หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 362
บทที่ 362
สตรีวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าป่านสีมอๆ ส่วนผ้าโพกศีรษะเป็นผ้าพื้นสีน้ำเงินลายดอกเล็กๆ ที่เห็นได้บ่อยที่สุด บนนั้นเปื้อนคราบน้ำมันดวงหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ดูสกปรกมอมแมม นางมีมือที่หยาบกร้าน ผัดหน้าทาแป้งด้วยเครื่องประทินโฉมชั้นเลว หางตาชี้ขึ้น ริมฝีปากค่อนข้างบาง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนร้ายกาจฝีปากจัด
คนเช่นนี้บทจะด่าคนขึ้นมา สามารถด่าได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยไม่หยุดพักหายใจ
ขณะที่นางกำลังด่าอย่างสาดเสียเทเสียจนน้ำลายกระเซ็นไปทั่ว เซ่าหมิงยวนเดินเข้าไปแล้วล้วงก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งยื่นส่งให้ด้วยสีหน้านิ่งสนิท น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาเอ่ยขึ้นว่า “ท่านป้า พวกข้าอยากสืบถามเรื่องหนึ่ง”
เสียงตะโกนด่าของสตรีวัยกลางคนชะงักกึก นางก้มหน้าลงมองก้อนเงินที่เขายื่นมาให้อย่างไม่วางตา แลบลิ้นเลียปากที่แห้งแตกเป็นขุย “นี่…นี่คือเงินหรือ”
ชายหนุ่มอมยิ้มมุมปาก “ใช่ เมื่อครู่รบกวนหมูของเรือนท่านป้ากินอาหาร ขออภัยด้วยขอรับ”
เฉียวเจาก้มหน้าเม้มปากกลั้นยิ้มไว้ คนผู้นี้พูดประชดคนยังตีหน้าตายได้ ทำให้นางคาดไม่ถึงจริงๆ
สตรีวัยกลางคนฟังไม่ออกว่าเป็นการประชดหรือไม่ เงินต่างหากที่สำคัญที่สุด นางฉวยเอาไปเช็ดกับผ้ากันเปื้อนก่อนค่อยอ้าปากกัดทีหนึ่ง
เมื่อแน่ใจว่าเป็นเงินแท้อย่างไร้ข้อกังขา นางพลันเผยรอยยิ้มอย่างจริงใจ “ท่านทั้งสองมีอะไรก็ถามเถอะ จะเข้าเรือนดื่มน้ำหรือไม่”
“ดื่มน้ำคงไม่ต้อง พวกข้าอยากสอบถามว่าเจ้าของเรือนหลังนี้อยู่หรือไม่”
“เอ่อ…พวกท่านถามถึงนักชันสูตรเฉียนหรือ” สตรีวัยกลางคนชำเลืองมองไปทางประตูฝั่งตรงข้าม
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาแวบหนึ่ง ในดวงตาเขาแฝงรอยยิ้ม ไม่ผิดที่
เฉียวเจาย่อมเข้าใจความหมายของสายตาเขาที่มองมา นางพยักหน้าเบาๆ อือ ให้กำลังใจสักนิดก็แล้วกัน
เซ่าหมิงยวนดึงสายตาคืนไป เขาพยักหน้ากับสตรีวัยกลางคน “ท่านป้ากล่าวได้ถูกต้อง พวกข้ามาหานักชันสูตรเฉียน”
นางมองสำรวจเซ่าหมิงยวนขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสายตาแบบเดียวกับยายเฒ่าตรงปากตรอก
เซ่าหมิงยวนยืนหันข้างบังตัวเฉียวเจาไว้เกือบหมด
ไม่คิดว่าสตรีวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้ยังหัวช้าอยู่กลับมีไหวพริบขึ้นมาในตอนนี้ นางเห็นท่าทางของชายหนุ่มก็เบะปากพูดยิ้มๆ “หวงภรรยาอะไรถึงเพียงนี้ ข้ามิใช่บุรุษสักหน่อย”
เซ่าหมิงยวนพูดไม่ออกแล้ว “…”
ในที่สุดเซ่าหมิงยวนก็ตกลงใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน “ท่านป้ารู้เรื่องของนักชันสูตรเฉียนบ้างหรือไม่ขอรับ”
