หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 385
บทที่ 385
หลังเดินทางทางน้ำไปได้สิบกว่าวัน กลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วงค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อย ลำน้ำเป็นสีครามเข้ม เรือลำใหญ่ก็หยุดจอดที่ท่าเรือจยาเฟิงในที่สุด
เฉียวเจายืนอยู่ตรงหัวเรือทอดสายตามองตัวเมืองจยาเฟิงในม่านหมอกยามเช้าด้วยจิตใจที่สับสนปนเปเป็นพิเศษ
“เจาเจา ลงเรือเถอะ” เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ข้างกายนาง เอ่ยเตือนนางเสียงเบา
นางหลุดจากภวังค์หันไปพยักหน้ากับเขา “อื้อ”
จยาเฟิง ข้ากลับมาแล้ว
“ต้องไปบอกกล่าวที่ที่ว่าการทางนี้สักหน่อยหรือไม่” หยางโฮ่วเฉิงเดินมาหารือกับเซ่าหมิงยวน
“ไม่ต้อง ไปตั้งหลักที่เรือนสกุลเฉียวที่สวนซิ่งจื่อก่อนค่อยว่ากันอีกที” เขากวาดสายตามององครักษ์จินอู๋ข้างหลังสหายรักแวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบาๆ “พวกเขา…”
พวกหยางโฮ่วเฉิงติดตามมาเพราะมีหน้าที่คุ้มครองเฉียวเจาไปทะเลแดนใต้ ฉะนั้นหยุดแวะกลางทางอาจสร้างความไม่พอใจให้กับคนเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้
หยางโฮ่วเฉิงฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าวางใจได้ คนพวกนี้ล้วนเป็นคนที่ข้าคัดเลือกเอง เชื่อใจได้ อีกประการหนึ่งข้ากับสือซีเป็นคนโปรดของไทเฮาไม่น้อยหน้าองค์หญิงเก้านะ ต่อให้รู้ถึงพระเนตรพระกรรณ อย่างมากก็ทรงดุพวกข้าว่ารักสนุก ไม่ทรงตำหนิโทษหรอก สือซี เจ้าว่าถูกหรือไม่”
ฉือชั่นยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาพยักหน้าเบาๆ คราหนึ่งถึงพูดด้วยน้ำเสียงแกมหงุดหงิด “ไปเถอะ มัวยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุใดกัน”
คนกลุ่มนี้เพิ่งเดินออกไป บุรุษหน้าตาดาษดื่นผู้หนึ่งก็ไปรายงานที่ที่พำนักขององครักษ์จินหลิน “ท่านห้า ขบวนของคุณหนูหลีลงเรือที่ท่าเรือจยาเฟิงของเราขอรับ”
ชายหนุ่มซึ่งนั่งบนเก้าอี้เอนผู้หนึ่งมีหนังสือปิดหน้าอยู่ เขาได้ยินคำนี้ก็หยิบหนังสือออกเผยรูปโฉมให้เห็น
นี่เป็นใบหน้าที่มีเอกลักษณ์น่าจดจำอย่างมาก ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย หน้าเข้มตาคม ยามเขาลืมตาขึ้นมองกลับละม้ายถูกอสรพิษจับจ้องชวนให้ขนลุกขนพองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
สุ้มเสียงของเขาฟังดูเฉยชาเลือดเย็นเฉกเดียวกับรูปลักษณ์ “ลงเรือที่จยาเฟิงหรือ คิดจะทำอะไรกัน ไปสืบดูสิว่าคนพวกนั้นลงเรือชั่วคราวหรือว่ามีแผนการอย่างอื่น”
“ขอรับ”
พอผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้ว เจียงอู่ลุกขึ้นย่ำเท้าวนไปวนมาตามสบายอยู่ในลานเรือน
มาตรว่ากององครักษ์จินหลินจะฉับไวด้านการข่าว แต่มิได้หูตากว้างขวางถึงขั้นล่วงรู้ว่าคนทุกคนที่มาจยาเฟิงเป็นใครมาจากที่ใด เหตุผลที่สนใจคุณหนูหลีเป็นพิเศษเพราะทางเมืองหลวงสั่งกำชับไว้
เท่าที่เขารู้ เมืองใดก็ตามซึ่งมีที่ตั้งของกององครักษ์จินหลินล้วนได้รับข่าวให้เฝ้าดูกลุ่มของคุณหนูหลีอย่างใกล้ชิด
