หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 364
บทที่ 364
ทั้งสี่คนมุ่งหน้าตรงไปที่ภูเขารกร้างนอกประตูเมืองทิศเหนือ เสาะหาไปทั่วพักหนึ่งก็พบกระท่อมตรงริมลำธาร
บนพื้นว่างโล่งหน้ากระท่อม คนผู้หนึ่งในอาภรณ์ปุๆ ปะๆ แทบไม่เหลือสภาพกำลังนอนแบหลารับแดดอยู่
ฉือชั่นมุ่นคิ้วอย่างรังเกียจ เขาถามเฉียวเจาเสียงเบาๆ “นี่คือคนที่เจ้าจะตามหาหรือ”
นางเบิกตากว้าง เพ่งมองคนผู้นั้นอย่างละเอียด
ถึงแม้นางจะความจำดี แต่อย่างไรก็ไม่ได้พบกันมานาน ใบหน้าของคนตรงหน้ามอมแมมจนไม่เห็นเค้าเดิม ยากจะแยกออกได้ในชั่วครู่ชั่วยาม
เซ่าหมิงยวนก้าวขาเดินเข้าไปนั่งยองๆ เบื้องหน้าเขา “ท่านเฉียน” สุ้มเสียงของเขาหนักแน่นทรงพลังปราศจากความลังเลแม้แต่เศษเสี้ยว
เปลือกตาของคนผู้นั้นกระดุกกระดิกทว่ามิได้ลืมตาขึ้น เขาพลิกตัวนอนต่อไป
อาการตอบสนองอย่างนี้กลับทำให้เฉียวเจามั่นใจว่าเขาเป็นนักชันสูตรเฉียนอย่างไร้ข้อกังขา นางย่างเท้าเข้าไปใกล้ๆ ส่งเสียงเรียกด้วย “ท่านเฉียน…”
คนผู้นั้นไม่มีท่าทีใดดุจเก่า
ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้น เขาเพิ่งขยับตัวก็โดนหยางโฮ่วเฉิงรั้งไว้
“ดูไปก่อนว่าคุณหนูหลีกับถิงเฉวียนจะทำอะไรกันแน่”
ฉือชั่นแค่นเสียงพูด “เจ้านึกว่าข้าจะทำอะไร”
หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะแหะๆ ก็จะทุบตีคนส่งเดชไม่ได้นี่นา ถ้าเกิดมีเรื่องขอร้องเขา ลงไม้ลงมือไปแล้วจะไม่ทำให้เสียเรื่องรึ
ฉือชั่นทำเสียงฮึเบาๆ ยกสองมือกอดอกมองดูอยู่ด้านข้าง
เฉียวเจาเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบ นางนิ่งคิดอีกครั้งแล้วถามตรงๆ “ท่านเฉียน ท่านยังจำหมอเทวดาหลี่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
คนที่นอนอยู่ลุกพรวดขึ้นนั่ง เรือนผมขาวโพลนของเขายุ่งเหยิงรุงรัง มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ได้สระผมมานาน เส้นผมจับตัวเป็นก้อนส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยมา ในที่สุดเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ตลอดก็เปิดขึ้น นัยน์ตาขุ่นมัวจ้องเขม็งไปที่เฉียวเจา
เด็กสาวตรงหน้ามีสีหน้าเรียบเฉย แววตาสงบนิ่ง ทั้งที่อยู่ใกล้เขาเพียงนี้ก็ไม่เห็นมีท่าทางรังเกียจสักกระผีก
“เจ้าเป็นอะไรกับหมอเทวดาหลี่” หลังมองสำรวจเฉียวเจาอยู่นานสองนาน นักชันสูตรเฉียนจึงเอ่ยถามขึ้นเนิบๆ
เขาดูเหมือนไม่ได้เปล่งเสียงพูดมาเป็นเวลานาน สุ้มเสียงของเขาติดจะแหบเครือละม้ายเหล็กที่ขึ้นสนิม ทำให้คนฟังรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
กระนั้นสีหน้าของเด็กสาวไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นหลานสาวของหมอเทวดาหลี่เจ้าค่ะ”
“พูดจาเหลวไหล!” นักชันสูตรเฉียนโกรธจัด เขาถลึงตาใส่นางอย่างดุดัน “อายุยังน้อยก็กล่าววาจาเลื่อนเปื้อน หลานสาวของหมอเทวดาหลี่โตกว่าเจ้ามากนัก”
เซ่าหมิงยวนได้ยินประโยคนี้แล้วกำมือเป็นหมัดโดยไม่รู้ตัว
นักชันสูตรเฉียนผู้นี้เคยเจอเฉียวเจาหรือนี่
ความรู้สึกในใจของเซ่าหมิงยวนเสี้ยวขณะนี้สับสนปนเปเป็นพิเศษ