“จะไม่รู้ได้อย่างไร พวกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมีใครบ้างไม่รู้ ข้าว่านะ ข้าเห็นพวกท่านล้วนเป็นคนเคร่งครัดในธรรมเนียมมารยาท ไฉนถึงคบหาสมาคมกับคนพรรค์นี้” สตรีวัยกลางคนทำสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์
“นักชันสูตรเฉียนทำอะไรหรือ ท่านป้าโปรดไขความกระจ่างให้ด้วยขอรับ” เซ่าหมิงยวนไม่มีท่าทีร้อนรนหงุดหงิดโดยตลอด
สตรีวัยกลางคนอยากเล่าข่าวซุบซิบสู่กันฟังอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำยังมีเงินรางวัลจูงใจ นางพรั่งพรูทุกอย่างออกมาจนหมด “นักชันสูตรเฉียนที่พวกท่านจะมาหานั่นเป็นปีศาจร้ายบ้าคลั่งฟั่นเฟือน เขาผ่าเอาหัวใจของภรรยาที่ตายไปออกมากินน่ะสิ”
คำบอกเล่านี้ฟังดูน่าตะลึงพรึงเพริดเกินไป เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
สตรีวัยกลางคนพูดไปเรื่อยๆ “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้เอง ตอนนั้นยังมีตาเฒ่าผู้หนึ่งมาหาเขา ตาเฒ่าผู้นั้นดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์ ชาวบ้านร้านตลาดต่างพูดกันว่าเป็นเซียนจิ้งจอกจำแลงกายมา เขามาถึงตอนพี่สะใภ้เฉียนจากไปพอดี พวกเขาสองคนดื่มสุรากันแล้วควักหัวใจของพี่สะใภ้เฉียนออกมาแกล้มสุรา…”
เฉียวเจาสะดุดใจทันควัน เซียนจิ้งจอกที่ท่านป้าผู้นี้เอ่ยถึง หรือว่าจะเป็นท่านปู่หลี่
ตอนต้นปีนางเพิ่งกลายเป็นแม่นางน้อยหลีเจา หลังล้มป่วยถึงจอดเรือที่ท่าเรือไถสุ่ยเพื่อไปหาหมอ พี่หยางก็พาท่านปู่หลี่มา
ยามนี้คิดขึ้นมาใต้หล้านี้มีเรื่องประจวบเหมาะมากมายอย่างนั้นที่ใดกัน ต้องเป็นท่านปู่หลี่มาเยี่ยมเยียนนักชันสูตรเฉียนอีกเป็นแน่ถึงได้พบกับหยางโฮ่วเฉิง
เมื่อครั้งที่ท่านปู่หลี่พานางมาเยี่ยมคารวะนักชันสูตรเฉียนนางยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่นางแน่ใจได้ว่าท่านปู่หลี่ไม่มีทางกินหัวใจคน
เสียงพูดเจื้อยแจ้วของสตรีวัยกลางคนดังอยู่ข้างหูไม่หยุด “โอ๊ย บาปกรรมแท้ๆ ตอนเจ้าเดรัจฉานเฉียนนั่นกินหัวใจของพี่สะใภ้เฉียน ลูกสะใภ้ของพวกเขามาเห็นเข้าพอดี นางกำลังตั้งครรภ์ได้เดือนเศษ ตกใจจนแท้งลูกไปเช่นนี้ พวกท่านว่าไม่ใช่บาปกรรมแล้วเป็นอะไร…”
“ท่านป้า แล้วต่อมาเล่า” เซ่าหมิงยวนกล่าวตัดบท ขืนปล่อยให้นางพูดไปเรื่อยๆ ยังไม่รู้ว่าจะพูดไปถึงเมื่อไร
“ต่อมาบุตรชายคนเล็กของนักชันสูตรเฉียนก็ไล่เขาออกไป ดังนั้นเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
“บุตรชายของนักชันสูตรเฉียนไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกันหรือขอรับ”
“พวกเขาอยู่สิ แต่ตอนนี้ล้วนไม่อยู่เรือน”
“ไม่ทราบว่าเวลานี้พวกเขาอยู่ที่ใดขอรับ”
“เรื่องนี้น่ะหรือ…” สตรีวัยกลางคนทำตาหลุกหลิกพลางถูมือไปมา
เซ่าหมิงยวนล้วงก้อนเงินเล็กๆ ออกมาอีกก้อนหนึ่ง
นางเห็นเงินแล้วตาเป็นประกาย รีบยื่นมือไปรับ
ชายหนุ่มหดมือกลับ กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านป้า ท่านยังไม่ได้บอกว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด”