ต้นไม้ในลานเรือนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน ทิ้งใบร่วงหล่นปกคลุมพื้นศิลาเขียวชั้นหนึ่งดั่งพรมสีทองผืนบาง เจียงอู่ย่ำเท้าไปบนนั้นจมอยู่ในภวังค์ความคิด
เหตุใดท่านพ่อบุญธรรมถึงสนใจเด็กสาวผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ เรื่องนี้น่าฉงนสงสัยจริงๆ
ไม่รู้ว่าเจียงอู่คิดไปถึงอะไร เขาเตะลำต้นของต้นไม้ด้านข้างสุดแรงจนใบไม้ร่วงกราว ก่อนจะยกมือปัดเศษใบไม้แห้งบนไหล่ออกก่อนจะสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าเรือนไป
ภายในห้องหนังสือเงียบเชียบ เจียงอู่ค้นหาพื้นรองเท้าฝีตะเข็บถี่ยิบคู่หนึ่งจากช่องลับมาลูบไล้เบาๆ เป็นเวลานานถึงเก็บกลับเข้าที่ดังเดิม
สวนซิ่งจื่อไม่ได้อยู่ในตัวเมืองจยาเฟิง กลุ่มของเฉียวเจาจึงมุ่งหน้าไปทางชานเมือง
เฉียวเจากับปิงลวี่และอาจูนั่งอยู่บนรถม้าที่ซื้อมาแบบเฉพาะหน้า ส่วนพวกเซ่าหมิงยวนขี่ม้าอยู่สองข้างของรถม้า
“พวกเรามีคนมากถึงเพียงนี้ ทันทีที่ลงเรือคงจะถูกพวกองครักษ์จินหลินจับตาดูแล้ว” หยางโฮ่วเฉิงเหลียวมองด้านหลังแล้วพูดรำพึงขึ้น
เมื่อหลายเดือนก่อนตอนเดินทางจากจยาเฟิงกลับเมืองหลวง เขายังลืมไม่ลงว่าเห็นเงาของเจียงหย่วนเฉาเป็นระยะตลอดทาง
“ปล่อยให้พวกเขาจับตาดูไปสิ” ฉือชั่นกล่าวอย่างเฉื่อยชา
นับแต่เฉียวเจามอบยาขี้ผึ้งตลับนั้นให้เซ่าหมิงยวน ท่าทางของเขาก็กลับเป็นปกติดูเหมือนตัดใจได้แล้ว
“แค่กลัวว่าพวกเขาจะส่งข่าวที่พวกเรารั้งอยู่ในจยาเฟิงกลับไปน่ะสิ”
ฉือชั่นหัวร่ออย่างไม่เอาใจใส่ “วางใจได้ ถึงส่งข่าวกลับไปก็มีแต่ส่งไปให้ทางเจียงถัง เรื่องพรรค์นี้เขาไม่มีทางไปกวนพระทัยฮ่องเต้หรอก”
“จริงของเจ้า” หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้า เขาเบือนหน้าไปถามเซ่าหมิงยวน “ถิงเฉวียน ไฉนเจ้าไม่พูดไม่จา”
เซ่าหมิงยวนดึงสายตาคืนมาจากรถม้า “หือ?”
หยางโฮ่วเฉิงกุมขมับพลางบ่นอุบอิบ “ข้าล่ะนับถือเจ้าจริงๆ”
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าสหายรักที่รู้จักแต่การรบทัพจับศึกมาเนิ่นนาน พอตกหลุมรักสตรีนางหนึ่งจะหลงหัวปักหัวปำจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว
เมื่อคิดไปเช่นนี้หยางโฮ่วเฉิงก็แอบมองฉือชั่น พอเห็นเขามีสีหน้าเฉยเมยถึงได้โล่งอกไปที
ยังดีที่สือซีน่าจะตัดใจได้แล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงปวดเศียรเวียนเกล้าน่าดู
จะว่าไปแล้ว เพราะอะไรพวกเขาแต่ละคนถึงพากันต้องใจแม่นางน้อยที่ยังไม่ปักปิ่นผู้หนึ่งด้วยนะ
โชคดีที่ข้ากับจื่อเจ๋อยังปกติดี หาไม่แล้วข้าคงต้องเริ่มสับสนงุนงงกับชีวิตเสียแล้ว
“ผ่านหมู่บ้านข้างหน้าไปก็เป็นสวนซิ่งจื่อแล้วกระมัง” เซ่าหมิงยวนดึงสายบังเหียนพลางทอดสายตามองไป
“ใช่ นั่นคือหมู่บ้านไป๋อวิ๋น พวกข้ายังเคยดื่มชาในเรือนผู้ใหญ่บ้านเลย” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
เซ่าหมิงยวนใคร่ครวญแล้วขอความเห็นจากพวกเขา “พวกเราขออาศัยพักแรมในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นเป็นอย่างไร”
