หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 360
บทที่ 360
ฉือชั่นขมวดคิ้ว “ไม่เกี่ยวก็ดี วันหน้าเจ้าอยู่ห่างๆ จากเขาสักหน่อย”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” เฉียวเจาพูดโดยไม่ลังเล
เขาไม่ได้เห็นเฉียวเจาว่านอนสอนง่ายเฉกนี้มานาน พอได้ยินนางกล่าวคำนี้เขาจึงเผยรอยยิ้มแจ่มจ้า นัยน์ตาทอประกายอ่อนละมุน “อย่างนั้นก็ดี”
เจียงหย่วนเฉาแยกจากไปเป็นแค่เหตุการณ์เล็กๆ ที่แทรกขึ้นมา ถึงแม้จะก่อแรงกระเพื่อมไหวในจิตใจของทุกคนหลายส่วน แต่เมื่อเรือมุ่งหน้าลงใต้ไปเรื่อยๆ มันก็ถูกลืมเลือนไปทีละน้อยทีละนิด
วันทั้งวันอยู่แต่บนเรือ ทิวทัศน์แม่น้ำจะงดงามปานใดก็เห็นจนเบื่อหน่าย หยางโฮ่วเฉิงพิงราวรั้วอย่างเอื่อยเฉื่อยเกียจคร้าน ทอดสายตามองไปไกลๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “เมืองต่อไปคือเมืองใดหรือ น่าจะใกล้ถึงเป่าหลิงแล้วกระมัง”
เซ่าหมิงยวนเดินมาวางสองมือบนราวรั้ว กล่าวเสียงเรียบ “เมืองถัดไปคือไถสุ่ย”
“ไถสุ่ย?” หยางโฮ่วเฉิงหันหน้าไปพูดกับเฉียวเจา “คุณหนูหลี ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นพวกเราได้พบกับหมอเทวดาหลี่ที่ไถสุ่ย…”
“หยางเอ้อร์” ฉือชั่นกระซิบเตือน “เจ้าเบาปัญญาใช่หรือไม่ ปากไม่มีหูรูด”
หยางโฮ่วเฉิงประจักษ์ว่าพลั้งปากไป เขาทำตาปริบๆ อย่างกระอักกระอ่วนใจ
เดิมทีเฉียวเจาอ่านหนังสืออยู่ นางได้ยินวาจานี้ก็วางตำราแพทย์ลงเดินไปหาคนทั้งสาม สายตาทอดมองไปยังท่าเรือที่เห็นได้รำไร “ใช่เจ้าค่ะ ตอนนั้นเป็นพี่หยางที่พาท่านปู่หลี่มาตรวจอาการให้ข้า”
“คุณหนูหลี ข้าไม่ได้ตั้งใจเอ่ยถึง…” หยางโฮ่วเฉิงทำสีหน้าขอลุแก่โทษ
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “พี่หยางไม่ต้องใส่ใจ ถึงไม่เอ่ยขึ้นมาข้าก็จำได้อยู่ดี”
นางพิงราวรั้วมองไปที่ไกลๆ ปล่อยให้ลมจากแม่น้ำพัดชายเสื้อปลิวไสว ปลายจมูกได้กลิ่นจางๆ ของแม่น้ำในสารทฤดูปนกลิ่นไม้กฤษณา
“เรือโดยสารจะจอดพักที่ท่าเรือไถสุ่ยครึ่งวันกระมัง”
“ใช่ ต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้เพิ่มเติม” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
เฉียวเจาเอียงคอมองไปทางเซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่า ท่านเข้าเมืองเป็นเพื่อนข้านะเจ้าคะ”
“ได้”
ฉือชั่นมองคนทั้งสองนิ่งๆ ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง เขาอยากปิดตาของหลีซานไว้เหลือเกิน ไม่อนุญาตให้นางมองคนอื่น ถึงจะเป็นสหายสนิทรู้ใจก็ไม่ได้ แต่เขารู้ว่าหากเขาทำเช่นนี้ นางต้องไม่ชมชอบแน่
ไฉนอยากเอาอกเอาใจใครผู้หนึ่งถึงยากเย็นเพียงนี้นะ
ตรงกลางอกฉือชั่นขมปร่า
หยางโฮ่วเฉิงลอบมองฉือชั่นแวบหนึ่ง เขากระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนกล่าว “คุณหนูหลี พวกท่านจะเข้าเมืองไปทำอะไรหรือ ท่านก็รู้ว่าพวกข้าได้รับพระบัญชาของไทเฮาให้คุ้มครองท่าน ดังนั้นจึงต้องรู้ความเคลื่อนไหวของท่าน”
เซ่าหมิงยวนชายตามองเขา ยามนี้ฟ้าอยู่สูงฮ่องเต้อยู่ไกล สหายรักพูดจาส่งเดชอย่างเห็นได้ชัด
