หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 358
บทที่ 358
เฉียวเจาเดินนำหน้าออกไปก่อนโดยไม่แยแสที่ทุกคนนิ่งเงียบไป
เซ่าหมิงยวนแสร้งวางท่าเยือกเย็น เขากระแอมกระไอทีหนึ่งก่อนบอกกับพวกฉือชั่น “ถ้าอย่างนั้นข้าไปที่ห้องก่อนนะ”
รอหลังจากเขาก้าวออกจากโถง หยางโฮ่วเฉิงถึงลอบชายตามองฉือชั่นแวบหนึ่ง
ฉือชั่นอับอายจนพาลโกรธ “มองข้าด้วยเหตุใดกัน!”
เขาคว้าจอกสุราขึ้นกรอกเข้าปาก แต่เพราะดื่มเร็วเกินไปรสชาติที่ฉุนแรงพุ่งขึ้นมาระลอกหนึ่งทำให้สำลักอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไอจนน้ำตาเล็ดออกมา
หยางโฮ่วเฉิงพูดเสียงงึมงำ “โกรธก็โกรธสิ แต่คงไม่ถึงขั้นต้องร้องไห้นะ”
“หุบปาก!” ฉือชั่นโมโหเจียนคลั่ง บังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากขว้างจอกสุราใส่หน้าสหายรัก
เขาเพ่งมองประตูโถงที่เปิดอ้าอยู่พลางแค่นเสียงเยาะตนเองในใจ หลีซาน เจ้าช่างเป็นเด็กสาวใจร้ายเสียจริงๆ
เจียงหย่วนเฉากุมจอกสุราด้วยสองมือ ดึงสติคืนมาไม่ได้นานครู่ใหญ่เฉกเดียวกัน
คุณหนูหลีกับกวนจวินโหว…สนิทสนมกันเกินไปบ้างใช่หรือไม่
เขาหันสายตาไปหยุดที่ตัวฉือชั่น
ยามนี้สีหน้าของฉือชั่นกลับเป็นปกติแล้ว เขาชูจอกสุราในมือ “ดื่มสักจอกหรือไม่”
“ดี” เจียงหย่วนเฉายิ้มบางๆ
ขณะที่เฉียวเจาเดินเอื่อยๆ อยู่ด้านหน้า เซ่าหมิงยวนไล่ตามมา
“ไปที่ใด” เฉียวเจาเบือนหน้ามาถาม
“ไปห้องข้าเถอะ” เซ่าหมิงยวนกล่าวคำนี้แล้วรู้สึกว่าใบหูร้อนผ่าวขึ้น
นางพยักหน้า “ก็ดี”
ทั้งคู่เข้าไปในห้องของเซ่าหมิงยวนพร้อมกัน หลังฝังเข็มเสร็จเขาสวมเสื้อผ้าอย่างว่องไวแล้วเอ่ยกับนาง “ขอบคุณคุณหนูหลีมาก ท่านไปพักผ่อนสักครู่เถอะ ข้าจะไปหาพวกสือซี”
“แม่ทัพเซ่า ข้ามีบางเรื่องจะพูดกับท่าน”
“เอ่อ…” ชายหนุ่มมองไปทางเยี่ยลั่วซึ่งยืนอยู่หน้าประตูแล้วออกคำสั่ง “เยี่ยลั่ว เจ้าไปเฝ้าอยู่นอกประตู อย่าให้คนอื่นเข้ามาใกล้”
เยี่ยลั่วปิดประตูห้องเงียบๆ
ผืนน้ำโล่งกว้าง ต่อให้อยู่ในห้องยังมีแสงส่องสว่างไสวอย่างยิ่งยวด เฉียวเจาเห็นถนัดตาว่าใบหูขาวกระจ่างของบุรุษตรงหน้าเป็นสีแดงเรื่อ
นี่เขาเขินอายอยู่หรือ
เฉียวเจาฉงนใจอยู่บ้าง ทั้งที่เคยเปลื้องผ้าเบื้องหน้านางนับครั้งไม่ถ้วน ครานี้เขาอายอะไรหรือ
นางนั่งลงรินน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง วางท่าเตรียมพูดคุยเป็นเวลานาน “หลังแม่ทัพเซ่าไปจยาเฟิงเซ่นไหว้เรียบร้อย แล้วมีแผนการอะไรต่อเจ้าคะ”
“คุณหนูหลีจะไปทะเลแดนใต้ต้องผ่านทางจยาเฟิง ข้าอยากขอให้ท่านรอข้าสักสองวัน ข้าเซ่นไหว้ครอบครัวท่านพ่อตาเสร็จก็จะติดตามท่านมุ่งหน้าลงใต้”
“แต่ข้าตั้งใจจะอยู่ในจยาเฟิงระยะหนึ่งเจ้าค่ะ”
“นี่เป็นเพราะเหตุใดหรือ”
เฉียวเจาช้อนตาขึ้นสบตาเขา “ข้าจะสืบหาคนร้ายตัวจริงที่วางเพลิงเรือนสกุลเฉียว ให้เขาได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสมกับความผิด”
