หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 376
บทที่ 376
เฉียวเจานั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะ ถือตำราแพทย์เล่มหนึ่งในมือ นางได้ยินเสียงฝีเท้าก็ไม่หันหน้าไป
“คุณหนู แม่ทัพเซ่ามาแล้วเจ้าค่ะ” อาจูกล่าวเสียงเบา
เซ่าหมิงยวนหยุดนิ่ง เพ่งสายตามองแผ่นหลังบอบบางนั่นโดยไม่กะพริบตา
“พวกเจ้าออกไปก่อน ปิดประตูให้ดีด้วย”
ปิงลวี่ตวัดสายตามองเซ่าหมิงยวนอย่างระแวดระวัง
อาจูฉุดปิงลวี่พลางพูดเสียงนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
หลังเสียงปิดประตูดังขึ้น เฉียวเจาวางตำราแพทย์ลงแล้วหมุนกายมาช้าๆ
สายตาของชายหนุ่มหยุดอยู่ที่ริมฝีปากบวมเล็กน้อยของเด็กสาวทันที
เฉียวเจาเม้มมุมปากอย่างข่มอารมณ์ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าคิดว่าแม่ทัพเซ่าน่าจะต้องให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่ข้าสักอย่างนะเจ้าคะ”
นางพูดจบแล้วพบว่าคนบางคนยังจ้องมองนางตาเขม็ง ดูเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้เข้าหูสักนิด
หญิงสาวอดโมโหไม่ได้
เริ่มตั้งแต่เมื่อวานคนผู้นี้ก็โดนผีเข้าใช่หรือไม่
นางย่างเท้าหลายก้าวไปยืนเบื้องหน้าเขา คิ้วเรียวสวยมุ่นเข้าหากัน “แม่ทัพเซ่า?”
หรือว่าหาข้ออ้างไม่ได้จริงๆ เจ้าคนบ้าผู้นี้จึงตั้งใจจะไม่อธิบายเสียเลย ดังคำกล่าวว่าขว้างไหร้าวให้แตก?
กลิ่นหอมจางๆ ลอยมาปะทะใบหน้า เซ่าหมิงยวนพลันหวนนึกถึงค่ำคืนที่กระสับกระส่ายนอนไม่หลับนับครั้งไม่ถ้วนแล้วประกายในดวงตาเข้มขึ้น เขาย้อนถามด้วยน้ำเสียงต่ำพร่า “อธิบาย?”
ทันทีที่บุรุษเบื้องหน้าปริปาก เฉียวเจารับรู้ถึงอันตรายได้หลายส่วนตามสัญชาตญาณ นางถอยหลังครึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้
เซ่าหมิงยวนกลับขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ ก้มหน้ามองเด็กสาวที่อยู่ห่างแค่เอื้อม
เรือนกายของชายหนุ่มสูงเลยศีรษะนางไปเป็นคืบ ยามเขาก้มลงมองจะแผ่รัศมีคุกคามน่าพรั่นใจ
แต่เฉียวเจาไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง นางยกปลายคางขาวกระจ่างขึ้น มองสบตาเขาพลางพูดเสียงเย็นๆ “แม่ทัพเซ่าไม่คิดจะอธิบายเรื่องเมื่อคืนหรือเจ้าคะ”
“ข้าอธิบายสิ” พอบุรุษตรงหน้าเริ่มอ้าปากพูด กิริยาท่าทางก็ดูอ่อนละมุนละไมไปหมดทันใด เขาจ้องหน้านางด้วยแววตาแรงกล้า “ข้า…ข้าอธิบายไม่ได้…”
ตอนเขารู้ว่านางคือภรรยาของเขา ในหัวสมองไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น พอเห็นนางก็ทำอย่างนั้นไปแล้ว เรื่องของสัญชาตญาณพรรค์นี้จะอธิบายเช่นไร
แม่ทัพหนุ่มสังเกตเห็นแววตาของเด็กสาวปึ่งชาขึ้นอีกหนึ่งส่วน เขาตกลงใจพูดตามสัตย์จริง “พอข้ารู้ว่าเจ้าคือเฉียวเจาก็ห้ามใจไม่อยู่แล้ว”
“ห้ามใจไม่อยู่?” เฉียวเจาย้อนถามเสียงเยาะๆ “แม่ทัพเซ่าห้ามใจไม่อยู่กับสตรีผู้หนึ่งตามใจชอบจะเหมาะสมหรือ…ประเดี๋ยว เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ”