หยางโฮ่วเฉิงพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีใจเต้นไม่ผิดจังหวะ “พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
ไม่อย่างนั้นรอจนเซ่าหมิงยวนกับคุณหนูหลีไปแล้ว เหลือเขาอยู่เผชิญกับสีหน้าปึ่งชาของฉือชั่นผู้เดียวออกจะน่ากลัวเกินไป ฉือชั่นต้องเซ้าซี้ให้เขาเดินหมากด้วยเป็นแน่
“ข้าจะไปตามคนผู้หนึ่ง คนมากไปไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ” เฉียวเจาบอกตามตรง
“หรือไม่พวกท่านไปกันสามคน”
เฉียวเจามองฉือชั่นแล้วทอดถอนใจ “แต่รูปโฉมของพี่ฉือโดดเด่นเกินไป ตกเป็นเป้าสายตาคนได้ง่ายเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นเขาสามารถ…”
“หยางเอ้อร์ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” ฉือชั่นตัดบทหยางโฮ่วเฉิง เขายื่นมือไปตบบ่าเซ่าหมิงยวน “ดูแลคุณหนูหลีให้ดี อย่าเป็นต้นเหตุให้พวกข้าโดนไทเฮาลงทัณฑ์”
เขาพูดจบแล้วเดินผละจากตรงนี้ไปรับลมตรงดาดฟ้าเรืออีกฟากหนึ่งทันที
“แม่ทัพเซ่า พี่หยาง ข้าเข้าไปเตรียมตัวนะเจ้าคะ”
หลังจากเฉียวเจาแยกไป หยางโฮ่วเฉิงพูดเสียงอุบอิบ “ดูเหมือนสือซีจะอารมณ์ไม่ดีแล้ว”
“อื้อ”
“ดูเหมือนคุณหนูหลีจะไม่แยแสว่าสือซีจะอารมณ์ดีหรือไม่ดี”
เซ่าหมิงยวนตอบไม่ได้แล้ว ส่วนใหญ่เขามักไม่เข้าใจว่าคุณหนูหลีคิดอะไรอยู่
“ไปเถอะ ไปดูสือซีกัน เขาคงไม่คิดสั้นกระโดดลงทะเลไปแล้วกระมัง” แม้ว่าหยางโฮ่วเฉิงจะกล่าวล้อเล่น แต่ในใจยังคงเป็นกังวลสักหน่อย
ไม่ว่าอย่างไรจะให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างสหายไม่ได้
ฉือชั่นยืนอยู่ท้ายเรือ เหม่อมองต้นหลิวสองฟากฝั่งน้ำซึ่งถูกทิ้งไว้เบื้องหลังทีละนิด เขาได้ยินเสียงฝีเท้าทางข้างหลังก็มิได้หันหน้าไป เพราะเขาฟังออกว่าเสียงฝีเท้านั่นไม่ใช่ของหลีซาน
จริงสินะ นางอยากอยู่ห่างจากเขาไปไกลๆ ใจจะขาด ไหนเลยจะมาหาเขาได้เล่า
“สือซี ประเดี๋ยวไปถึงไถสุ่ย พวกเราไปกินอาหารให้เต็มคราบกัน”
“ไม่ไป”
“เหตุใดถึงไม่ไปล่ะ”
“อาหารวันละสามมื้อบนเรือนี้ เจ้ายังกินไม่พออีกหรือ”
ฉือชั่นหมุนกายมามองเซ่าหมิงยวนด้วยสายตาเคร่งขรึม “ถิงเฉวียน คุณหนูหลีจะไปตามหาใคร”
“นางไม่เคยเอ่ยถึง ข้าเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”
ฉือชั่นมองไปทางหยางโฮ่วเฉิง “หยางเอ้อร์ ประเดี๋ยวพวกเราไปดื่มสุราด้วยกัน ตอนนี้ข้าอยากพูดกับถิงเฉวียนสักสองสามคำ”
“ได้ พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าจะเข้าไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ อุตส่าห์ได้เข้าเมืองทั้งทีต้องแต่งองค์ทรงเครื่องสักหน่อย”
หยางโฮ่วเฉิงเดินลิ่วๆ ออกไปให้พวกเขาสองคนอยู่กันตามลำพัง
ท้ายเรือเงียบเชียบมาก
ฉือชั่นมองสหายรักที่มีสีหน้าสงบนิ่ง เอ่ยถามอย่างเปิดอก “ถิงเฉวียน เจ้าคิดอย่างไรกับคุณหนูหลี”
อืม…อันว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หากสหายรักมีใจให้นาง เขาจะได้พยายามมากขึ้น