คนที่เล่นงานสกุลเฉียวโดยตรงจะเป็นแม่ทัพคั่งวอสิงอู่หยางหรือเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเขากันแน่นั้น ขณะนี้ยังไม่แน่ชัด ฮ่องเต้ไม่อยากแตะต้องทั้งสิงอู่หยางทั้งสมุหราชเลขาธิการหลันซาน เช่นนั้นก็เริ่มลงมือจากบริวารรอบตัวคนเหล่านี้ก่อน ค่อยๆ ตัดแขนตัดขาของพวกเขาทีละนิด
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนถามขึ้น “พี่เฉียวโม่รู้ถึงความตั้งใจของท่านหรือไม่”
“รู้เจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนเพ่งมองเด็กสาวตรงหน้า ดวงตาของเขาทอแววลุ่มลึกน่าหลงใหล
“เหตุใดแม่ทัพเซ่ามองข้าเช่นนี้”
เซ่าหมิงยวนพูดอย่างจริงใจ “เพราะข้าแปลกใจอยู่สักหน่อยว่าเพราะอะไรพี่เฉียวโม่เห็นด้วยที่ท่านจะทำเช่นนี้”
ถึงแม้คุณหนูหลีจะไม่เหมือนเด็กสาวสามัญทั่วไป ทั้งเป็นน้องสาวบุญธรรมของพี่เฉียวโม่ แต่ถึงที่สุดแล้วเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวไม่เกี่ยวข้องกับนางสักนิด ไฉนพี่เฉียวโม่ยอมให้นางแบกรับภาระนี้ไว้
นี่ไม่สมเหตุสมผล หากเขาเป็นพี่เฉียวโม่ ไม่มีทางดึงเด็กสาวที่เป็นคนนอกผู้หนึ่งเข้ามาพัวพันอย่างเด็ดขาด
สายตาของเฉียวเจาไหววูบหนึ่ง
นี่เซ่าหมิงยวนสงสัยข้าหรือ แต่คนผู้นี้กลับเถรตรงนัก ทั้งที่สงสัยก็ยังบอกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
เฉียวเจาไม่คิดจะบอกให้บุรุษตรงหน้าล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง กระนั้นนางไม่อาจไม่ยอมรับว่านางเชื่อใจคนผู้นี้
ไม่ใช่เพราะเขาเคยเป็นสามีของนาง แต่เพราะเขาคือเซ่าหมิงยวน
“ที่แท้แม่ทัพเซ่าแปลกใจเรื่องนี้นั่นเอง” เฉียวเจาแย้มยิ้มพริ้มพรายมองเขา “เพราะข้ารบเร้าเซ้าซี้ พี่ใหญ่ถึงจำยอมตอบตกลง”
รบเร้าเซ้าซี้?
เซ่าหมิงยวนทำหน้าตาชอบกล ไม่ว่าอย่างไรเขามิได้นึกไปถึงเหตุผลอย่างนี้ ขณะเดียวกับที่รู้สึกว่ามันเหลวไหล พอสายตาเขาปะทะกับนัยน์ตาดุจหินนิลดำของเด็กสาว ยังมีรอยยิ้มซุกซนซึ่งแต้มอยู่ตรงมุมปากนางแล้ว เขาก็ชักไม่แน่ใจขึ้นมาอีก
แม่ทัพหนุ่มบังเกิดความคิดหนึ่งในหัวฉับพลัน ถ้าหากนางขอร้องเขาด้วยท่าทางเช่นนี้ ต่อให้เป็นเรื่องไร้สาระมาก เขาคงจะอดตอบตกลงไม่ได้เหมือนกันกระมัง
เฉียวเจาหุบยิ้มเพ่งมองถ้วยในมือพลางถามเสียงเบา “แม่ทัพเซ่ารู้ว่าท่านปู่หลี่จากไปเพราะเหตุใดกระมัง”
เซ่าหมิงยวนไม่กล่าววาจา คำตอบของคำถามนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดเหลือหลาย
ทว่าเด็กสาวตรงหน้าให้คำตอบแก่เขาต่างออกไป “เหตุไฟไหม้นั่นเป็นต้นเหตุให้ท่านปู่หลี่จบชีวิต”
ยามเอ่ยถึงหมอเทวดาหลี่ แววหม่นเศร้าจุดวาบขึ้นในดวงตาของเฉียวเจา “ถ้าไม่มีเหตุไฟไหม้นั่น พี่ใหญ่จะไม่เสียโฉม ท่านปู่หลี่ก็ไม่ต้องไปทิศใต้เสาะหาตัวยา เช่นนั้นท่านไม่ต้องมีอันเป็นไปแล้ว อีกอย่างในเมื่อข้านับถือพี่ใหญ่เป็นพี่ชายบุญธรรม เรื่องของเขาก็คือเรื่องของข้า ข้ารู้ว่าในใจพี่ใหญ่ทุกข์ทรมานมาก เขาอยากจับฆาตกรมาลงโทษตามอาญาบ้านเมืองมากกว่าผู้ใด ดังนั้นไม่ว่าพินิจจากด้านใด ข้าล้วนไม่มีทางวางเฉยอยู่ได้”
“คุณหนูหลี”
“หือ?”
“เป้าหมายแท้จริงที่ท่านเดินทางลงใต้คือเหตุผลนี้กระมัง”
เฉียวเจาไม่ปิดบังเช่นกัน นางอมยิ้มพยักหน้า “ใช่”
นางทำสีหน้าขึงขังยามมองบุรุษเบื้องหน้า “ฉะนั้นแม่ทัพเซ่าโปรดช่วยข้าอีกแรงเถอะ”
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้า
เฉียวเจาเม้มปากแน่น มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“คุณหนูหลีกล่าวผิดแล้ว มิใช่ข้าช่วยท่านอีกแรง แต่ต้องขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้า” เซ่าหมิงยวนอธิบายยิ้มๆ “ตามหาคนร้ายตัวจริงที่วางเพลิงเรือนสกุลเฉียวเป็นเรื่องที่ข้าพึงกระทำ”
“ไม่สำคัญว่าใครช่วยใคร เอาเป็นว่าพวกเราตกลงกันตามนี้นะเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “อื้อ ตกลงกันตามนี้”
เฉียวเจาเผยรอยยิ้มสดใสผ่อนคลาย “ไม่ทราบว่าแม่ทัพเซ่าตั้งใจจะเริ่มลงมือจากตรงที่ใดเจ้าคะ”
เขาทำท่าละล้าละลังอยู่บ้างกับคำถามนี้ จะอย่างไรคุณหนูหลีก็เป็นสตรี เขากลัวว่าบอกออกมาแล้วนางจะตกใจ
“แม่ทัพเซ่า?” สุ้มเสียงอ่อนหวานของสาวน้อยแฝงรอยรบเร้าเต็มเปี่ยม
ความลังเลน้อยนิดในใจคนบางคนหายวับไปทันควัน เขาบอกตามตรง “ข้าตั้งใจจะเชิญนักชันสูตรเปิดโลงพลิกศพ”
คำว่า ‘เปิดโลงพลิกศพ’ ทำให้เด็กสาวหน้าถอดสีในชั่วอึดใจ
ชายหนุ่มลอบถอนใจ เขาเอ่ยถามเสียงนุ่ม “คุณหนูหลีตกใจใช่หรือไม่”
เอ่ยถึงเรื่องพรรค์นี้ มีสตรีวัยเยาว์อายุสิบกว่าปีคนใดบ้างไม่หวาดกลัว
แน่นอนว่าเฉียวเจาไม่ได้ตกใจ แค่ว่าชั่วพริบตานี้หัวใจนางละม้ายถูกบีบรัด
นางไม่กล้าคิดถึงสภาพในตอนนี้ของบิดามารดาและญาติพี่น้อง ยิ่งไม่กล้าคิดถึงสภาพหลังจากนักชันสูตรเปิดโลงพลิกศพ เพียงนึกขึ้นมาก็เจ็บปวดแทบขาดใจ
ทว่านางไม่อาจไม่ยอมรับว่า นี่เป็นขั้นตอนที่จำเป็นต้องกระทำ
“แม่ทัพเซ่า ท่านกล่าวต่อเถอะ”
“ข้าเคยยืมอ่านบันทึกการสืบคดีเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวจากจวนเสนาบดีโค่ว พบว่าตอนรองเสนาบดีหลีไปสืบคดีที่จยาเฟิงมิได้เชิญนักชันสูตรมาตรวจสอบศพของชาวสกุลเฉียว ส่วนข้อสรุปที่ออกมาว่าโดนไฟคลอกเสียชีวิตนั้นหลักๆ แล้วพินิจจากสภาพคฤหาสน์สกุลเฉียวหลังโดนไฟไหม้รวมถึงสอบถามชาวบ้านในละแวกใกล้ๆ ข้าก็เลยอยากเชิญนักชันสูตรที่เจนจัดช่ำชองมาตรวจสอบดูสักครั้ง…” เสียงพูดของเซ่าหมิงยวนชะงักไป “คุณหนูหลี ท่านไม่สบายใช่หรือไม่”
เฉียวเจาคลี่ยิ้มทั้งที่หน้าซีดเผือด “ข้าคงจะเมาเรือเล็กน้อย แม่ทัพเซ่าพูดต่อได้เลยเจ้าค่ะ”