หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 381
บทที่ 381
สหายสองคนที่กลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นไม่แยแสคำพูดของหยางโฮ่วเฉิงแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังกลิ้งไปทางหน้าประตูที่เปิดออกแล้ว
หยางโฮ่วเฉิงก้มตัวลงไปหมายจะพยุงทั้งคู่ลุกขึ้น “พวกเจ้าเกิดเสียสติอะไรกันขึ้นมา”
ฉือชั่นบีบคอเซ่าหมิงยวนไว้แน่นๆ เห็นหยางโฮ่วเฉิงเข้ามาก่อกวนก็ตวัดขาถีบเขาจนตัวเซไป
ไม่นานนักสองคนที่กำลังชกต่อยกันอย่างดุเดือดก็กลิ้งถลำออกมาตรงระเบียงทางเดิน
หยางโฮ่วเฉิงโดนลูกหลงถูกถีบทีหนึ่ง ยังเห็นเจ้าสองคนนี้ทำเรื่องขายหน้าประชาชีก็โกรธจนควันออกหู ไล่ตามออกไปง้างเท้าจะเตะฉือชั่น แต่เงื้อค้างกลางอากาศนานสองนานก็เล็งหาเป้าไม่ได้
ถ้าเกิดไม่ระวังเตะโดนถิงเฉวียน เขาทนรับความน่าสะพรึงกลัวของการคิดบัญชีภายหลังไม่ไหว
ตรงระเบียงทางเดินมีห้องพักเรียงรายติดกัน องครักษ์จินอู๋หลายคนได้ยินเสียงดังก็แง้มประตูออกเป็นรอยแยกเล็กๆ แอบเยี่ยมหน้าออกมา
หยางโฮ่วเฉิงหันหน้าไปตวาดใส่ “อย่าวุ่นวาย! ไม่ใช่กงการอะไรของพวกเจ้า”
หลายคนหดศีรษะกลับไป แต่รอยแยกประตูถ่างกว้างขึ้น
ขณะที่นักชันสูตรเฉียนเปิดประตูยกม้านั่งตัวเล็กมาวางตรงราวรั้วเรือด้านนอก รับลมจากแม่น้ำไปพลางแทะถั่วลิสงไปพลางพร้อมกับชมความครึกครื้นไปด้วยเสียเลย
เซ่าหมิงยวนกับฉือชั่นกลิ้งล้มลุกคลุกคลานกันไปถึงกราบเรือแล้ว
หยางโฮ่วเฉิงหวั่นใจว่าพวกเขาจะพลัดตกจากเรือ เขาถูมือไปมาอย่างร้อนรน “ตกลงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเจ้าสองคนกันแน่ นี่ไม่ใช่สมัยเด็กที่แก้ผ้าโทงๆ วิ่งเล่นกันแล้วนะ หรือยังจะทะเลาะกันเพราะตุ๊กตาน้ำตาลปั้นตัวเดียว”
ฉือชั่นทุ่มเรี่ยวแรงสุดตัวต่อสู้กับเซ่าหมิงยวนอยู่ เขาแบ่งสมาธิคิดคำนึง มิใช่ทะเลาะกันเพราะตุ๊กตาน้ำตาลปั้นตัวเดียว แต่นั่นเป็นตุ๊กตาน้ำตาลปั้นที่ยกให้กันไม่ได้ต่างหาก…
ทั้งคู่กลิ้งไปชิดราวรั้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หยางโฮ่วเฉิงไล่ตามไปแยกพวกเขาออกจากกันโดยไม่นำพาอะไรทั้งสิ้น “ขืนกลิ้งต่ออีกจะตกลงไปแล้วนะ พวกเจ้าอยากกลายเป็นอาหารปลาจริงๆ หรือไร”
จริงๆ แล้วส่วนใหญ่เซ่าหมิงยวนแทบไม่ได้ตอบโต้เท่าไร เขาตั้งใจให้ฉือชั่นได้ระบายอารมณ์เท่านั้น พอถูกแยกออกจากกันเขาก็ลุกขึ้นนั่งเงียบๆ
ฝ่ายฉือชั่นนอนแผ่บนพื้นเรือหอบแฮกๆ
ด้วยเขาเป็นคนรูปงามล้นเหลือ พออยู่ในอิริยาบถนอนราบกับพื้นโดยที่เรือนผมดกดำแผ่สยายลงและเสื้อผ้าหลุดลุ่ยจากการชกต่อย ต่อให้เป็นบุรุษเห็นแล้วยังอดใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่งไม่ได้
หยางโฮ่วเฉิงรับรู้ถึงสายตาลุกวาวหลายคู่จากหลังประตูได้ สีหน้าเขาบูดบึ้งอย่างสุดระงับ
เมื่อครั้งเยาว์วัยพวกเขาออกไปเดินเที่ยวข้างนอก มักมีพวกคนถ่อยไม่รู้กาลเทศะชอบมาแทะโลมสือซี
“กินอิ่มเกินกันไปใช่หรือไม่ เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าว!”
