หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 363
บทที่ 363
หยางโฮ่วเฉิงขยับเข้ามาดู น้ำเสียงของเขาแฝงรอยลังเล “เป็นพวกเขา น่าแปลก คุณหนูหลีบอกว่าไปตามหาคนไม่ใช่หรือ ไฉนเข้าไปในหอสุรากับถิงเฉวียน”
ฉือชั่นลุกขึ้น “ไปเถอะ ไปดูกัน”
เขารีบร้อนลุกจากเก้าอี้จนชายเสื้อปัดโดนถ้วยกระเบื้องขาวล้มกลิ้งไปบนโต๊ะ ขณะที่มันเจียนจะตกลงพื้น หยางโฮ่วเฉิงมือไวตาไวคว้าเอาไว้แล้ววางกลับเข้าที่ตามเดิม
“สือซี?”
“ไปกันเถอะ”
พวกเขาเดินออกจากหอสุราชื่อดังที่สุดของเมืองไถสุ่ยพุ่งตรงไปที่ร้านสุราสี่ไหลฝู เพิ่งย่างเท้าเข้าไปก็มีเสี่ยวเอ้อร์ออกมาต้อนรับ “ท่านทั้งสองจะสั่งอะไรดีขอรับ”
ฉือชั่นโยนก้อนเงินเล็กๆ ให้ก้อนหนึ่งโดยไม่รอช้า น้ำเสียงของเขาแฝงความไม่อนาทรร้อนใจอยู่หลายส่วน “เมื่อครู่เห็นสหายสองคนเข้ามาในร้านนี้ หนึ่งหญิงหนึ่งชาย ล้วนมีกิริยาท่าทางโดดเด่นเหนือใคร ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องใดหรือ”
“อ๋อ ท่านหมายถึงลูกค้าสองท่านที่เพิ่งเข้ามาหรือครับ” เสี่ยวเอ้อร์พอใจกับค่าตอบแทนที่ได้รับอย่างคาดไม่ถึงเป็นอันมาก เขาบอกความเคลื่อนไหวของพวกเฉียวเจาทันที “พวกเขาไม่ได้กินอาหารขอรับ แต่มาหาอาจารย์เฉียน”
“อาจารย์เฉียน? เขาเป็นใคร” นัยน์ตาเป็นประกายวาววับทั้งคู่ของฉือชั่นมองสำรวจภายในร้านสุรารอบหนึ่ง
นี่เป็นร้านสุราธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง ดูไปแล้วไม่มีจุดเด่นใดๆ เขาคิดไม่ออกว่าจะมีคนสำคัญอะไรที่คู่ควรให้หลีซานตั้งใจมาหา
“ท่านหมายถึงอาจารย์เฉียนหรือขอรับ…” เสี่ยวเอ้อร์แย้มยิ้มให้คำตอบอย่างว่องไว “เขาเป็นผู้ดูแลบัญชีของที่นี่”
สำหรับชาวบ้านสามัญชนทั่วไป คนที่อ่านออกเขียนได้สามารถเรียกขานเป็น ‘อาจารย์’ ได้แล้ว
“ท่านทั้งสองจะไปหาอาจารย์เฉียนหรือไม่ขอรับ ข้าน้อยพาไปได้”
“ดี”/ “ไม่ต้อง”
หยางโฮ่วเฉิงกับฉือชั่นพูดประสานเสียงกัน
เสี่ยวเอ้อร์นิ่งอึ้งไป เขามองหยางโฮ่วเฉิงแล้วค่อยมองฉือชั่นอีกที นึกในใจว่า ตกลงจะไปหรือไม่ไป เอ่อ…คุณชายท่านนี้รูปงามดี ทำตามเขาแล้วกัน!
