หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 368
บทที่ 368
เสี่ยวลิ่วอดพิศดูพวกเฉียวเจาซ้ำๆ ไม่ได้
นักชันสูตรเฉียนก้าวขาจะเดินไปข้างใน แต่ถูกยามเฝ้าประตูขวางไว้ “ท่านเฉียน พวกเขาคือ…”
“ลูกมือ” เขาบอกง่ายๆ
ลูกมือ? ลักษณะท่าทางอย่างสามคนนี้จะเป็นลูกมือช่วยนักชันสูตรเฉียนทำงานพวกนั้นหรือ
ท่าทีแรกของยามเฝ้าประตูกับเสี่ยวลิ่วคือไม่เชื่อ
เสี่ยวลิ่วรู้ว่าอาจารย์ของตนเป็นคนดื้อ กลัวทำให้เขาหัวเสียจนกลับไปอีกก็เลยขยิบตากับยามเฝ้าประตู
ยามเฝ้าประตูเบี่ยงตัวออก แต่พอเห็นเฉียวเจาก็จะตามเข้าไป เขากางแขนกันเอาไว้ “นักชันสูตรเฉียน คนอื่นเข้าไปได้ แต่แม่นางน้อยผู้นี้เข้าไปไม่ได้กระมัง”
นักชันสูตรเฉียนเหลียวไปมองยามเฝ้าประตู
ยามเฝ้าประตูหัวเราะ “นักชันสูตรเฉียน ท่านทำงานนี้มาหลายสิบปี จะอย่างไรก็ควรรู้ข้อต้องห้ามบ้างกระมัง”
“ข้อต้องห้าม? ข้อต้องห้ามอะไร”
ยามเฝ้าประตูโคลงศีรษะยิ้มๆ “ท่านชอบพูดหยอกข้าจริงๆ เลยนะ โรงทึมนี้จะให้สตรีเข้าไม่ได้ ปกติในนี้ก็มีพลังหยินแรงอยู่แล้ว สตรีเข้าไปจะเกิดปัญหาได้ง่ายๆ มิใช่หรือ*”
นักชันสูตรเฉียนแค่นเสียงเยาะ “กลางวันแสกๆ จะเกิดปัญหาอะไรได้ เสี่ยวลิ่ว ตกลงเจ้าจะให้ข้าช่วยเรื่องนี้หรือไม่ ถ้าไม่ต้องการ ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”
“ต้องการ ต้องการสิขอรับ อาจารย์อย่าเพิ่งมีน้ำโห รีบเข้าไปเถอะ” เสี่ยวลิ่วค้อมตัวขอโทษขอโพย เขาดึงยามเฝ้าประตูมากระซิบบอก “ไว้ข้าเลี้ยงสุราภายหลังนะ”
ตลอดทั้งปีคนในโรงทึมไม่เคยได้รับผลประโยชน์เบี้ยบ้ายรายทางอันใด ทั้งเป็นงานที่ให้ค่าจ้างน้อยนิดแทบไม่พอยาไส้อยู่แต่เดิม พอได้ยินเสี่ยวลิ่วกล่าวเช่นนี้ แม้เขาไม่ใคร่เต็มใจนักแต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ทุกคนเข้าไป
เมื่อย่างเท้าเข้าโรงทึม เฉียวเจารู้สึกได้ทันใดว่าเย็นยะเยือกกว่าข้างนอกเป็นอันมาก พาให้ไรขนอ่อนตามผิวหนังลุกชันในพริบตา กลิ่นเน่าเปื่อยปนกลิ่นเหม็นแปลกๆ ลอยมาระลอกหนึ่ง ดีที่ลูกประคำไม้กฤษณาบนข้อมือกำจายกลิ่นหอมจางๆ ช่วยบรรเทาความรู้สึกชวนให้พะอืดพะอมเช่นนี้ลงได้เล็กน้อย
เฉียวเจารับรู้ได้ว่ามีคนดึงนางทีหนึ่ง เพราะว่ากะทันหันเกินไปอีกทั้งเดินอยู่สถานที่นี้ บันดาลให้หนังศีรษะชาวาบๆ อย่างสุดระงับ จากนั้นถึงพบว่าเป็นฉือชั่นที่กระตุกแขนเสื้อของนาง
นางผ่อนฝีเท้าหันไปส่งสายตาถามฉือชั่น
ฉือชั่นพูดเสียงค่อย “หลีซาน ข้าชักสังหรณ์ใจไม่ดีว่าการทดสอบของนักชันสูตรเฒ่าผู้นี้เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายดายปานนั้น”
เฉียวเจากระตุกมุมปาก เสียงของนางเบามากเช่นเดียวกัน “แน่นอนอยู่แล้ว”
“เขาคงไม่ได้จะให้เจ้าอยู่ในนี้คนเดียวทั้งคืนกระมัง”
สีหน้าของเด็กสาวนิ่งขึงไปเล็กน้อย นี่ดูเหมือนจะมิใช่เป็นไปไม่ได้
พอนึกถึงว่าต้องอยู่ในสถานที่อย่างนี้คนเดียวทั้งคืน ถึงเป็นเฉียวเจาที่สุขุมเยือกเย็นเป็นนิจ เวลานี้ก็อดแตกตื่นอยู่บ้างไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง” ฉือชั่นเพ่งมองเด็กสาวข้างกายพลางพูดกระซิบ
น้ำเสียงของชายหนุ่มหนักแน่นจริงจัง เห็นชัดว่าเขามีความคิดจะทำเช่นนี้จากใจจริง
เฉียวเจาสัมผัสถึงความจริงใจนี้ได้ ถ้าจะพูดว่าลึกๆ ในใจนางไม่ซาบซึ้งเลยสักนิดคงเป็นเรื่องเท็จ