ถอนตัว? อย่าล้อเล่น ชั่วชีวิตนี้เขามีสหายร่วมทุกข์ร่วมสุขสามคน อะไรๆ ก็สละให้ได้ มีแต่ภรรยาที่ยกให้ไม่ได้
เขาถูกตาต้องใจหลีซานแล้วก็ต้องช่วงชิงอย่างสุดความสามารถ ต่อให้ท้ายที่สุดคนที่นางเลือกจะไม่ใช่เขา เขาก็ไม่มีวันยอมรับชะตากรรมก่อนทั้งที่ยังไม่พยายาม
เพราะเขาแจ่มแจ้งดีว่าความพ่ายแพ้ไม่น่ากลัว การเสียใจภายหลังต่างหากที่น่ากลัว
เซ่าหมิงยวนอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นส่ายหน้า “ไม่ได้คิดอะไร”
หากพูดว่าจิตใจหวั่นไหวไปกับคุณหนูหลีหรือไม่ เขาไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ถ้าเป็นความหมายที่ฉือชั่นถาม เขาสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดเพื่อให้สหายรักสบายใจได้
“จริงรึ?” ในใจฉือชั่นผ่อนคลายลงบ้าง
เขามิได้โง่งม ย่อมมองออกว่าหลีซานปฏิบัติกับเซ่าหมิงยวนผิดจากผู้อื่น แต่เขารู้จักสหายรักดี เซ่าหมิงยวนบอกว่าไม่ก็คือไม่
ไม่ว่าอย่างไรมีคนหมายปองผักกาดขาวของเขาลดลงคนหนึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี
เรียวปากของเซ่าหมิงยวนแฝงรอยยิ้ม “จริงสิ เจ้าสบายใจได้”
ฉือชั่นกระแอมกระไอทีหนึ่ง ทำหน้าตึงพลางเอ่ยขึ้น “ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นๆ เอาล่ะ เจ้ารีบไปเถอะ เรือจวนจะเข้าฝั่งแล้ว พวกข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่หอสุราชื่อดังที่สุดของไถสุ่ย”
ผ่านไปไม่นานเรือก็จอดเทียบท่า
ไถสุ่ยเป็นเมืองเล็กๆ แต่ถนนหนทางสะอาดสะอ้านมาก สองข้างทางปลูกพฤกษ์พรรณที่ไม่รู้จักชื่อไว้จนเต็ม ในฤดูกาลนี้แล้วยังออกดอกบานสะพรั่ง
ดินแดนเจียงหนานในฝันคงไม่ผิดแผกไปจากนี้
ชายหนุ่มสง่าผึ่งผายหล่อเหลา เด็กสาวบอบบางโฉมงามละมุน ทั้งคู่เดินเคียงคู่กันอยู่บนถนนเช่นนี้กลายเป็นดั่งภาพทิวทัศน์ในสายตาผู้คน
“คุณหนูหลีจะตามหาใครหรือ”
เซ่าหมิงยวนตัวสูงกว่าเฉียวเจามาก นางจะมองเขาเวลาพูดคุยกันก็ต้องแหงนหน้าขึ้น “ข้าจะตามหานักชันสูตรผู้หนึ่งเจ้าค่ะ”
“นักชันสูตร?”
“ใช่ ท่านปู่หลี่เคยบอกว่าเขาเป็นนักชันสูตรที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน”
สมัยวัยเยาว์ท่านปู่หลี่เคยพานางมาเยี่ยมคารวะนักชันสูตรท่านนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นนั่นเองที่นางประสบพบเห็นสิ่งที่ผู้เป็นหมอมากมายไม่มีทางได้สัมผัสแล้วก็ไม่กล้าสัมผัสชั่วชีวิต
เซ่าหมิงยวนชะงักฝีเท้าหยุดยืนนิ่ง ดวงตาสงบนิ่งละม้ายผิวน้ำที่เกิดรอยกระเพื่อมไหว “หมอเทวดาหลี่บอกคุณหนูหลีเมื่อไรหรือ”
เฉียวเจาอึ้งงันไปกับคำถามของเขา
ดูท่าทาง…เหมือนว่า…จะเผลอหลุดปากแล้ว!
แต่ยังมีช่องแก้สถานการณ์ได้
แม่นางเฉียวกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “ก่อนท่านไปจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนก้มศีรษะลงมองเด็กสาว จากมุมนี้เขามองเห็นแพขนตาดกหนาดุจขนนกของนางกระพือขึ้นลงเบาๆ ได้ เสียงพูดของเขาแผ่วเบากว่าที่คิดไว้ “เป็นเช่นนี้เองหรือ…ข้าขบไม่แตกอยู่บ้างว่าเหตุใดหมอเทวดาหลี่ต้องเอ่ยถึงนักชันสูตรกับคุณหนูหลี”