เสี่ยวเอ้อร์ตัดสินใจแล้วค้อมกายผายมือ “ท่านทั้งสองเชิญนั่งก่อน ข้าน้อยรินน้ำชาให้นะขอรับ”
ฉือชั่นทรุดตัวลงนั่งอย่างช้าๆ
หยางโฮ่วเฉิงกระซิบถาม “ไม่ไปหาสองคนนั้นหรือ” เขายิ่งมายิ่งไม่เข้าใจความคิดของสหายรัก
“ไม่ล่ะ รออยู่ตรงนี้ก็เหมือนกัน” แม้ว่าเขาจะอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่อยากทำให้นางรำคาญอีก
ฉือชั่นคิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มฝืดๆ อย่างสุดระงับ เขากลายเป็นคนกล้าๆ กลัวๆ ไปตั้งแต่เมื่อไรนะ
ณ ห้องหนึ่งของเรือนหลังในร้านสุรา บุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียวหม่นผู้หนึ่งวางมือบนลูกคิดพลางกล่าวด้วยท่าทางสุภาพ “ได้ยินว่าทั้งสองท่านมาหาข้าหรือ”
“ใช่ ไม่ทราบว่าบิดาท่านคือนักชันสูตรเฉียนกระมัง”
บุรุษวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน ไม่หลงเหลือความสุภาพเฉกก่อนหน้านี้ให้เห็น “ขออภัย ข้าไม่รู้จักนักชันสูตรเฉียนที่ใด ข้ายังต้องตรวจบัญชี เชิญพวกท่านออกไปจากที่นี่เถอะ”
เขาเปลี่ยนท่าทีรวดเร็วเกินไป มาตรว่าตอนเอ่ยถึง ‘นักชันสูตรเฉียน’ จะแสร้งวางท่าเยือกเย็นเต็มที่ แต่แววรังเกียจเดียดฉันท์ฉายชัดในดวงตาจนปิดไม่มิด
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจามองหน้ากันไปมาอย่างช่วยไม่ได้
คนผู้หนึ่งเกลียดชังบิดาบังเกิดเกล้าถึงขั้นนี้ ดูท่าว่าต้องเกี่ยวข้องกับเสียงเล่าลือที่ได้ยินจากสตรีวัยกลางคนอย่างหนีไม่พ้น
“พี่เฉียน ในเมื่อพวกข้าตามมาหาถึงที่นี่ย่อมได้สืบถามมาแล้ว พวกข้ามิได้มีความหมายอื่นใด เพียงอยากถามว่าเวลานี้นักชันสูตรเฉียนอยู่ที่ใด”
เฉียวเจาเขม้นตามองเซ่าหมิงยวน แอบเม้มมุมปากทีหนึ่ง
ครั้งที่ท่านปู่หลี่พานางมาเยี่ยมคารวะนักชันสูตรเฉียน นางเรียกเขาว่า ‘ท่านปู่เฉียน’ ดังนั้นต้องเรียกบุตรชายของเขาว่าท่านอาเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้เซ่าหมิงยวนเรียกเขาว่า ‘พี่เฉียน’ จะมิใช่เอาเปรียบนางหรือไร
เซ่าหมิงยวนนึกว่านางมีความคิดอะไร จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม
เฉียวเจาส่ายหน้าตอบ
บุรุษวัยกลางคนผลักลูกคิดไปด้านข้าง เม็ดลูกคิดกระทบกันดังกังวานใส เขาดูท่าทางเบื่อหน่ายรำคาญเต็มที จึงโบกมือไปมาพลางพูด “ไปๆๆ ข้าไม่รู้”
เซ่าหมิงยวนวางเงินแท่งลงตรงหน้าบุรุษวัยกลางคนเบาๆ แท่งหนึ่ง
ไฟโทสะที่ลุกโชนของเขาละม้ายลูกหนังที่โดนเจาะลมออกจนแฟบลงทันใด เขาจ้องมองแท่งเงินตาไม่กะพริบ ในดวงตาฉายแววว้าวุ่นระคนละโมบผสมผเสกันไป
เขากับภรรยาลำบากเหนื่อยยากทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อจะหาเงินให้มากพอจะได้ย้ายออกจากตรอกอวี๋เฉียนเอ๋อร์โดยเร็วที่สุด
เขาเจริญเติบโตที่นั่น แต่เพราะงานของบิดา จึงต้องทนกับสายตานานาชนิดตั้งแต่วัยเยาว์ พวกเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเห็นเขาก็มักหนีห่าง มองเขาราวกับเป็นสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน
ดีที่หลังจากเขาย่างเก้าขวบบิดาส่งเขาเข้าสำนักศึกษา ตอนนั้นเขารู้สึกว่าตนยังโชคดีอยู่เล็กๆ น้อยๆ ถึงแม้ด้วยคุณสมบัติของเขานั้นไร้วาสนากับการสอบขุนนาง แต่ไม่ต้องรับช่วงต่อจากบิดา วันหน้าเติบใหญ่แล้วสามารถเป็นผู้ดูแลบัญชีได้
ต่อมาเขาได้เป็นผู้ดูแลบัญชีสมความตั้งใจ มีภรรยาที่ขยันเอาการเอางาน เดิมทีนึกว่าผ่านไปอีกหลายสิบปีเมื่อบุตรหลานค่อยๆ เจริญวัยขึ้น จะไม่มีใครจดจำได้ว่าสกุลเฉียนมีพื้นเพเป็นนักชันสูตร ทว่าใครจะคาดคิดว่า…
เหตุการณ์ประหนึ่งฝันร้ายนั่นทำให้บุรุษวัยกลางคนสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาดึงตนเองออกจากภวังค์อดีต เสียงของบุรุษดังขึ้นข้างหูเขา “พี่เฉียน พวกข้าอยากรู้แค่ว่าบิดาท่านอยู่ที่ใด จะไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้ท่านเป็นอันขาด”
สุ้มเสียงของชายหนุ่มนุ่มนวลจริงใจ ใสบริสุทธิ์ประหนึ่งน้ำในคลองหน้าตรอกอวี๋เฉียนเอ๋อร์สายนั้น เขาคิดแล้วไม่ใคร่เข้าใจว่าเหตุใดคนสองคนที่เป็นเช่นนี้ถึงตามหาตาเฒ่าปีศาจร้ายผู้นั้น
“เขาอาศัยอยู่บนภูเขารกร้างนอกประตูเมืองทิศเหนือ” บุรุษวัยกลางคนเก็บเงินขึ้นอย่างว่องไวแล้วหันหลังให้ “พวกท่านรีบไปเสีย อย่างอื่นข้าไม่รู้ทั้งนั้น”
กว่าเขาจะตัดขาดกับตาเฒ่าผู้นั้นได้มิใช่ง่ายดาย ทำให้ผู้คนค่อยๆ เลิกชี้หน้านินทาพวกเขาสองสามีภรรยา จะปล่อยให้คนแปลกหน้าสองผู้นี้ทำลายชีวิตสุขสงบที่ได้มาอย่างยากเย็นไม่ได้
น้ำเสียงของบุรุษวัยกลางคนเด็ดเดี่ยวมาก เซ่าหมิงยวนรู้ว่าคงถามไม่ได้ความใดอีก เขามองเฉียวเจาแวบหนึ่ง
นางพยักหน้าตอบเบาๆ
“ขอบคุณท่านมาก” เซ่าหมิงยวนกล่าวขอบคุณแล้วเดินออกไปด้านหน้าร้านพร้อมกับเฉียวเจา
ทั้งคู่ก้าวเข้าโถงใหญ่ของร้านสุรา มองปราดเดียวก็เห็นสหายรักสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง
เวลานี้ในร้านสุราไม่นับว่ามีคนน้อย แต่พวกเขายังโดดเด่นสะดุดตาดุจนกกระเรียนยืนกลางฝูงไก่โดยเฉพาะฉือชั่น สายตามากมายหลายคู่จับจ้องที่ตัวเขาแล้วไม่เบนออกอีกเลย เขาฝืนข่มอารมณ์ชั่ววูบอยากคว่ำโต๊ะเอาไว้ เพียงรู้สึกว่าเวลาแห่งการรอคอยนั้นน่าทุรนทุรายเป็นพิเศษ
“ออกมาได้เสียที” พอเห็นเซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาปรากฏกายขึ้น หยางโฮ่วเฉิงปล่อยลมหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง ดึงฉือชั่นลุกขึ้น
ทั้งสี่เดินออกจากร้านสุราแล้ว เซ่าหมิงยวนถึงถามขึ้น “พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
ฉือชั่นบังคับใจไม่หันสายตาไปทางตัวเฉียวเจา เขาหรี่ตาพลางพูดว่า “พวกข้าดื่มน้ำชาอยู่ทางนั้น เห็นพวกเจ้าพอดีก็เลยมาดูสักหน่อย”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วค่อยมองไปทางเด็กสาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงตามสบายกลบเกลื่อนความประหม่าในใจ “กินข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับเรือหรือไม่”
“คงจะไม่ได้เจ้าค่ะ ยังตามหาคนไม่เจอเลย พวกข้าต้องไปที่ภูเขารกร้างนอกประตูเมืองทิศเหนือ”
รอยยิ้มตรงมุมปากฉือชั่นชะงักค้างไปเล็กน้อย “หือ? ยังตามหาไม่เจออีกหรือ”
เซ่าหมิงยวนตบไหล่ฉือชั่น “ไปเถอะ ไปด้วยกัน น่าจะยังทันเวลา”