นางเบิกตากว้างกะทันหันอย่างตะลึงลานถึงขีดสุด
นางหูฝาดเองใช่หรือไม่ เมื่อครู่เซ่าหมิงยวนพูดว่านางเป็นใครนะ
เซ่าหมิงยวนอ้าแขนสวมกอดเฉียวเจาเอาไว้ เสียงของเขาสั่นเทา “ข้าพูดว่าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใครแล้ว เจ้าคือเฉียวเจาภรรยาข้า และเป็นมาโดยตลอด”
เฉียวเจางงงันไปโดยสิ้นเชิง
นางถูกกอดอยู่ในอ้อมแขน รู้สึกถึงไออุ่นจัดจนน่าตกใจแผ่ซ่านจากแผงอกแข็งแกร่งของอีกฝ่าย กลิ่นอายเฉพาะตัวของบุรุษห้อมล้อมนางไว้ ทำให้ความคิดของนางติดขัด สมองมึนงงราวกับดื่มสุราเมามาย กระทั่งแข้งขาก็อ่อนระทวยไปด้วย
“เจาเจา ไฉนเจ้าไม่บอกข้าแต่แรกเล่า” เซ่าหมิงยวนก้มศีรษะวางปลายคางบนกลางกระหม่อมนางพร้อมกับพูดซ้ำๆ หนแล้วหนเล่า “ไฉนเจ้าไม่บอกข้าแต่แรกเล่า”
เฉียวเจาคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน นางยกมือผลักไสชายหนุ่ม พูดเอ็ดใส่เขา “ปล่อยข้านะ”
นางมีเรี่ยวแรงน้อย เป็นธรรมดาที่ผลักบุรุษตัวสูงใหญ่เหมือนภูเขาไม่ไหว ได้แต่หยิกเอวเขาทีหนึ่งสุดแรง ตะเบ็งเสียงพูด “เซ่าหมิงยวน! ข้าโกรธแล้วนะ”
เขารีบคลายมือออก ถอยหลังหนึ่งก้าวออกห่างจากนางอย่างว่าง่าย
เฉียวเจาเขม้นตามองคนบางคนที่ทำสีหน้าเต็มตื้นอย่างไม่สบอารมณ์เป็นนาน ถึงไต่ถามอย่างละเหี่ยใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร”
แม้จะได้รู้คำตอบจากทางเฉียวโม่แล้ว แต่พอได้ยินเฉียวเจายอมรับกับปาก เซ่าหมิงยวนถึงมั่นใจในที่สุด เขาเผยรอยยิ้มกว้างขวาง “พี่เฉียวโม่บอกข้าเอง”
พอเห็นสายตาสงสัยของนาง ชายหนุ่มรีบหยิบถุงผ้าแพรในอกเสื้อยื่นส่งให้ เขาเอ่ยอธิบายด้วยอารมณ์แช่มชื่น “ถุงผ้าแพรที่พี่เฉียวโม่มอบให้ข้าก่อนออกจากเมืองหลวง”
จวบจนเสี้ยวขณะนี้ เขาถึงรู้ว่ารสชาติของความสุขนั้นเป็นเช่นไร
ความสุขคือเมื่ออยู่มาวันหนึ่งความปรารถนาที่เรานึกว่าไม่มีวันสมหวังกับสิ่งที่เราคิดว่าสูญเสียไปแล้วจู่ๆ ล้วนไม่ใช่ความจริง ความสุขก็จะมาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาเป็นคนที่คู่ควรได้รับ ‘ความสุข’ เช่นกัน
ขอบตาของแม่ทัพหนุ่มมีน้ำตารื้นขึ้น ถึงเป็นอย่างนี้ต่อหน้าสตรีนางหนึ่งจะน่าอับอายขายหน้ามากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาไม่หลบสายตาของนาง
เขาเบนสายตาออกก็จะได้เห็นนางน้อยลง เขาหักใจไม่ได้หรอก
ที่สำคัญกว่าคือเทียบกับสิ่งที่เขาได้ครอบครองอย่างกะทันหัน ความรู้สึกเสียศักดิ์ศรีต่างๆ เหล่านั้นล้วนไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง โดนเจาเจาหัวเราะเยาะได้ก็ดีเหมือนกัน
จะมีอะไรดีไปกว่านางยังมีชีวิตอยู่เล่า
เฉียวเจารับถุงผ้าแพรไว้ นางหยิบกระดาษสีพื้นในนั้นออกมาอ่านแล้วลอบถอนใจเฮือก
พี่ใหญ่คิดอะไรอยู่กันแน่ นี่ไม่ใช่จะแกล้งข้าหรือไร!
