิดถึงตรงนี้ ก็ได้ยินนกขุนทองส่งเสียงเรียกดังกังวานใส “น้องหญิง”
เฉียวเจายกมือกุมขมับ
ปิงลวี่ที่อยู่ด้านข้างเกาท้ายทอย “พูดไปก็น่าแปลกนะเจ้าคะ ไฉนเอ้อร์ปิ่งเอาแต่เรียกคุณหนูว่าน้องหญิงเล่า”
เฉียวเจาทำเสียงหึๆ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร!
ปิงลวี่ตบมือ “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“หือ?”
“ต้องเป็นแม่ทัพเซ่าสอนมันแน่ๆ”
เฉียวเจาอึ้งงัน “…”
พอเห็นผู้เป็นนายไม่ปริปากตอบ ปิงลวี่ขยิบตากับอาจู “อาจู เจ้าว่าอย่างไร”
ช่วงที่อยู่ในวัดต้าฝูนั่น นางมองออกว่าแม่ทัพเซ่าเอาใจใส่คุณหนูมาก ถ้าคุณหนูออกเรือนไปกับเขาได้คงจะดีมาก
อืม…หากเป็นเช่นนั้น เฉินกวงก็จะเป็นสารถีของคุณหนูไปตลอดแล้ว
สาวใช้น้อยนึกไปถึงที่เฉินกวงบอกกับนางที่วัดต้าฝู ที่แท้วันหน้าเขายังคงต้องกลับไปยังจวนกวนจวินโหวอยู่ดี
เมื่อคิดถึงว่าเฉินกวงต้องกลับจวนกวนจวินโหว ไม่อยู่ที่จวนสกุลหลีอีก ปิงลวี่ก็เริ่มเสียใจแล้ว
เช่นนั้นจะได้อย่างไรเล่า เฉินกวงไม่อยู่จวนสกุลหลี วันหน้าใครจะสอนวิชาหมัดมวยให้นาง ใครจะให้นางกลั่นแกล้ง
“ข้าไม่รู้” อาจูส่ายหน้าตอบตามสัตย์จริง แต่แล้วนางก็ทำตาเป็นประกาย “คุณหนู ท่านดูสิ…”
นกพิราบขาวที่เหินข้ามฟ้าสีครามตัวหนึ่งร่อนถลาลงมาอย่างงดงามแล้วบินวนเวียนรอบกายเฉียวเจา
นางยื่นมือออกไป มันก็บินมาเกาะบนมือนาง
เอ้อร์ปิ่งเอียงคอมองสำรวจแขกไม่ได้รับเชิญปราดหนึ่ง มันกางปีกบินจากมือข้างหนึ่งของเฉียวเจาไปที่มืออีกข้างของนางแล้วเบียดนกพิราบออกไปและส่งเสียงร้องใส่นกพิราบอย่างลำพองใจ
เฉียวเจายกมือลูบปีกนกขุนทอง เอ่ยเตือนมัน “อย่าก่อกวน”
เอ้อร์ปิ่งกลอกตาไปมาราวกับเข้าใจคำพูดของเจ้านาย มันไม่ส่งเสียงร้องอีก หลังจากนั้น…หลังจากนั้นมันปรี่เข้าใส่นกพิราบขาว เจ้านกสองตัวเริ่มต่อสู้กัน
นายบ่าวทั้งสามคนล้วนตกตะลึงจนลืมกล่าววาจาไปชั่วขณะ
หนึ่งนกขุนทองหนึ่งนกพิราบขาวสู้กันจนหนำใจประหนึ่งด้านข้างไร้ผู้คน ผลลัพธ์คือเอ้อร์ปิ่งชนะไปอย่างขาดลอย
“ปิงลวี่ พาเจ้าเอ้อร์ปิ่งไปกินน้ำ”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ใช้สองมืออุ้มเอ้อร์ปิ่งที่กำลังฮึกเหิมคึกคะนองออกไป
ในเวลานี้เฉียวเจาถึงก้มตัวไปช้อนตัวนกพิราบขึ้น นางช่วยลูบขนของมันให้เป็นระเบียบอย่างปลอบโยน ค่อยหยิบแผ่นสารในกระบอกทองแดงที่ผูกอยู่กับขามันออกมา