เสียงปิดประตูดังขึ้นเป็นทอดๆ พร้อมกับสายตาสอดรู้สอดเห็นพวกนั้นหายไปในที่สุด
พอเห็นฉือชั่นไม่ยอมลุกขึ้น นอนบนพื้นเรือจ้องหน้าเซ่าหมิงยวนด้วยสองตาแดงก่ำเช่นนี้ บันดาลให้หยางโฮ่วเฉิงตกใจมากขึ้น
สือซีโดนยั่วยุโทสะถึงเพียงใดกันนี่ คนรักความสะอาดเฉกนี้ถึงกับไม่สนใจอะไรแล้ว
เขาหันไปมองสหายรักอีกคน เห็นเซ่าหมิงยวนนั่งเงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หยางโฮ่วเฉิงใจคอไม่ดีขึ้นเรื่อย แย่แล้ว ดูท่าว่าจะเกิดเรื่องใหญ่
“ถิงเฉวียน พวกเจ้าเป็นอะไรกันแน่”
เซ่าหมิงยวนไม่พูดไม่จา เขามองฉือชั่นแวบหนึ่ง
หยางโฮ่วเฉิงยื่นมือไปประคองฉือชั่น “มีเรื่องใดจะพูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ เจ้าสู้ถิงเฉวียนไม่ได้สักหน่อย…”
ฉือชั่นสะบัดมือเขาออกทันที เจ้าลูกเต่าผู้นี้มาห้ามทัพหรือจะราดน้ำมันบนกองไฟ?
“เซ่าหมิงยวน เจ้าตามข้ามา!” ฉือชั่นตะกายตัวลุกขึ้นพลางกล่าว
เซ่าหมิงยวนเช็ดคราบเลือดมุมปากออกแล้วลุกขึ้นยืนตาม
“พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน” หยางโฮ่วเฉิงซักไซ้
“เจ้าไม่ต้องยุ่ง” ฉือชั่นบอกห้วนๆ คำหนึ่งก่อนก้าวขาเดินไป
เซ่าหมิงยวนตบแขนเขาเบาๆ “ไม่มีอะไร”
หยางโฮ่วเฉิงมองดูพวกเขาแยกไปแล้วชั่งใจครู่หนึ่งแต่มิได้ตามไป
เขาจะไปหารือกับคุณหนูหลีสักหน่อย นางฉลาดกว่าเขา ไม่แน่อาจรู้ว่าเป็นเรื่องอะไรก็ได้
เขาเดินไปถึงหน้าห้องของเฉียวเจา เห็นนางยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าที่ปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก
“คุณหนูหลี วันนี้ท่านฝังเข็มให้ถิงเฉวียนแล้วกระมัง รู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขา”
เฉียวเจาไม่เอ่ยตอบ พวกเขาชกต่อยกันเพราะนาง เรื่องพรรค์นี้แค่คิดก็ยังกระอักกระอ่วนใจแทบตาย หรือยังจะป่าวประกาศให้รู้กันทั่วอีก
“ข้าไม่ใคร่แจ่มแจ้งนัก พี่หยางลองถามพวกเขาดูดีกว่ากระมัง” กล่าวจบเฉียวเจาย่อกายคำนับแล้วหันหลังกลับเข้าห้อง
หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ที่เดิมทำหน้าตาชอบกล
ไฉนวันนี้แต่ละคนล้วนไม่ปกติ
หยางโฮ่วเฉิงรู้ว่าสองคนนั้นต้องมีเรื่องคุยกันถึงไม่ให้ตนตามไปด้วย เขารู้สึกอึดอัดคับใจจึงเดินไปสูดอากาศตรงราวรั้วเรือ
นักชันสูตรเฉียนกินถั่วลิสงหมดก็ปัดเศษเปลือกถั่วบนตัวออกแล้วสาวเท้าเดินกลับไป ตอนสวนผ่านข้างตัวหยางโฮ่วเฉิง เขาถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “พวกคนหนุ่มสาวนี่นะ”
ดังนั้นอยู่กับศพยังสบายใจกว่าเป็นกอง
บนเรือไม่เหมือนกับบนบก พูดคุยกันในห้องจะเหมาะสมกว่า
ในห้องของเซ่าหมิงยวนข้าวของล้มระเนระนาด ฉือชั่นเลยตรงกลับไปที่ห้องของตน รอจนอีกฝ่ายเข้ามาแล้วถึงค่อยปิดประตูตามหลัง
เขาไม่สนใจเซ่าหมิงยวน นั่งลงตรงข้างโต๊ะกรอกน้ำชาเย็นชืดเข้าปากคำหนึ่งแล้วหอบหายใจเฮือกใหญ่ๆ
เซ่าหมิงยวนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ยื่นมือไปหยิบกาน้ำชา
ฉือชั่นกดมือเขาไว้ กล่าวเยาะๆ ว่า “นี่เป็นห้องข้า เซ่าหมิงยวน ข้าไม่ได้เชิญเจ้าดื่ม เจ้ายังจะรินเอาเองอย่างไม่ละอายใจเลยรึ”
เซ่าหมิงยวนมองสหายรักด้วยแววตาลึกล้ำ เขาถอนใจเบาๆ “สือซี ระหว่างพวกเราจะต้องตั้งตนเป็นศัตรูกันเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ตั้งตนเป็นศัตรูกัน?” ฉือชั่นแค่นเสียงพูด “เซ่าหมิงยวน เจ้าเป็นคนเริ่มก่อนชัดๆ วันนั้นเจ้าพูดไว้ว่าอย่างไร”
พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ “หากเจ้าลืมไปแล้ว ข้าจะเตือนความจำเจ้าเอง เจ้าพูดว่าเจ้าไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูหลี บอกให้ข้าสบายใจได้ หรือว่าตอนนั้นข้าหูแว่วไปเอง”
“เจ้าฟังไม่ผิด ข้าเคยพูดเช่นนี้”
พอได้ยินเขากล่าวคำนี้ ฉือชั่นเปล่งเสียงหัวร่อลั่น เป็นเสียงหัวเราะแฝงความโกรธเกรี้ยวที่สะกดเก็บไว้ไม่อยู่ เขาตบโต๊ะสุดแรง “แล้วตอนนี้เล่า เจ้ากลับไปสารภาพรักกับหลีซานลับหลัง มารดามันเถอะ! เซ่าหมิงยวน ถ้าเจ้าชมชอบหลีซานก็บอกมาตามตรง ข้าไม่ตำหนิโทษเจ้า หญิงในดวงใจส่วนหญิงในดวงใจ พี่น้องส่วนพี่น้อง แต่เจ้าทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร พูดให้ข้าตายใจ หลอกข้าเหมือนคนโง่งม?”
เขาพูดถึงตอนท้ายแล้วเริ่มพูดต่อไปไม่ได้ เอามือเกาะขอบโต๊ะหายใจเข้าออกแรงๆ ใบหน้าเป็นสีแดงจัดด้วยแรงโทสะ
“สือซี ในใจเจ้า ข้าเป็นคนพรรค์นี้หรือ”
“แรกเริ่มเดิมทีในใจข้า เจ้าไม่ใช่ แต่จากการกระทำของเจ้าตอนนี้คือใช่” ชะรอยว่าได้ชกต่อยกันสาแก่ใจแล้ว ถึงแม้ฉือชั่นจะเดือดดาลดุจเก่า แต่พูดคุยกันอย่างมีสติได้แล้ว
“เซ่าถิงเฉวียน ข้าทรมานใจมาก ตอนได้ยินเสียงเจ้าตอบเฉินกวงว่า ‘อื้อ’ ข้าอยากเอามีดแทงตนเองให้สิ้นเรื่องสิ้นราวใจจะขาด” ฉือชั่นยิ้มอย่างวังเวงใจ “เพราะแทงตนเองยังเจ็บไม่เท่าโดนเจ้าแทง…”
เขายกสองมือขึ้นแล้วค่อยๆ ซุกหน้าลงกับฝ่ามือ
ที่เขาเสียใจมิใช่เพราะสหายรักชมชอบสตรีคนเดียวกัน แต่เป็นการกระทำของคนที่ผูกพันกันดุจพี่น้อง
นี่ต่างอันใดกับแทงข้างหลัง
“เซ่าหมิงยวน เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากสงบสติอารมณ์”
เซ่าหมิงยวนนั่งนิ่งไม่ขยับ
“เจ้าออกไปเสีย!” ฉือชั่นยกเท้าเตะม้านั่งทรงกลมใกล้ๆ ล้มลง ไฟโทสะในดวงตาลุกโชน
เซ่าหมิงยวนโน้มตัวไปจับม้านั่งที่หมุนกลิ้งอยู่วางตั้งขึ้น เขามองสบตาฉือชั่นตรงๆ “สือซี สงบสติอารมณ์ไม่ช่วยให้สะสางปัญหาได้”