หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 386
บทที่ 386
คำพูดของฉือชั่นทำให้เซ่าหมิงยวนกระอักกระอ่วนเป็นอันมาก เขาอดชำเลืองมองไปทางรถม้าที่จอดนิ่งสนิทอยู่ไม่ไกลไม่ได้
เขารู้สึกเช่นกันว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่สักหน่อย หรือว่าน่าจะหาเวลาสักวันถกปัญหานี้กับเจาเจา
แม่ทัพหนุ่มตรึกตรองเช่นนี้แล้วเฉลียวใจได้จึงรีบปัดความคิดทิ้งไป
ไม่ได้ ถ้าเกิดถึงตอนนั้นเจาเจายกเหตุผลนี้ตัดรอนเขา เขาต่างหากต้องเป็นฝ่ายที่อยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
ยามนี้เองผู้ใหญ่บ้านเดินกระหืดกระหอบมา “แขกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางไกลมาถึงที่นี่…เอ๊ะ ท่านคือคุณชายที่เคยมาเยือนเมื่อหลายเดือนก่อนท่านนั้นกระมัง”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็จำหน้าฉือชั่นได้
เหตุผลมิใช่อื่นใด บุรุษผู้มีรูปโฉมโดดเด่นสะดุดตาถึงขั้นชายหนุ่มเบื้องหน้านี้ เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต
ฉือชั่นผงกศีรษะน้อยๆ “ผู้ใหญ่บ้านมีความจำดียิ่ง”
ผู้ใหญ่บ้านกวาดตามองไปข้างหลังเขาแวบหนึ่ง ชายหนุ่มท่าทางสง่าผึ่งผายสิบกว่าคนทำให้เขาตื่นตระหนกไม่น้อย
“คุณชายมาเยือนครานี้ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านจำได้แม่นยำว่าบรรดาพวกชายหนุ่มซึ่งมาที่นี่เมื่อหลายเดือนก่อน คลับคล้ายว่าจะยกให้ชายหนุ่มที่รูปงามโดดเด่นกว่าใครผู้นี้เป็นหัวหน้ากลุ่ม
ฉือชั่นชี้ไปที่เซ่าหมิงยวน “สหายผู้นี้ของข้ามาที่นี่เพื่อเซ่นไหว้ชาวสกุลเฉียว”
ผู้ใหญ่บ้านมองสำรวจเขาทันควัน
ชายหนุ่มผู้นี้มีเรือนกายสูงใหญ่ ยืนตัวตรงสง่างามดุจต้นไผ่ ดูท่าทางเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่สุภาพนุ่มนวลดุจหยก กระนั้นบารมีที่แผ่ออกมาโดยไม่ตั้งใจกลับชวนให้เกรงขามจนไม่อาจมองข้ามได้
เซ่าหมิงยวนค้อมศีรษะกับผู้ใหญ่บ้านเป็นเชิงทักทาย “ข้าเป็นบุตรเขยของสกุลเฉียว”
ผู้ใหญ่บ้านตกใจยกใหญ่ “คุณหนูรองสกุลเฉียวยังไม่ย่างสิบขวบกระมัง นางออกเรือนแล้วหรือ”
เซ่าหมิงยวนพูดอะไรไม่ออก “…”
เขาเบนหน้ามองไปทางรถม้า ม่านหน้าต่างรถม้าเลิกขึ้นพอดี เด็กสาวด้านในมองมาด้วยสายตาเรียบเฉย
เซ่าหมิงยวนชักร้อนตัวอย่างไร้สาเหตุ เขารีบส่งยิ้มให้เฉียวเจา
เด็กสาวปล่อยม่านรถม้าลงทันที
เซ่าหมิงยวนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะ
เจาเจาได้ยินคำพูดของผู้ใหญ่บ้าน นางคงจะโกรธแล้ว?
“แค่กๆ” หยางโฮ่วเฉิงส่งเสียงไอ “ผู้ใหญ่บ้านเลอะเลือนไปแล้วหรือ เด็กหญิงวัยเจ็ดแปดขวบจะออกเรือนได้อย่างไร เขาเป็นสามีของคุณหนูใหญ่สกุลเฉียว”
“สามีของคุณหนูใหญ่สกุลเฉียว?” ผู้ใหญ่บ้านอึ้งงันไปก่อนจะตัวเซวูบหนึ่ง เขาชี้เซ่าหมิงยวนพลางพูดเสียงหลง “ท่านคือแม่ทัพเป่ยเจิงกวนจวินโหว?”
คุณหนูใหญ่สกุลเฉียวแต่งงานกับแม่ทัพเป่ยเจิงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลที่สุดของต้าเหลียงเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นไม่ล่วงรู้
ตอนต้นปีเรือนสกุลเฉียวประสบเหตุไฟไหม้ใหญ่ คนมากมายในหมู่บ้านยังเคยรำพึงรำพันกันว่าท่านเขยของสกุลเฉียวจะเหลียวแลลูกกำพร้าทายาทสกุลเฉียวที่เหลืออยู่หรือไม่
ต่อมาก็มีข่าวแพร่มาว่าแม่ทัพเป่ยเจิงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหวและคุณหนูใหญ่สกุลเฉียวสิ้นชีพที่แดนเหนือ ชาวบ้านก็หลงเหลือเพียงความสงสารต่อคุณชายสกุลเฉียวแล้ว
“ข้าเอง”
เสียงตอบของเซ่าหมิงยวนดึงสติของผู้ใหญ่บ้านคืนมา เขาเร่งรีบลดมือลง กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น “หากทุกท่านไม่รังเกียจ ไปดื่มน้ำชาสักถ้วยที่เรือนข้าก่อน”
“เช่นนี้ก็ขอขอบคุณผู้ใหญ่บ้านอย่างมาก”
“ท่านโหวเกรงใจไปแล้วขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวประโยคนี้แล้วรู้สึกราวกับฝันไป
แม่ทัพเป่ยเจิงผู้โด่งดังลือลั่น แม่ทัพเป่ยเจิงที่เล่นงานชาวต๋าจื่อแห่งเป่ยฉีจนพ่ายแพ้ย่อยยับ ใครเล่าจะคาดถึงว่ายังหนุ่มแน่นหล่อเหลาและสุภาพมีมารยาทถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่ไม่นึกไม่ฝันเลยทีเดียว
สวรรค์ ข้าคือคนที่เคยได้รับรองกวนจวินโหวเช่นกัน!
เมื่อคนทั้งกลุ่มก้าวเข้าประตูใหญ่ของเรือนผู้ใหญ่บ้าน มีชาวบ้านนับไม่ถ้วนชะโงกศีรษะออกมา บ้างก็มาเกาะประตูหน้าเรือนถามไถ่เป็นระยะ “ผู้ใหญ่บ้าน เรือนท่านมีม้านั่งพอหรือยัง”
“ผู้ใหญ่บ้าน เรือนท่านมีถ้วยน้ำชาพอหรือยัง”
“ผู้ใหญ่บ้าน เรือนท่านมีจานชามกับตะเกียบพอหรือยัง”
“ผู้ใหญ่บ้าน เรือนท่านมีคนกินข้าวพอหรือยัง”
ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี
นี่มันคำถามไร้สาระอะไร!
“พอหมดทุกอย่าง พวกเจ้ารีบกลับเรือนไปเสีย ตอนเที่ยงวันไม่หลับไม่นอนมามุงดูอะไรกัน” ผู้ใหญ่บ้านโบกมือไล่ จากนั้นปิดประตูเรือนดังปังอย่างไม่ไว้หน้า
“ทำให้แขกผู้ทรงเกียรติทุกท่านหัวเราะเยาะแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขาเชิญพวกเซ่าหมิงยวนเข้าไปในโถงเรือน
ชายหนุ่มพูดตรงเข้าเรื่อง “ผู้ใหญ่บ้าน พวกข้ามาคราวนี้จะพำนักอยู่เป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่ทราบว่าในหมู่บ้านมีเรือนว่างๆ ให้พวกข้าพักแรมหรือไม่”
“เรือนว่างน่ะมี แค่ว่าโกโรโกโสไปหน่อย มีหลังหนึ่งไม่เลวนัก แต่ว่า…” ผู้ใหญ่บ้านทำท่าอึกๆ อักๆ
“ผู้ใหญ่บ้านมีอะไรก็ว่ามาตามตรงได้เลย”
“เป็นเรือนตรงท้ายหมู่บ้านหลังนั้น เดิมทีเป็นของหญิงขายเต้าหู้ เรือนของนางเพิ่งซ่อมแซมใหม่ไปเมื่อสองปีที่แล้ว แต่เรือนหลังนั้นมีผีสิง เพราะว่าตอนต้นปีหญิงขายเต้าหู้ตายในโอ่งน้ำในลานเรือนตนเอง”
ต้นปี?
ทันทีที่ได้ยินช่วงเวลาที่ตาย เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาได้แต่มองหน้ากันไปมา
ตอนนี้เองผู้ใหญ่บ้านเพิ่งสังเกตเห็นเฉียวเจาซึ่งนั่งเงียบๆ อยู่ข้างหลังคนอื่นมาโดยตลอด ดวงตาเขาเปล่งประกายวูบหนึ่ง
นี่มิใช่แม่นางน้อยที่เคยมาพร้อมกับคุณชายรูปงามที่สุดท่านนั้นเมื่อตอนต้นปีหรอกหรือ ไฉนนางมาอีกแล้ว
เฉียวเจารู้สึกสะดุดใจ แต่เห็นผู้ใหญ่บ้านมองมาอย่างพินิจ นางหลุบเปลือกตาลง
ท้ายหมู่บ้านเป็นจุดที่ใกล้กับสวนซิ่งจื่อมากที่สุด การตายของหญิงขายเต้าหู้ผู้นั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวที่ยังไม่มีใครล่วงรู้หรือไม่
นางคิดจะถาม เซ่าหมิงยวนก็เอ่ยปากขึ้น “หญิงขายเต้าหู้คนที่ผู้ใหญ่บ้านกล่าวถึงจบชีวิตเมื่อไรขอรับ”
ผู้ใหญ่บ้านทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก “เรื่องนี้ข้าจำได้แม่นยำ เป็นวันที่ยี่สิบหกเดือนสองของปีนี้”
“ท่านจดจำเรื่องต่างๆ ของคนในหมู่บ้านได้แม่นยำถึงเพียงนี้เลยหรือ” ฉือชั่นถามเสียงเอื่อยๆ
ผู้ใหญ่บ้านถอนใจเฮือกหนึ่ง “เรื่องอื่นอาจจะจำได้ไม่แม่นยำเท่านี้ แต่หญิงขายเต้าหู้ตายวันใดนั้น อย่าว่าแต่ข้า คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครจำไม่ได้หรอก”
เขาพูดพร้อมกับกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่งก่อนหยุดสายตาที่ใบหน้าของเซ่าหมิงยวน กล่าวอย่างทอดถอนใจ “เพราะเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวก็เกิดขึ้นในวันนั้นน่ะสิ”
เป็นเช่นนี้ดังคาด!
แผ่นหลังของเฉียวเจาแข็งเกร็ง นางเม้มปากแน่นสนิท ขณะที่ความคิดจิตใจกำลังปั่นป่วนวุ่นวาย ก็มีฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งแอบกุมมือนางไว้กะทันหัน
หญิงสาวตกใจยกหนึ่ง โชคดีว่านางเป็นคนเยือกเย็นถึงไม่แสดงออกมาทางสีหน้า นางไม่ต้องมองไปก็รู้ว่ามือข้างนั้นเป็นของใคร
นางไม่อยากรู้สึกได้เฉียบไวอย่างนี้เหมือนกัน จนใจที่พักนี้ถูกฝ่ามือข้างนั้นกุมมือบ่อยๆ เป็นเหตุให้นางคุ้นเคยเหลือเกิน
เจ้าคนบ้าเซ่าหมิงยวน ถึงกับบังอาจกุมมือข้าต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้!
เฉียวเจาลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทว่าไม่กล้าขยับยุกยิก จำต้องปล่อยให้ฝ่ามือแห้งกร้านที่เย็นน้อยๆ ข้างนั้นกุมมือตนไว้แนบแน่น
ดีที่นางนั่งอยู่ด้านหลังเขาแต่แรก ถึงแม้พฤติกรรมของคนบางคนจะใจกล้าบ้าบิ่น แต่มีโต๊ะสี่เหลี่ยมกับแขนเสื้อหลวมกว้างปิดบังไว้จึงไม่ถึงกับโดนคนจับได้
เฉียวเจาขุ่นเคืองใจ ขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ตอนนี้ไม่ขออย่างอื่น ขอแค่อย่าให้คนอื่นจับได้!
แม่นางเฉียวคาดไม่ถึงว่าเพราะตนเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ เพราะกลัวคนจับได้ ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นกลับเริ่มอยู่ไม่สุข จับมือนางแบออกเบาๆ ใช้นิ้วมือเรียวยาวลากไล้ไปมากลางอุ้งมือทีแล้วทีเล่า
เฉียวเจารู้สึกจั๊กจี้ตรงอุ้งมือเลยจะหุบนิ้วเข้าหากันตามสัญชาตญาณ แต่แล้วกลับชะงักนิ่ง
เซ่าหมิงยวนกำลังเขียนตัวอักษรบนฝ่ามือนาง
นางหลับตาลงเบาๆ ใช้ประสาทสัมผัสจับทิศทางการลากเส้น
เขาเขียนประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตลอดไป’
ทั้งที่เป็นถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ทว่าในช่วงเวลาที่ไม่ปกตินี้ พลันมีกระแสไออุ่นไหลรินผ่านกลางใจเฉียวเจาช้าๆ
ในระหว่างที่เคราะห์ภัยมาเยือน บิดามารดาและญาติพี่น้องของนางจะเคยคิดถึงนางหรือไม่ หรือเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าเซ่าหมิงยวนอยู่ด้วยก็จะไม่พบกับจุดจบอย่างนั้น
เซ่าหมิงยวน หากว่าตอนนั้นมีท่านอยู่ด้วยก็คงดี
เพียงน่าเสียดายที่…
อุ้งมือของเฉียวเจาเย็นเยียบขึ้นทีละน้อย นางลอบถอนใจ