บนกระดาษมีถ้อยความสั้นๆ
‘พบกันที่เรือนด้านข้าง’
เซ่าหมิงยวนต้องการพบข้า
เฉียวเจาไม่ได้เขียนสารตอบ นางปล่อยนกพิราบขาวบินไป
ในคฤหาสน์ด้านข้าง เซ่าหมิงยวนรออยู่ที่นั่นแล้ว
ตรงกลางลานเรือนมีต้นองุ่นต้นหนึ่ง ในฤดูนี้องุ่นสุกงอมแล้วละม้ายลูกปัดหินโมราเรียงซ้อนๆ กันส่องประกายเย้ายวนใจ
เซ่าหมิงยวนเลือกเด็ดลงมาสองพวงเอาไปล้างที่ข้างบ่อน้ำ องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพ ให้ข้าทำเถอะขอรับ”
“ไม่ต้อง” เซ่าหมิงยวนล้างอย่างตั้งอกตั้งใจมากโดยไม่เงยหน้าขึ้น
นกพิราบขาวบินลงมาตรงข้างเท้าเขา มันกู่ร้องสองเสียงอย่างคับข้องหมองใจ
เซ่าหมิงยวนหันไปมองมันแล้วขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่
ไฉนนกพิราบสื่อสารตัวนี้เหมือนโดนซ้อมมายกหนึ่ง จะบอกว่าระยะทางไกล มันอาจพบอันตรายกลางทางได้ แต่นี่ไปแค่เรือนด้านข้างกระมัง
แม่ทัพหนุ่มล้างองุ่นเสร็จส่งให้องครักษ์ไปใส่จาน เขาลุกขึ้นยืนทอดสายตามองไปทางจวนสกุลหลี ครุ่นคิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้
เขาเปิดกระบอกทองแดงออกพบว่ากระดาษสารหายไปแล้ว ลูบหัวเจ้านกพิราบเบาๆ ทีหนึ่ง “ลำบากเจ้าแล้ว ไปเถอะ”
หลังองุ่นถูกวางใส่จานหยกขาวตั้งอยู่บนโต๊ะหิน เซ่าหมิงยวนไม่ได้แตะต้องสักลูกเดียว เขาถือตำราพิชัยยุทธ์เล่มหนึ่งด้วยมือข้างเดียวอ่านเงียบๆ
รอคอยเป็นเวลาราวสองเค่อ ก็มีองครักษ์เข้ามากระซิบบอก “ท่านแม่ทัพ คุณหนูหลีมาแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนวางหนังสือทิ้งไว้บนโต๊ะ ลุกออกไปหานาง
“แม่ทัพเซ่า”
“คุณหนูหลีเชิญตามข้ามา”
เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจามานั่งลงตรงข้างโต๊ะหิน ยื่นนิ้วมือเรียวยาวจับจานหยกขาวเลื่อนไปตรงหน้านาง “ข้าพบว่าองุ่นของที่นี่ไม่ด้อยไปกว่าองุ่นในลานเรือนหลังของหอชุนเฟิง คุณหนูหลีลองชิมดู”
เฉียวเจากินองุ่นลูกหนึ่งแล้วเอ่ยชม “รสชาติดีมากเจ้าค่ะ ข้ายังนึกว่าจะได้กินองุ่นของหอชุนเฟิงก่อนเสียอีก”
นางพูดประโยคนี้ตามปากพาไป แต่เซ่าหมิงยวนกลับบอกว่า “ประเดี๋ยวข้าสั่งให้คนส่งไปให้คุณหนูหลีนะ”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่แม่ทัพเซ่าเรียกข้ามามีธุระอันใดหรือ”
“ข้าได้ยินจากพี่เฉียวโม่ว่าท่านจะไปทางทิศใต้”
เฉียวเจาพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ แม่ทัพเซ่าวางใจได้ ข้าจะรอจนท่านไม่จำเป็นต้องฝังเข็มแล้วค่อยออกเดินทาง”
“ไม่ต้อง”
นางนิ่งขึงไป
บุรุษที่นั่งฝั่งตรงข้ามสบตานางอย่างเปิดเผย “ข้าจะไปพร้อมกับท่าน”
นางนิ่งคิดแล้วถามขึ้น “นี่เป็นความต้องการของพี่ใหญ่ข้าหรือ”
“ใช่” ชายหนุ่มกล่าวตอบโดยไม่ลังเลแม้สักนิด หากแต่ความรู้สึกชอบกลในใจยิ่งรุนแรงขึ้น
ไม่ว่าพี่เฉียวโม่หรือคุณหนูหลี น้ำเสียงยามเอ่ยถึงอีกฝ่ายไม่แตกต่างอันใดกับคนที่เป็นพี่น้องกันจริงๆ
อันที่จริงเขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้เป็นอย่างไร เขาไม่มีน้องสาวเลยนึกภาพตนปฏิบัติกับสตรีที่มิใช่สายเลือดเดียวกันแบบน้องสาวแท้ๆ ไม่ออก ถึงเป็นหว่านวาน นั่นเป็นเพียงความรับผิดชอบที่เขามีต่อภรรยาที่ตายจากไป
นอกเหนือจากนี้ จริงๆ แล้วคุณหนูหลีกับพี่เฉียวโม่ไม่ได้มีเวลาอยู่ร่วมกันมากเท่าไร
“ด้วยศักดิ์ฐานะของแม่ทัพเซ่า เดินทางลงใต้อย่างลับๆ เกรงว่าจะไม่ใคร่สะดวก”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “เรื่องพวกนี้ข้าจะสะสางเอง คุณหนูหลีไม่จำเป็นต้องวุ่นวายใจ”
“เช่นนั้นแม่ทัพเซ่าเรียกข้ามาด้วยเรื่องใดกันแน่เล่า”
“ขอให้คุณหนูหลีรอเยี่ยลั่วกลับเมืองหลวงแล้วค่อยออกเดินทาง เขาเคยไปแดนใต้มาก่อน รู้จักสภาพพื้นที่ทางนั้นมากกว่า” เซ่าหมิงยวนกล่าวอธิบาย
เฉียวเจาพยักหน้า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ แม่ทัพเซ่าใคร่ครวญได้รอบคอบมาก”
แววเศร้าโศกผุดขึ้นในดวงตานางจางๆ เซ่าหมิงยวนรู้ว่าเป็นเพราะเอ่ยถึงเยี่ยลั่ว ส่งผลให้เด็กสาวตรงหน้าคิดถึงหมอเทวดาหลี่อีกแล้ว
เขารู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไรดี จึงเลื่อนองุ่นจานนั้นไปให้ “คุณหนูหลี กินองุ่นสิ”
เฉียวเจากินลูกหนึ่งแล้วมองเขา
บุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตีหน้าเก้อๆ
เพลานี้เฉียวเจาถึงแจ่มแจ้งว่าที่แท้เขาแค่เรียกให้กินองุ่น นางยังนึกว่าเป็นการเกริ่นนำก่อนจะพูดเข้าเรื่องต่อ
หญิงสาวรู้สึกขบขันอยู่สักหน่อย นางลุกขึ้นยืน “แม่ทัพเซ่า หากไม่มีเรื่องอื่นอีก ข้าจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “ได้ คุณหนูหลีค่อยๆ เดิน”
จวบจนกลับถึงจวนสกุลหลี เฉียวเจายังครุ่นคิดอยู่เลยว่า ทั้งที่พบหน้ากันอยู่ทุกวัน เซ่าหมิงยวนรีบร้อนอะไรกันแน่…