ถึงหญิงสาวรู้สึกหนักใจแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า นางแย้มยิ้ม “ท่านเฉียนไม่น่าจะทดสอบเช่นนี้เจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนเดินอยู่ข้างๆ นักชันสูตรเฉียนหันหน้ามามองปราดหนึ่ง
“ไปเถอะ” เฉียวเจาบอกกับฉือชั่นเสียงแผ่วเบาก่อนจะเร่งฝีเท้าไล่ตามไป
ฉือชั่นหยุดยืนอยู่ที่เดิมอึดใจหนึ่ง
แต่ไรมาเขาไม่เคยคิดที่จะวิสาสะกับคนจำพวกเดียวกับนักชันสูตรเฉียน แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะมาสถานที่อย่างโรงทึม เขารังเกียจสิ่งของที่สกปรกน่าคลื่นไส้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้กลับแหวกกฎหมดทุกข้อ
กระนั้นความรู้สึกของการแหวกกฎดูเหมือนจะไม่เลวเหมือนกัน
สายตาของฉือชั่นมองตามแผ่นหลังเด็กสาวไป ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
คงเพราะมีนางอยู่ด้วย ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงไม่ทำให้ยากทานทนเพียงนั้น
เขาจึงตามไปเงียบๆ
เสี่ยวลิ่วอยู่ข้างหน้าพาพวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็ได้กลิ่นเหม็นแปลกประหลาดนั่นชัดขึ้น
เขาอดมองสำรวจคนสามคนที่อาจารย์พามาอย่างช่วยไม่ได้
บุรุษร่างสูงผู้นั้นไม่มีท่าทางผิดปกติใดๆ ราวกับเดินอยู่กลางถนนใหญ่ เด็กสาวที่อยู่ข้างๆ เขาติดตามอยู่ด้านหลังไม่ห่างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ส่วนบุรุษที่เดินรั้งท้ายดูไปแล้วไม่สู้ดีนัก ขมวดคิ้วคล้ายอดทนอะไรอยู่อย่างสุดกำลัง
สามคนนี้มีความเป็นมาอย่างไรนะ ดูเหมือนล้วนมิใช่ชั้นสามัญ
“เสี่ยวลิ่ว อยู่ห้องใด” นักชันสูตรเฉียนมุ่นคิ้วไต่ถาม เขาไม่พอใจที่เสี่ยวลิ่วใจลอยอย่างเห็นได้ชัด
เสี่ยวลิ่วดึงความคิดคืนมา เขาชี้ไปทางด้านในสุด “ห้องนั้นขอรับ”
คนทั้งกลุ่มเดินไปที่นั่น เสี่ยวลิ่วใช้กุญแจเปิดประตู
เมื่อบานประตูสองข้างเปิดอ้าออก กลิ่นเหม็นรุนแรงลอยมาปะทะใบหน้า
เฉียวเจาเม้มปากแน่นอย่างอดกลั้น
ด้านฉือชั่นหน้าซีดเผือดแทบอาเจียนออกมา
เซ่าหมิงยวนมองทั้งสองคนอย่างห่วงใย
“เจ้าไม่เป็นไรเลยหรือ” ฉือชั่นถามปากสั่นๆ
กลิ่นเหม็นถึงเพียงนั้นแสนจะร้ายกาจทารุณ มิใช่จะอาศัยแรงใจอย่างเดียวก็รักษาสีหน้าให้เป็นปกติได้
ฉือชั่นลอบขุ่นเคืองตนเอง ขณะเดียวกันก็สนใจใคร่รู้ว่าเหตุใดสหายรักถึงทำได้ถึงขั้นไม่แสดงท่าทีใดๆ
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “อยู่แดนเหนือได้กลิ่นเช่นนี้บ่อยเหลือเกิน”
อันว่าขอยอมเป็นสุนัขในยามสุขสงบดีกว่าเป็นมนุษย์ในกลียุค ในแดนเหนือมีคนบ้านแตกสาแหรกขาดมากมายเท่าไรก็สุดรู้ ตามริมถนนเห็นซากศพเกลื่อนพื้นทุกหนแห่ง
“คุณหนูหลีเป็นอะไรหรือไม่” เซ่าหมิงยวนถามไถ่
เฉียวเจาปิดปากสนิทพลางส่ายหน้า
เซ่าหมิงยวนลอบทอดถอนใจ ให้คุณหนูหลีมาในที่เช่นนี้ ฝืนใจนางแล้วจริงๆ
ครั้นมองดูนักชันสูตรเฉียนที่ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง เขาเริ่มกังวลใจถึงการทดสอบต่อจากนี้
“ศพนั่นหรือ” นักชันสูตรเฉียนเอ่ยถามเสี่ยวลิ่ว
เสี่ยวลิ่วพยักหน้า ก้าวขาจะเดินไปเลิกผ้าขาวที่คลุมศพไว้ขึ้น แต่นักชันสูตรเฉียนส่งเสียงห้ามไว้
“แม่เด็กน้อย เจ้าไปดึงผ้าคลุมศพออก” เขามองเฉียวเจาพร้อมพูด
นางกำมือเป็นหมัดอย่างห้ามไม่อยู่
ฉือชั่นเดือดดาล “นักชันสูตรเฉียน ท่านอย่าล้อเล่น!”
