หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 366
บทที่ 366
นักชันสูตรเฉียนยกแขนขึ้นตั้งท่าจะถอดเสื้อผ้า
เรียวคิ้วสมส่วนของฉือชั่นมุ่นเข้าหากัน “ท่านจะถอดตรงนี้เลยหรือ”
“ไม่ถอดตรงนี้ให้ถอดตรงที่ใด” นักชันสูตรเฉียนชี้ไปที่ลำธารไม่ไกลจากกระท่อม “เข้าไปถอดในกระท่อมก็ต้องออกมาอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ต่างจากเมืองหลวงที่เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้วอากาศเริ่มเย็นลง ทางไถสุ่ยยังคงอยู่ในช่วงปลายฤดูร้อน จะชำระกายในลำธารก็ไม่นับว่ามีอะไร
“สือซี เจ้าพาคุณหนูหลีไปเดินเล่นทางโน้นเถอะ รอท่านเฉียนชำระกายเสร็จแล้วข้าค่อยเรียกพวกเจ้า”
ฉือชั่นย่อมไม่อยากให้เฉียวเจาเห็นภาพอุจาดตา เขาหันหน้าไปบอกนาง “พวกเราไปทางโน้นเถอะ”
“อื้อ”
ห่างไปไม่ไกลเป็นเนินเขาสูงๆ ต่ำๆ ไม่ลาดชันนัก ทั้งสองไต่ขึ้นเนินเล็กๆ แล้วไต่ลงก็เป็นแนวพุ่มไม้ผืนหนึ่ง มีผลสีแดงสุกปลั่งดกดื่นทั้งต้น ดูงดงามคล้ายหินโมรา
“อันนี้กินได้” ฉือชั่นพลันเอ่ยขึ้น
เฉียวเจาอดมองเขาไม่ได้
ฉือชั่นคลายยิ้ม “ข้าเคยกินตอนเด็กๆ” ตอนติดอยู่บนเขาหลิงไถ เขาเคยกินผลไม้ป่าชนิดนี้
“รสชาติไม่เลวเลย” เขาเดินเข้าไปเด็ดผลไม้ป่าสีแดงมาหลายลูก ก้มตัวลงคิดจะล้างในลำธาร แต่นึกไปถึงว่ามีคนชำระกายอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลนักก็พะอืดพะอมขึ้นมากะทันหัน เขายืดตัวขึ้นหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากอกเสื้อบรรจงเช็ดพวกมันจนสะอาด แล้วค่อยยื่นส่งให้เฉียวเจา “จะลองชิมดูหรือไม่”
ผลไม้ป่าสีแดงขับเน้นนิ้วมือเรียวยาวขาวเนียนดุจหยกให้ชวนพิศเป็นพิเศษ
เฉียวเจาเคยกินผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเหมือนกัน เข้าปากแล้วรู้สึกหวานนิดๆ ตามมาด้วยรสขมระลอกหนึ่ง รสชาติสามัญธรรมดามาก
นางคลี่ยิ้มรับไว้พร้อมกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหยิบลูกหนึ่งขึ้นมากิน
“เป็นอย่างไร” นัยน์ตาดุจลูกแก้วใสทั้งคู่ของฉือชั่นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยทอประกายคาดหวังเต็มเปี่ยม
“พอใช้ได้เจ้าค่ะ”
ฉือชั่นยิ้มตาโค้งเอาผลไม้ป่าลูกหนึ่งใส่ปาก เขากินแล้วงงงันไป
เขาฝืนกลืนมันลงไป พูดพึมพำอย่างไม่เข้าใจสักนิด “รสชาติไม่เหมือนกับในความทรงจำ”
เฉียวเจาหมุนผลไม้หลายลูกในมือเล่นพลางกล่าวยิ้มๆ “บางทีรสของมันไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นใจของพี่ฉือที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับตอนนั้นแล้วก็เป็นได้”
ฉือชั่นนิ่งอึ้งไป จากนั้นพลันพยักหน้า “เจ้าพูดถูก”
เขาชี้ก้อนหินสองก้อนบนพื้นหญ้าเขียวขจี “พวกเรานั่งสักครู่เถอะ นักชันสูตรเฒ่าผู้นั้นมอมแมมจนไม่เห็นเค้าเดิม คงชำระกายให้สะอาดหมดจดไม่ได้ในชั่วประเดี๋ยว”
ทั้งคู่นั่งลง ก้อนหินแฝงไออุ่นไว้น้อยๆ กลิ่นหอมสดชื่นของต้นหญ้าลอยอวลรอบกายเขากับนาง