ในแดนเหนือมีคนสารพัดแบบ เขาเคยพบเจอคนโลภโมโทสันเฉกสตรีเบื้องหน้ามาไม่น้อย หากให้เงินทันที ประเดี๋ยวก็จะทำลวดลายอีก เขาไม่ขัดสนเงินทอง แต่จะใช้สุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ไม่ได้ เขายังต้องเก็บเงินเก็บทองไว้ให้คุณหนูหลีเป็นค่ารักษา
เมื่อคิดถึงตรงนี้แม่ทัพหนุ่มลอบชำเลืองมองเด็กสาวที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
สตรีวัยกลางคนจ้องมองก้อนเงินในมือเซ่าหมิงยวนอย่างไม่ละสายตา นางกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนเอ่ยขึ้น “ตอนนี้บุตรชายของเขาเป็นผู้ดูแลบัญชีให้ร้านสุราแห่งหนึ่งชื่อว่าสี่ไหลฝู ส่วนลูกสะใภ้ออกไปรับจ้างทำนาแล้ว”
เซ่าหมิงยวนยังซักถามที่ตั้งของร้านสุราสี่ไหลฝูอย่างละเอียด รวมถึงเวลากลับเรือนทุกวันของลูกสะใภ้ของนักชันสูตรเฉียน ถึงมอบเงินให้นาง
สตรีวัยกลางคนเก็บเงินอย่างยินดีปรีดา พอเริ่มติดลมนางก็พูดเป็นต่อยหอยไม่หยุดปาก “บุตรชายของนักชันสูตรเฉียนกลับเป็นคนเอาถ่าน เขามีฝีมือดีดลูกคิด ภรรยาก็เป็นคนขยันขันแข็ง สองสามีภรรยาหนักเอาเบาสู้ถึงเพียงนี้เพราะอยากเปลี่ยนเรือนหลังใหม่ จุๆ โชคร้ายที่มีบิดาเช่นนั้น คงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว…”
เซ่าหมิงยวนรีบกล่าว “ขอบคุณท่านป้ามาก พวกข้าขออำลา”
ทั้งคู่แทบจะเผ่นหนีออกจากตรอกที่ชวนให้หายใจไม่ออกนี้
แสงแดดของฤดูใบไม้ร่วงแผ่ซ่านความสดใสปลอดโปร่งระลอกหนึ่ง สายลมอ่อนๆ โชยมา พัดความขุ่นข้องหม่นหมองในใจคนให้สลายหายไป
เขากับนางผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมกัน พอสายตาสองคู่มองสบกันก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“แม่ทัพเซ่า ข้าอยู่ที่นี่รอลูกสะใภ้ของท่านเฉียนดีกว่า ส่วนท่านไปที่ร้านสุราสี่ไหลฝู…”
“ไม่ได้” ชายหนุ่มปฏิเสธทันที “ไปร้านสุราสี่ไหลฝูด้วยกัน”
ทิ้งนางไว้ที่นี่คนเดียว เขาไม่วางใจเด็ดขาด
เฉียวเจามิได้ยืนกรานพลางเอ่ยตอบรับ “ตกลง พวกเราอย่ามัวเสียเวลา ประเดี๋ยวจะขึ้นเรือไม่ทัน”
ไถสุ่ยไม่ใช่เมืองใหญ่ หอสุราซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านโด่งดังล้วนอยู่บนถนนสายเดียวกัน
ทั้งสองจึงหาที่นั่นพบในเวลาอันสั้น
ริมถนนทั้งสองฝั่งมีร้านรวงตั้งเรียงรายอยู่มากมายกับป้ายธงปลิวไสว แวบแรกที่มองไปชวนให้ตาพร่าลาย
“น่าจะเป็นร้านนั้น” เซ่าหมิงยวนยกมือชี้ร้านสุราแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก
ที่ตั้งของร้านค่อนข้างเปลี่ยวไกล ป้ายร้านสุราสีเขียวที่ปักอยู่หน้าประตูเขียนอักษรคำว่า ‘สี่’
“พวกเราเข้าไปเถอะ”
เขากับนางเดินเคียงไหล่กันไปที่ร้านสี่ไหลฝู
บนหอสุราสูงสองชั้นห่างไปหลายสิบจั้งแห่งหนึ่ง ฉือชั่นกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างเรื่อยเปื่อย สายตาของเขานิ่งขึงไปเล็กน้อย “หยางเอ้อร์ เจ้ามองทางนั้นสิ เป็นพวกถิงเฉวียนใช่หรือไม่”