นักชันสูตรเฉียนเดือดดาลมากกว่า “ใครมีเวลาว่างมาล้อเล่นกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเยี่ยงพวกเจ้า”
เขาถลึงตาใส่เฉียวเจา ยกมือชี้ไปที่หน้าประตูอย่างไม่เกรงใจ “ถ้าไม่ทำตามที่ข้าบอกก็ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้เลย ข้าขอบอกตรงๆ ไว้ก่อนเลยว่าตอนนี้การทดสอบยังไม่เริ่มต้นขึ้น หากแค่นี้ยังทนไม่ไหวก็ไปเสียแต่เนิ่นๆ อย่าเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ!”
“การทดสอบมิได้หมายถึงเหยียบย่ำคน!” ฉือชั่นดึงตัวเฉียวเจา “หลีซาน พวกเรากลับเถอะ ใช่ว่าใต้หล้านี้จะมีเขาเป็นนักชันสูตรคนเดียวหรือไร”
นักชันสูตรเฉียนยกมือกอดอกแค่นเสียงเยาะ “ถูกต้อง ใต้หล้ามีนักชันสูตรนับพันนับหมื่น พวกเจ้าดั้นด้นมาหาข้าด้วยเหตุใด ก็ข้าชมชอบเหยียบย่ำคน เห็นคนอื่นทุกข์ทรมาน ข้าก็สบายอกสบายใจ”
เขากล่าวจบแล้วหันหน้าไปตะคอกใส่เสี่ยวลิ่วที่อ้าปากค้างอยู่ “มัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใดเล่า ตะเพิดพวกเขาออกไปสิ!”
“เอ่อ…เอ่อคือ…” เสี่ยวลิ่วรู้สึกสับสนมึนงง เขามองไปทางพวกเฉียวเจา
เด็กสาวสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว พูดเสียงเบา “ท่านเฉียน ท่านอย่าได้ขุ่นใจ เมื่อครู่นี้ข้าแค่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง”
นางอธิบายจบก็เดินเข้าไปใกล้ที่วางศพทีละก้าว
“หลีซาน…” ฉือชั่นทำหน้าบึ้งตึง เขาอดส่งเสียงเรียกไม่ได้
เฉียวเจามิได้ชะงักฝีเท้า
นักชันสูตรเฉียนซึ่งจับตามองนางอยู่ตลอด เห็นดังนั้นแววโทสะในดวงตาก็เจือจางลง เขาชายตามองฉือชั่น กล่าวเสียงเย็นๆ ว่า “ถ้าหักใจไม่ได้อย่างนี้เจ้าพานางไปเสีย หรือไม่เจ้าก็ออกไปก่อน อย่าอยู่เกะกะที่นี่”
ฉือชั่นกำมือแน่นจนเกิดเสียงดังกร๊อบ เขากัดฟันกล้ำกลืนความโกรธนี้ไว้ ไม่กระจ่างแจ้งใจอย่างยิ่งว่าเพราะเหตุใดหลีซานต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสกุลเฉียว
นางทำเพื่อเซ่าหมิงยวนหรือว่าเฉียวโม่กัน
เฉียวเจามาถึงด้านหน้าศพที่คลุมด้วยผ้าขาว นางหลับตาลงแล้วตลบผ้าขึ้นโดยไม่รีรอลังเล
* หยินคือพลังเพศหญิงและพลังขั้วลบ อาทิ ความตาย (ภูตผี) ความหนาวเย็น ความมืดทึบ หากผู้หญิงเข้าไปในโรงทึมจะยิ่งเป็นการเสริมพลังหยิน