หากมิใช่คุณหนูหลีออกความคิด เกรงว่าเขาไม่มีวันล่วงรู้ไปชั่วชีวิตว่าบนภูเขารกร้างนอกเมืองเล็กๆ แห่งนี้ จะมีผู้เฒ่าลักษณะท่าทางเหมือนขอทานผู้หนึ่งเคยพบเฉียวเจาภรรยาของเขามาก่อน และถึงขั้นไม่ได้เจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว
ขณะที่สามีอย่างเขากลับเป็นคนแปลกหน้าของนาง
ความเสียดายและรู้สึกผิดเป็นดั่งเส้นใยพันไขว้กันเป็นผืนตาข่ายถี่ยิบรัดหัวใจชายหนุ่มไว้แน่นๆ ทำให้เขาหายใจไม่ออกอยู่บ้าง
เขาอดคิดไม่ได้ว่าหากเฉียวเจายังมีชีวิตอยู่จะเป็นเช่นไรบางทีคนที่มาเยี่ยมคารวะนักชันสูตรเฉียนกับเขาในวันนี้ก็คือนาง
“ท่านเคยพบหลานสาวของหมอเทวดาหลี่หรือเจ้าคะ” เฉียวเจาไม่ถือสากับคำต่อว่าของเขา นางกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “เช่นนี้ท่านยอมรับว่าตนเองคือท่านเฉียนแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านปู่หลี่เคยบอกข้าว่าเขามีสหายท่านหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไถสุ่ย เป็นนักชันสูตรที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน”
“เจ้าเป็นใครกันแน่” ดวงตาขุ่นมัวของนักชันสูตรเฉียนทอประกายคมปลาบวูบหนึ่ง เขามองเฉียวเจาอย่างไม่วางตา “แม่เด็กน้อยอย่ามาหลอกข้า ข้าเคยเห็นหลานสาวของหมอเทวดาหลี่ เมื่อหลายปีก่อนนางก็อายุเท่ากับเจ้าในตอนนี้แล้ว”
“ข้าเป็นหลานสาวอีกคนหนึ่งของหมอเทวดาหลี่เจ้าค่ะ” เมื่อยั่วยุให้เขายอมรับว่าเป็นนักชันสูตรเฉียนได้แล้ว เฉียวเจาไม่อมพะนำอีก “ท่านปู่หลี่เพิ่งรับข้าเป็นหลานสาวบุญธรรมเมื่อต้นปีนี้เองเจ้าค่ะ ดังนั้นท่านจึงไม่รู้จักข้า แต่ท่านปู่กลับเคยเอ่ยถึงท่านให้ข้าฟัง”
นักชันสูตรเฉียนหรี่ตาเพ่งพิศเฉียวเจา ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยถาม “เพราะอะไรหลี่เจินเฮ่อถึงมิได้มาด้วย”
นี่ก็คือยอมรับว่าตนเป็นใครอย่างเปิดเผยแล้ว
“ท่านปู่หลี่จากโลกนี้ไปแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจาหลุบตาลง พูดเสียงเบาลง
“เป็นไปไม่ได้” นักชันสูตรเฉียนอ้าปากถ่มน้ำลายลงพื้นคำหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงปึ่งชา “ข้ายังมีชีวิตอยู่ดีๆ หลี่เจินเฮ่อจะจากโลกนี้ไปได้อย่างไร พวกเจ้าดั้นด้นมาโกหกข้าถึงที่นี่มีจุดประสงค์ใด”
น้ำลายข้นเหนียวคำนั้นถูกถ่มไปตรงข้างเท้าเฉียวเจา ฉือชั่นอดรนทนไม่ไหว เดินเข้าไปยืนค้ำศีรษะเขาพลางกล่าวว่า “ถ้อยคำนี้ช่างน่าขันดีแท้”
เขากลอกตาไปมารอบหนึ่งแล้วกล่าวอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ท่านใส่เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง กระทั่งรองเท้าก็เหลือแค่ข้างเดียว ต่อให้พวกข้าโกหกท่านแล้วจะได้อะไร”
นักชันสูตรเฉียนเบิกดวงตาขุ่นมัวมองฉือชั่น เขาทำปากเบ้ “เช่นนั้นพวกเจ้ามาหาข้าเพื่อแจ้งข่าวเศร้ารึ”
“ท่าน…”
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้าน้อยๆ กับฉือชั่น หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาบางทีอาจกริ่งเกรงระวังอาคันตุกะที่แฝงรัศมีสูงศักดิ์ไว้รางๆ แต่ชายชราผู้นี้มีท่าทางปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมรอวันตายอย่างเห็นได้ชัด ไหนเลยจะข่มขู่ด้วยวาจาได้
“ท่านเฉียน พวกข้ามาหาท่านเพื่อเชิญท่านลงเขาขอรับ” เซ่าหมิงยวนกล่าวต่อขึ้น
นักชันสูตรเฉียนทำหูทวนลม “พวกเจ้าบอกข้ามาก่อนว่าหลี่เจินเฮ่อจากไปได้อย่างไร”
“ท่านหมอเทวดาออกทะเลไปเสาะหาตัวยา เคราะห์ร้ายประสบพายุกลางทะเลขอรับ”
นักชันสูตรเฉียนฟังแล้วนิ่งงันไปนานครู่ใหญ่ถึงเอนกายลงนอนตามเดิม แขนข้างหนึ่งทับโดนน้ำลายบนพื้น เขาก็ไม่แยแสแต่อย่างใด
เรียวปากของฉือชั่นผู้รักความสะอาดเป็นชีวิตจิตใจสั่นระริก กระทั่งหยางโฮ่วเฉิงยังทำท่าอาเจียนลมอย่างห้ามไม่อยู่
“ท่านเฉียน…” เซ่าหมิงยวนส่งเสียงเรียกด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เมื่อแรกที่เขาไปถึงแดนเหนือเคยเห็นคนกินเนื้อคนด้วยซ้ำไป ภาพตรงหน้านี้จะนับว่ามีอะไรได้เล่า
“เลิกเรียกได้แล้ว พวกเจ้าไปเสีย ข้าไม่มีทางลงเขา”
“ต้องทำอย่างไรท่านถึงยอมลงเขา” ฉือชั่นข่มความสะอิดสะเอียน ย่อตัวลงไต่ถาม
นักชันสูตรเฉียนไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ฉือชั่นย่นหัวคิ้วแทบชนกัน “ท่านบอกเงื่อนไขมา พวกข้าจะทำตามสุดความสามารถ”
นักชันสูตรเฉียนหันหลังให้พวกเขาพลางส่งเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอ “เจ้าหนุ่ม หยุดพล่ามเสียที รีบๆ กลับไปเถอะ”
“ท่านเฉียน สหายของข้าพูดจาตรงๆ ไปบ้าง ท่านโปรดอย่าได้ถือสา พวกข้ามาจากเมืองหลวงเพื่อเชิญท่านลงเขา ท่านจะเห็นแก่หน้าท่านหมอเทวดาหลี่ช่วยพวกข้าสักครั้งได้หรือไม่ขอรับ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยถามอย่างสุภาพยิ่ง
ฉือชั่นฟังคำนี้แล้วมองไปทางเฉียวเจาอย่างอดใจไม่อยู่ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเขาออกจากเมืองหลวงเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อเชิญขอทานเฒ่านิสัยประหลาดผู้นี้ลงเขา
สีหน้าเฉียวเจาไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด ฉือชั่นหันไปมองหยางโฮ่วเฉิงอีกที เขาทำสีหน้างุนงงบ่งชัดว่าเพิ่งรู้เรื่องเช่นกัน
ฉือชั่นได้แต่ยิ้มขื่นๆ ในใจ ที่แท้หลีซานหารือกับเซ่าหมิงยวนไว้เรียบร้อยแต่แรก กลับไม่เอ่ยบอกข้าแม้สักครึ่งคำ
“พวกเจ้าอย่ามัวเปลืองเวลาอยู่ที่นี่ ข้าพูดไปแล้วก็จะไม่กลับคำ” นักชันสูตรเฉียนพลิกตัวทีหนึ่ง เปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนแผ่กางแขนกางขาอีกครั้ง
เปลือกตาที่เต็มไปด้วยรอยย่นบดบังดวงตาขุ่นมัวไว้ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว
หยางโฮ่วเฉิงดึงเซ่าหมิงยวนมาถามเสียงค่อย “ต้องเชิญคนผู้นี้ลงเขาให้ได้หรือ”
เซ่าหมิงยวนตวัดสายตามองเฉียวเจาก่อนพยักหน้า “อื้อ”
หยางโฮ่วเฉิงถูมือไปมา “เห็นอยู่ทนโท่ว่าคนผู้นี้เป็นสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อน”
เซ่าหมิงยวนถอนใจเฮือกหนึ่ง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อน วิธีการที่เขาใช้จัดการข้าศึกพวกนั้นก็เอามาใช้กับผู้เฒ่าท่านนี้ไม่ได้อีก
เพลานี้เองเฉียวเจาปริปากขึ้น “ท่านเฉียน ท่านปู่หลี่เคยกล่าวถ้อยคำหนึ่งกับข้าเจ้าค่ะ”
ถึงนักชันสูตรเฉียนจะไม่เปล่งเสียงพูด แต่คำว่า ‘ท่านปู่หลี่’ กลับทำให้ใบหูของเขากระดุกกระดิกแล้ว