หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 387
บทที่ 387
เซ่าหมิงยวนคล้ายรับรู้ได้ เขากุมมือนางแน่นๆ ทีหนึ่งแล้วปล่อยออก ก่อนจะเอ่ยถามผู้ใหญ่บ้านด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด “ผู้ใหญ่บ้านรู้หรือไม่ว่าหญิงขายเต้าหู้ตายก่อนหรือหลังเกิดเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว”
“เรื่องนี้…” ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า “เรื่องนี้ใครจะบอกได้แน่ชัดเล่า หญิงขายเต้าหู้มีบุตรชายคนหนึ่งเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาในเมือง ปกตินางจะอยู่คนเดียวเสมอ หลังทุกคนช่วยกันดับไฟที่เรือนสกุลเฉียวได้แล้วถึงพบว่านางตาย แต่ไม่รู้ว่าตายนานเพียงใดแล้วกันแน่”
“ปกติหญิงขายเต้าหู้เป็นคนอย่างไร” ฉือชั่นถามแทรกขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านมองฉือชั่นอย่างหลากใจ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ความหมายของคุณชายคือสงสัยว่าหญิงขายเต้าหู้โดนคนปองร้ายหรือ”
“ไม่มีทางเป็นเช่นนี้หรือ”
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้าถี่ๆ “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกขอรับ”
เขาหยิบบ้องยาสูบใกล้ๆ มือขึ้น เอ่ยถามพวกเซ่าหมิงยวน “สูบหรือไม่”
พวกเขาสั่นศีรษะ
ผู้ใหญ่บ้านจุดบ้องยาสูบ สูดควันเข้าปอดลึกๆ ทีหนึ่งแล้วพ่นออกมา เขากล่าวต่อท่ามกลางไอควันสีขาวอบอวล “หญิงขายเต้าหู้เป็นม่ายตั้งแต่วัยสาว ซ้ำยังโฉมงาม แต่เรื่องความประพฤติยังนับว่าซื่อตรงสุจริต ถึงแม้จะมีเสียงติฉินนินทาบ้างเพราะเป็นม่าย แต่จะบอกว่าโดนสังหารก็ออกจะเกินไป คนถิ่นเดียวกัน ใครจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้”
“แต่การตายในโอ่ง มันฟังดูเป็นเรื่องแปลกมากอยู่แล้ว…” หยางโฮ่วเฉิงอดพูดขึ้นไม่ได้
ผู้ใหญ่บ้านมองหยางโฮ่วเฉิงแวบหนึ่งก่อนหัวเราะ “ความจริงก็ไม่ได้น่าแปลกอันใด พวกคุณชายมาจากเมืองใหญ่ เกรงว่าไม่เคยเห็นโอ่งน้ำแบบที่ผู้คนในชนบทใช้กันกระมัง โอ่งน้ำนั่นสูงมากกว่าครึ่งตัวคน ถ้าน้ำในโอ่งเหลือน้อยแล้วก้มตัวไปตัก ถ้าไม่ระวังอาจจะหัวทิ่มลงไปได้”
“ก็พักที่นั่นเถอะ” เซ่าหมิงยวนกล่าวขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านนิ่งขึงไป หรือว่าเขาเปลืองน้ำลายพูดไปตั้งมากตั้งมายถึงเพียงนี้เสียเปล่าแล้ว
“ท่านโหว ข้าขอเตือนท่านไว้คำหนึ่ง นับแต่หญิงขายเต้าหู้ตายไป ในหมู่บ้านมีเสียงลือแว่วๆ ว่าที่นั่นมีผีนะขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านพูดพลางชำเลืองมองเฉียวเจา
“ไม่เป็นไร พวกข้าส่วนใหญ่เป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ ไม่กลัวเรื่องพรรค์นั้น” เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้ม เขาคล้ายนึกบางอย่างขึ้นได้ “จริงสิ ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าบุตรชายของหญิงขายเต้าหู้เล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาในเมือง แล้วปกติเขากลับมาอยู่บ้างหรือไม่ พวกข้าไปที่เรือนของเขาจะสะดวกหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านเอาบ้องยาสูบเคาะๆ กับขอบโต๊ะ เขาส่ายหน้าพร้อมกล่าว “ไม่ได้กลับมาอยู่ขอรับ เขาได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาจนเติบใหญ่ด้วยความเหนื่อยยากลำบาก จึงผูกพันรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง พอหญิงขายเต้าหู้ตายไปเช่นนี้ เด็กผู้นั้นเสียอกเสียใจจนล้มป่วย ในสำนักศึกษามีอาจารย์แซ่กัวผู้หนึ่งเป็นคนจิตใจดีและชอบส่งเสริมผู้มีความสามารถเลยรับเขาไปอาศัยอยู่ด้วยกัน”