เฉียวเจาไม่กล่าววาจา ฉือชั่นก็เช่นกัน
เขาลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของนางแล้วพลันรู้สึกอิ่มเอมใจมาก
นี่คือสตรีที่เขาชมชอบ
หญิงสาวรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา นางหันไปสบตาเขาอย่างเปิดเผย
เมื่อนางไม่มีวันจะให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ ก็จะไม่มีทางปล่อยให้บรรยากาศยามที่เขากับนางอยู่กันตามลำพังมีนัยลึกซึ้ง
“พี่ฉือ พวกเราคงต้องรั้งอยู่ที่จยาเฟิงเป็นเวลานานระยะหนึ่ง หลังจากนั้นยังต้องไปชายทะเลแดนใต้ มีโอกาสเก้าในสิบส่วนที่จะไม่ได้กลับไปเมืองหลวงฉลองวันตรุษ”
“ไม่เป็นไร ฉลองที่เมืองอื่นก็เหมือนกัน” ฉือชั่นอดนึกไปถึงภาพงานฉลองวันตรุษในวังองค์หญิงใหญ่ไม่ได้
ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอย่างครึกครื้นรื่นเริงตามสายตาคนภายนอก เขากับท่านแม่นั่งอยู่คนละฟากของโต๊ะอาหารกลางโถงกว้างใหญ่ มีอาหารวางเรียงรายเต็มโต๊ะ แต่เขากลับขยับตะเกียบกินได้ไม่กี่คำ รสชาติละม้ายเคี้ยวเทียนไข
เขาไม่ชอบฉลองวันตรุษ ทว่าปีนี้อาจตั้งตารอคอยสักหน่อยก็เป็นได้
ถึงเวลาให้หลีซานทำเนื้อกวางแผ่นทอดให้ข้าแล้วกัน
ฉือชั่นคิดไปเช่นนี้แล้วหัวใจก็อ่อนยวบยาบ สีหน้าแววตาของเขาแฝงรอยยิ้ม
เวลาล่วงผ่านไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสียงตะโกนเรียกของเซ่าหมิงยวนดังมาจากอีกฟากหนึ่งของเนินเขา “สือซี พวกเจ้ามาทางนี้ได้แล้ว”
ฉือชั่นสะกดความเสียดายในใจไว้และลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ดูท่านักชันสูตรเฉียนผู้นั้นต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งเจ้าอย่างเต็มที่ ข้าเป็นห่วงว่า…”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เฉียวเจาตัดบทเขา “ข้าไม่กลัวการกลั่นแกล้ง อย่างน้อยเขายอมกลั่นแกล้ง ไม่ใช่ปฏิเสธทันที”
เขามองนางอย่างพินิจ
“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
ฉือชั่นหยักยิ้ม “ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ”
เขาออกเดินนำหน้า หากในใจกลับขัดเคืองอย่างบอกไม่ถูก
เซ่าหมิงยวนอยากทวงความเป็นธรรมให้ตระกูลของพ่อตา แล้วเหตุอันใดหลีซานต้องทุ่มเทใจถึงเพียงนี้
ตั้งแต่แรกหลีซานก็มีท่าทีต่อเซ่าหมิงยวนผิดไปจากคนอื่นแล้ว
“เอาเป็นว่าระวังตัวไว้จะดีกว่า อย่าอวดเก่ง”
ทั้งคู่กลับไปถึงที่แล้ว ทว่าเห็นแต่เซ่าหมิงยวนอยู่เพียงผู้เดียว
“นักชันสูตรเฉียนล่ะ” ฉือชั่นถามขึ้น
เซ่าหมิงยวนชี้ที่กระท่อม “เข้าไปนอนในนั้นแล้ว”
“เขาให้พวกเรารอถึงตอนบ่าย ส่วนตนเองเข้ากระท่อมนอนหลับ?” ฉือชั่นเม้มมุมปากแน่น
เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างอ่อนใจ “ดูเหมือนว่าไม่เข้าไปนอนในกระท่อมก็ไม่ได้ ท่านเฉียนบอกว่ามีอาภรณ์ชุดเดียว รอผึ่งให้แห้งแล้วเขาค่อยออกมา”
เฉียวเจามองไปรอบๆ เห็นอาภรณ์แผ่กางอยู่บนก้อนหินไม่ไกล
“ข้าเพิ่งซักผ้าเสร็จ ดีที่ตอนนี้แดดแรง ประเดี๋ยวเดียวก็แห้งแล้ว”
“มิสู้ไปซื้อจากชาวบ้านตรงเชิงเขามาให้เขาสักชุด” ฉือชั่นกล่าว
“เขาบอกว่าไม่คุ้นเคยกับการสวมเสื้อผ้าชุดใหม่”
ฉือชั่นยิ้มเยาะ “พวกตาเฒ่าชอบทรมานคนเล่น”
“เจ้ากับคุณหนูหลีนั่งก่อน ข้าไปล่ากระต่ายป่ามาสักตัว ท่านเฉียนบอกว่าอยากกินกระต่ายย่าง”
“เขายังอยากได้สุราขาวสักกาด้วยใช่หรือไม่” ฉือชั่นโกรธกรุ่นๆ ตาเฒ่านั่นจับทางได้แล้วว่าสหายของเขาเป็นคนอารมณ์เย็น
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน “นี่กลับไม่มี ตอนบ่ายยังต้องทดสอบคุณหนูหลี บางทีที่ไม่ดื่มสุราอาจเพราะทำให้เสียเรื่องได้ สือซี เจ้าไปเก็บฟืนที ข้าไปไม่นานก็กลับมาแล้ว”
เขาสั่งกำชับจบก็ผลุบหายเข้าไปในป่าอย่างว่องไว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กลับมาพร้อมกับหิ้วกระต่ายป่าสามตัวกับไก่ป่าหนึ่งตัวอยู่ในมือ ส่วนอีกมือหนึ่งถือรังผึ้งไว้
“นี่คืออะไร” ฉือชั่นเพ่งมองรังผึ้งพลางถาม
“รังผึ้ง ข้างในมีน้ำผึ้ง”
ฉือชั่นยื่นมือรับน้ำผึ้งมา “ที่แท้น้ำผึ้งที่พวกเรากินกันได้มาเช่นนี้นี่เอง”
เขายื่นหน้าไปเมียงมองใกล้ๆ อย่างสนใจใคร่รู้ จู่ๆ มีผึ้งตัวหนึ่งโผล่ออกมาเกาะอยู่บนเปลือกตาเขาอย่างรวดเร็ว
เซ่าหมิงยวนยื่นมือมาใช้ปลายนิ้วจับผึ้งออกไปด้วยความไวดุจสายฟ้าแลบ
ฉือชั่นร้องอุทานในลำคอแล้วกุมตาซ้ายไว้นิ่งๆ
“โดนผึ้งต่อยแล้วใช่หรือไม่” เซ่าหมิงยวนถาม
ตาซ้ายของฉือชั่นบวมเป่งจนยกเปลือกตาไม่ขึ้น แต่เขาไม่ยอมเอามือออก
เป็นอย่างนี้ต้องอัปลักษณ์มากแน่ๆ!
“แม่ทัพเซ่า ท่านไปเตรียมเนื้อกระต่ายก่อนเถอะ ข้าดูให้พี่ฉือเอง”
“ดี” เซ่าหมิงยวนพยักหน้า เรื่องนี้คุณหนูหลีย่อมจะจัดการได้ชำนิชำนาญกว่าเขาเป็นธรรมดา
เฉียวเจาขยับเข้าไปใกล้ขึ้น “พี่ฉือ เอามือออก ข้าจะดูอาการให้”
ฉือชั่นเอามือปิดตาไว้ไม่ยอมขยับ
นางทำหน้าตึง “ถ้าพี่ฉือไม่อยากให้ข้าดู อย่างนั้นท่านก็ลงเขาไปหาหมอเถอะ”
นี่คือจะขับไล่ไสส่ง? ฉือชั่นแข็งใจเอามือออกในที่สุด
ตาซ้ายของชายหนุ่มบวมปูดดูแล้วชวนขันเป็นพิเศษ ขณะที่เขากำลังรู้สึกกระอักกระอ่วนสุดจะเปรียบ กลับเห็นเด็กสาวตรงหน้าไม่มีสีหน้าผิดปกติใดๆ นางเพ่งมองเขาด้วยสายตาจริงจังผิดไปจากเดิม
ชั่วพริบตานี้ ฉือชั่นคิดคำนึงว่า โดนผึ้งต่อยทีหนึ่งคุ้มค่ายิ่งนัก
ชะรอยว่าสายตาจริงจังแกมกังวลใจหลายส่วนของเด็กสาวดลใจให้ฉือชั่นบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่ง เขาพูดอย่างน่าสงสารขึ้นว่า “เจ็บ…”
เซ่าหมิงยวนเหลือบมองฉือชั่นอย่างห้ามใจไม่อยู่ เขาอมยิ้มพลางก้มหน้าลง
ถึงแม้สือซีจะเอาใจยากอยู่สักหน่อย แต่เป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ถ้ามิใช่เพราะคุณหนูหลีไม่มีทางร้องโอดโอยอย่างน่าสงสารเด็ดขาด
เพื่อหญิงในดวงใจ สหายรักยอมทำทุกอย่างแล้วจริงๆ