ฉือชั่นอดคิดไปถึงน้ำชาชั้นเลวรสชาติขมปากในเรือนผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวแต่ยังพยักหน้า “ตามใจเถอะ”
หมู่บ้านไป๋อวิ๋นในยามบ่ายเงียบสงบ สุนัขหลายตัวนอนหมอบกับพื้นอย่างเกียจคร้าน เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ลุกขึ้นยืนอย่างระแวดระวังภัย หนังที่หย่อนยานของมันสั่นกระเพื่อมขณะวิ่งไปหยุดตรงหน้าพวกเขา
พอมีกลุ่มคนเข้ามาใกล้ สุนัขตัวหนึ่งเห่าออกมากะทันหัน ต่อจากนั้นเสียงเห่าหอนก็ดังระงมเป็นทอดๆ
ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงดังเอะอะพลันขยี้ตาเปิดประตูออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นพวกเซ่าหมิงยวนขี่ม้าตัวสูงใหญ่ก็งุนงงไป จากนั้นเดินลิ่วๆ เข้าไปถามเลียบเคียง “นี่ทุกท่านมาจากที่ใด มาตามหาคนที่หมู่บ้านพวกข้าหรือ”
เซ่าหมิงยวนพลิกกายลงจากหลังม้าถือสายบังเหียนไว้ เขากล่าวอย่างสุภาพมีมารยาท “ท่านอา พวกข้ามาหาผู้ใหญ่บ้าน”
ชาวบ้านมองสำรวจชายหนุ่มซ้ำๆ ค่อยชายตาดูพวกฉือชั่นอย่างฉับไว ถึงพยักหน้าเอ่ยขึ้น “พวกท่านรอสักครู่”
คนพวกนี้ดูท่าทางสูงศักดิ์น่าเกรงขาม มองปราดเดียวก็รู้ว่าตอแยไม่ได้ จึงต้องให้ผู้ใหญ่บ้านตัดสินใจเป็นธรรมดา
ชาวบ้านวิ่งไปแจ้งข่าวผู้ใหญ่บ้านแล้ว ฉือชั่นลงจากหลังม้าชี้ไปที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งมีอาณาบริเวณค่อนข้างใหญ่ไม่ไกลนัก บอกกับเซ่าหมิงยวน “ตรงนั้นคือเรือนของผู้ใหญ่บ้าน”
“คราวก่อนพวกเจ้ามาด้วยกันกระมัง” เซ่าหมิงยวนถาม
“ใช่” ฉือชั่นหันหน้าไปมองรถม้าที่หยุดจอดอยู่แวบหนึ่ง พูดเสียงราบเรียบ “หลีซานก็อยู่ด้วย ตอนนั้นข้าพานางมาที่นี่ แต่ไม่ได้พักแรม”
เขานิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะ “เจ้าวางใจได้”
เซ่าหมิงยวนลอบถอนใจ เขากล่าวเสียงเบาๆ “ข้าอยากถามว่าตอนนั้นในหมู่บ้านมีอะไรผิดสังเกตหรือไม่”
ฉือชั่นถึงรู้ว่าตนเข้าใจผิดไป เขากระตุกมุมปาก “เงียบมาก แต่ไม่ใช่เงียบแบบสงบสุขอย่างนั้นนะ มันเงียบเหมือนป่าช้า ตอนหลังถึงได้รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรือนสกุลเฉียวถูกไฟไหม้วอดวาย”
“อย่างนี้ก็แสดงว่าครอบครัวท่านพ่อตาข้ามีอำนาจกับคนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นมากพอดู” เซ่าหมิงยวนพูดพึมพำ
ฉือชั่นแค่นหัวร่อ “ถิงเฉวียน วันหน้าอยู่ต่อหน้าหลีซาน เจ้าก็จะเรียกว่าครอบครัวท่านพ่อตาไม่หยุดปากหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนไอเบาๆ เสียงหนึ่ง “นี่เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว”
ฉือชั่นขยับเข้าไปกระซิบข้างหูเขา “บอกตามตรง ข้ารู้สึกว่าหลีซานอยู่กับเจ้าต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาการ เด็กสาวดีๆ กลับต้องมาเป็นภรรยาใหม่ของเจ้า” แต่ใครใช้ให้หลีซานชมชอบเจ้าเล่า
เขามองได้ปรุโปร่งว่าหลีซานไม่ใส่ใจกับชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านี้ เขาทำได้เพียงกวนโทโสสหายรัก ระบายความคับแค้นในอกบ้างก็เท่านั้น