เซ่าหมิงยวนยังถามชื่อบุตรชายของหญิงขายเต้าหู้ต่ออีก
“เขาชื่อซานจื่อ ถ้าแขกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายอยากพักอยู่ที่นั่นก็ไม่จำเป็นต้องบอกกับเขา แค่วางเงินทิ้งไว้ให้เล็กๆ น้อยๆ ก่อนจากไป ถือเสียว่าช่วยเด็กผู้นั้นอีกแรงหนึ่งก็ได้ขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวทอดถอนใจ
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว”
พวกเซ่าหมิงยวนบอกปัดไม่อยู่ร่วมกินอาหารตามคำเชิญชวน เพียงขอให้ผู้ใหญ่บ้านนำทางพวกเขาไปยังที่พักก่อน
คนทั้งกลุ่มเดินไปถึงท้ายหมู่บ้าน เห็นเรือนหลังหนึ่งแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว ไม่มีบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ผู้ใหญ่บ้านพาทุกคนเข้าประตู มีชาวบ้านที่ตามมามุงดูอยู่ด้านหลังพูดคุยกระซิบกระซาบกัน
“มีคนมาอยู่เรือนของหญิงขายเต้าหู้แล้วหรือ เมื่อไม่นานมานี้เอ้อร์หวาจื่อเดินผ่านตอนดึกยังได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากเรือนนางอยู่เลยนะ คนพวกนี้ไม่กลัวกันบ้างหรือ”
“พวกเขาจะกลัวอะไร ไม่ได้ยินรึ คนหนุ่มตัวโตสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาที่เดินนำหน้าผู้นั้นน่ะคือท่านเขยใหญ่ของสกุลเฉียว”
“ท่านเขยใหญ่ของสกุลเฉียว? ไม่เคยเห็นมาก่อนนะ”
“เจ้าต้องไม่เคยเห็นแน่นอน เขาน่ะเป็นถึงแม่ทัพเป่ยเจิง กวนจวินโหวผู้ทรงเกียรติ!”
“อา ตอนนี้นึกไม่ออกหรอก นั่นก็คือกวนจวินโหวเองหรือ คิดไม่ถึงว่าจะมีสองตาหนึ่งปากเหมือนคนธรรมดาเราๆ นี่เอง หน้าตาก็ดูสุภาพดี”
“สุภาพหรือไม่ เขาก็คือคนสำคัญที่ตีทัพชาวต๋าจื่อจนแตกพ่ายหนีกระเจิงไปได้ มิน่าถึงไม่กลัวผีหลอก ผียังไม่น่ากลัวเท่าพวกต๋าจื่อ”
เสียงซุบซิบของชาวบ้านมิได้สร้างความรำคาญใจให้พวกเซ่าหมิงยวนแม้แต่น้อยนิด กลับเป็นสภาพทรุดโทรมซอมซ่อภายในเรือนของหญิงขายเต้าหู้ที่ทำให้ไม่รู้จะวางเท้าลงตรงที่ใด
“ที่นี่ต้องปัดกวาดเช็ดถูกันยกใหญ่จริงๆ” หยางโฮ่วเฉิงสำรวจดูรอบๆ แล้วกล่าวอย่างอ่อนใจ
หนนี้เขาทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม จึงรีบบัญชาการให้พวกผู้ใต้อาณัติเก็บกวาดเรือน แต่เซ่าหมิงยวนห้ามไว้
“ฉงซาน ให้พวกเขาไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ประจำวันมาก่อน เรื่องปัดกวาดเรือนไว้ค่อยว่ากันภายหลัง”
“อ้อ ได้ๆ”
“ผู้ใหญ่บ้าน หญิงขายเต้าหู้ตายในโอ่งน้ำใบนั้นใช่หรือไม่” เซ่าหมิงยวนหันหน้าไปถามผู้ใหญ่บ้าน
“ไม่ผิด เป็นโอ่งน้ำใบนั้น”
“หลังจากนั้นมีคนย้ายที่โอ่งน้ำใบนั้นหรือไม่”