“ทำลายมันทิ้งเสีย” เฉียวเจาโบกแผ่นกระดาษในมือ
“ทำตามที่เจ้าบอก” ถึงแม้ในใจจะเสียดายเหลือแสน เซ่าหมิงยวนยังคงพยักหน้าโดยไม่อิดออด
เขารับกระดาษสารมาขยำจนขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วขว้างทิ้งออกทางนอกหน้าต่างที่อยู่ด้านแม่น้ำ ค่อยหมุนกายมามองเฉียวเจา
“แม่ทัพเซ่า…” เฉียวเจาเอ่ยปากขึ้น
ทั้งที่ก่อนหน้านางเรียกขานเขาด้วยคำนี้เสมอ แต่เวลานี้เซ่าหมิงยวนฟังแล้วรู้สึกระคายหู
“เจาเจา เจ้าเรียกข้าว่าถิงเฉวียนได้หรือไม่”
เฉียวเจาหันไปหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นดื่มคำหนึ่ง ท่าทางกลับมาสงบเยือกเย็นเป็นปกติดังเดิม นางวางถ้วยน้ำชาลงตามสบายก่อนกล่าวเอื่อยๆ
“นี่ไม่ใคร่จะเหมาะสม คนอื่นได้ยินเข้าจะคิดอย่างไร”
“เจาเจาไม่ใช่คนที่แยแสว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร”
เจาเจาของเขาเป็นตัวของตนเองมากเพียงใดเขารู้มานานแล้ว หากนางใส่ใจว่าคนรอบข้างคิดอย่างไร ก็ไม่มีทางยืนกรานฝังเข็มขับพิษให้เขาทุกวัน
เฉียวเจาขึงโกรธ เมื่อก่อนนางไม่รู้สึกว่าเขาหน้าหนาถึงเพียงนี้ หรือเขาจะนึกว่านางยังนับเป็นภรรยาของเขา ไม่ได้ วันนี้นางต้องพูดให้กระจ่าง ลบล้างความคิดน่าอันตรายพรรค์นี้ออกจากหัวเขาให้สิ้นซาก
“เป็นข้าที่รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม”
“อย่างนี้เองหรือ…” นัยน์ตาทั้งคู่ของชายหนุ่มหลุบลงเล็กน้อย แพขนตาดกหนากระพือเบาๆ ดูเป็นคนหัวอ่อนไม่พ้องกับลักษณะท่าทางของเขาเลย
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริกอย่างสุดระงับ
เป็นถึงกวนจวินโหวผู้ทรงเกียรติ เป็นแม่ทัพเป่ยเจิงที่แม้พูดคุยยิ้มหัวอยู่ก็สามารถเด็ดศีรษะขุนพลของข้าศึกท่ามกลางกองทัพนับหมื่นได้ เพราะอะไรต้องทำท่าโอนอ่อนคล้อยตามเช่นนี้จนดูเหมือนนางเลือดเย็นแล้งน้ำใจกระนั้น
ทั้งๆ ที่คนที่เลือดเย็นแล้งน้ำใจคือเขาต่างหาก
บนกำแพงเมืองเยี่ยน เขายิงธนูดอกนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยนิด
จริงอยู่ว่าตอนนั้นเขาจำต้องทำอย่างนั้น และนางก็แจ่มแจ้งว่าเพราะธนูดอกนั้นของเขา ตนเองถึงไม่ต้องพบกับจุดจบน่าอนาถใจยิ่งกว่า
นางไม่เกลียดชังเขา ไม่เคืองแค้นเขา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางยังยินยอมกลับไปอยู่ในฐานะภรรยาของเขา ต้องกลับไปที่เรือนหลังของคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งนั้นสักวันหนึ่ง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจของเฉียวเจาสงบนิ่งมากขึ้น
ฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องพูดกันให้รู้เรื่องแต่เนิ่นๆ
“แม่ทัพเซ่า เชิญนั่ง” เฉียวเจาหมุนกายไปรินน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้เขา
เซ่าหมิงยวนรับน้ำชาไว้แล้วนั่งลง
นางนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นิ่งเงียบชั่วครู่ถึงอ้าปากพูด “ในเมื่อแม่ทัพเซ่ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร เช่นนั้นพวกเรามาคุยกันเถอะ”
“เจาเจาอยากพูดอะไรหรือ”
เฉียวเจาขมวดคิ้ว คำเรียกขานว่า ‘เจาเจา’ ออกจากปากคนผู้นี้แล้วออกจะฟังดูสนิทสนมเกินไป
“แม่ทัพเซ่า สถานะของข้าในตอนนี้คือหลีเจา มิใช่เฉียวเจาอีกสืบไป ดังนั้นข้าหวังว่าหลังจากนี้พวกเราจะรักษาไมตรีกันห่างๆ ต่อไป ท่านห้าม…”
“ห้ามอะไร”
“ห้ามปากว่ามือถึงอย่างเมื่อวานและวันนี้”