“ใครจะย้ายเล่า อัปมงคลปานใด”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “วันนี้รบกวนผู้ใหญ่บ้านเพียงเท่านี้ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ที่นี่รกรุงรัง รอพวกข้าเก็บกวาดเสร็จแล้วค่อยเชิญท่านมาดื่มสุรากัน”
“ได้ขอรับ ท่านโหวมีเรื่องใดสั่งกำชับได้เต็มที่ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
เรือนผีดุพรรค์นี้ หากมิใช่พวกกวนจวินโหวอยู่ที่นี่ เขาไม่แม้แต่คิดจะเฉียดกรายเข้ามาใกล้
พอผู้ใหญ่บ้านไปแล้ว เซ่าหมิงยวนก้าวขาเดินไปทางโอ่งน้ำซึ่งตั้งอยู่ตรงริมกำแพง
เฉียวเจาเห็นดังนั้นก็ตามไปด้วยเงียบๆ
ฉือชั่นมองคนทั้งคู่แวบหนึ่งแล้วเบนสายตาออก เขาเอ่ยกับหยางโฮ่วเฉิง “ในนี้รกจนไม่มีแม้แต่ที่จะเดินแล้ว พวกเราออกไปสูดอากาศข้างนอกกันเถอะ”
หยางโฮ่วเฉิงรีบพยักหน้า “ก็ดี”
แม้ว่าสือซีดูท่าทางปล่อยวางได้แล้ว แต่เห็นสตรีที่เคยชมชอบกับสหายรักไปที่ใดไปด้วยกันเหมือนเงาตามตัว คงจะทิ่มตำใจเป็นแน่
เซ่าหมิงยวนเดินไปถึงข้างโอ่งน้ำ กะประมาณความลึกของมันแล้วเบือนหน้ามาบอกกับเฉียวเจา “เจาเจา เจ้าหลบไปข้างหลัง”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร”
เซ่าหมิงยวนนิ่งคิดแล้วมิได้คะยั้นคะยอ ก็ยื่นมือไปเปิดฝาโอ่งน้ำออก
กลิ่นที่บรรยายไม่ถูกลอยมาปะทะหน้าระลอกหนึ่ง
นักชันสูตรเฉียนที่สนใจโอ่งน้ำมากสูดจมูกฟุดฟิดก่อนพยักหน้ากล่าวว่า “อื้อ เป็นกลิ่นศพ”
พอเห็นเขาทำสีหน้าดื่มด่ำแล้ว เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาสบตากันอย่างหมดคำพูด
รอจนกลิ่นนั้นจางลงบ้าง เซ่าหมิงยวนถึงก้มตัวยื่นศีรษะลงไปในโอ่ง
ในนั้นไม่มีน้ำมาเป็นเวลานานแล้ว กระทั่งตะไคร่น้ำที่เคยเกาะทั่วผนังโอ่งยังแห้งตายกลายเป็นสีเทาซีดๆ ส่วนก้นโอ่งมีรอยร้าวอยู่บ้าง ตรงจุดที่สูงจากก้นโอ่งสองฉื่อมีคราบเป็นเส้นรอบผนังโอ่งอย่างชัดเจน
เซ่าหมิงยวนล้วงมือลงไป ใช้ปลายเล็บขูดผนังโอ่งแรงๆ ทีหนึ่ง ทิ้งรอยขีดบางๆ เส้นหนึ่งไว้บนนั้น
เขาจ้องมองรอยขีดนั่น ประกายตาเข้มขึ้นทีละน้อย
เฉียวเจาสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ยกส้นเท้าขึ้นชะโงกหน้ามองลงไปในโอ่งบ้าง
คนตัวเล็กเตี้ยก็ไม่สะดวกเช่นนี้นี่เอง
ชายหนุ่มดึงตัวนางกลับมาทันใด
นางเงยหน้ามองเขาเงียบๆ
เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงนุ่ม “เจ้าอยากจะรู้อะไรถามข้าได้หมด โอ่งน้ำสูงถึงเพียงนี้ ส่วนเจ้าก็ตัวเตี้ย ยืนเขย่งปลายเท้ามองลงไปเช่นนั้น ถ้าเกิดพลัดตกลงไปจะทำฉันใดดีเล่า”
แม่นางเฉียวหน้าบึ้ง เขาถึงกับพูดว่านางตัวเตี้ยซึ่งๆ หน้าตามใจปากอย่างนี้เชียวรึ
หรือว่าเขาบรรลุกลเม็ดปากว่ามือถึงกับสตรีของพวกคนเจ้าชู้ประตูดินได้เองโดยไม่ต้องมีใครสั่งสอน แต่กลับไม่รู้เคล็ดการใช้คารมคำหวานเลยหรือ
เมื่อเห็นสีหน้าของสตรีอันเป็นที่รักขึงตึง แม่ทัพหนุ่มบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่ง เขาเอ่ยถามเสียงค่อยว่า “หรือไม่ข้าอุ้มเจ้าดูดีหรือไม่”
เฉียวเจาตวัดสายตามองนักชันสูตรที่อยู่ไม่ไกลนักก่อนพูดด้วยสีหน้าปึ่งชา “ท่านพูดมาเถอะว่าก้นโอ่งมีอะไรบ้าง”
บริเวณก้นโอ่งมืดสนิท นางตัวเตี้ยเลยมองเห็นไม่ถนัดตาสักนิด
“ไม่มีอะไรสักอย่าง ดังนั้นข้าคิดว่าการตายของหญิงขายเต้าหู้ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ”