หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 389
บทที่ 389
ลมบนภูเขาเริ่มพัดแรงขึ้น แผ่นหลังของเด็กสาวแลดูบอบบางเป็นพิเศษ
เซ่าหมิงยวนตบไหล่นางเบาๆ “เจาเจา ลงเขาก่อนเถอะ”
น้ำตาบนใบหน้าถูกลมพัดจนแห้งทำให้ผิวหน้าเจ็บๆ ตึงๆ เฉียวเจาเช็ดตาแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเงียบขรึม
ทุกคนเดินลงเขาท่ามกลางบรรยากาศแปลกชอบกล
อาณาบริเวณของเรือนสกุลเฉียวเหลือแต่ซากไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโก เฉียวเจามองดูนิ่งๆ ราวกับจะประทับภาพทั้งหมดนี้ลงกลางใจ
“เจาเจา กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ มีเรื่องใดค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้”
เฉียวเจาพยักหน้าตอบ
หลังกลับถึงเรือนของหญิงขายเต้าหู้ ปิงลวี่กับอาจูปรนนิบัตินางให้ล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์
ฉือชั่นยืนอยู่ในลานเรือนเตะต้นหญ้ารกที่ยังไม่ได้ถอนทิ้งไปเรื่อยเปื่อยพลางเอ่ยถามเสียงเนือยๆ “ถิงเฉวียน หลีซานมีความเกี่ยวข้องอะไรกับสกุลเฉียวกันแน่”
เซ่าหมิงยวนทำไขสือ “หือ?”
ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง “ตอนอยู่บนเขาท่าทางของหลีซานแปลกไปอยู่บ้าง หรือเจ้าไม่ได้สังเกต”
“เจาเจาเคยบอกข้าว่านางฝึกคัดลายมือตามภาพอักษรของอาจารย์เฉียวตั้งแต่เด็ก แม้ว่าไม่มีโอกาสได้พบกัน แต่นางเลื่อมใสบูชาท่านมาเนิ่นนาน อีกทั้งพี่เฉียวโม่ไหว้วานให้นางเซ่นไหว้คนในครอบครัวแทน ข้าคิดว่านางคงรู้สึกสะเทือนใจกระมัง”
“นางบอกเจ้ากระทั่งเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า
ฉือชั่นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาพูดพึมพำ “แต่ตอนอยู่บนเขาเมื่อครู่นี้ ดูท่าทางของนางแล้วเหมือนกับว่า…”
ประโยคหลังไม่เป็นมงคลอยู่สักหน่อย เขาเลยกลืนกลับลงคอไปเงียบๆ
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “จิตใจของสตรีละเอียดอ่อน อารมณ์อ่อนไหวง่าย ย่อมต่างจากพวกเรา”
ไม่ว่าอย่างไรจะให้คนรู้เรื่องที่เจาเจายืมศพคืนวิญญาณไปมากกว่านี้อีกไม่ได้
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนับถือลัทธิเต๋า ฝักใฝ่แสวงหาชีวิตอมตะ หากรู้เรื่องของเจาเจา เขาไม่กล้านึกภาพว่านางจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นไร
ฉือชั่นเหล่มองสหายรัก เขานึกในใจว่า หลีซานน่ะหรืออารมณ์อ่อนไหวง่าย เหตุผลนี้ออกจะไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว ช่างเถอะ เป็นข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเอง
หยางโฮ่วเฉิงเห็นบรรยากาศอึดอัด เขาจึงเอ่ยปากขึ้น “ถิงเฉวียน เจ้าเชิญนักชันสูตรเฉียนมาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“แน่นอนว่าจะเปิดโลงพลิกศพ ยืนยันสาเหตุการตายของชาวสกุลเฉียว” เซ่าหมิงยวนบอกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้าง “จะเปิดโลงพลิกศพจริงๆ รึ นี่จะไม่ผิดจารีตไปบ้างหรือไร”
ฉือชั่นกลับไม่ใส่ใจในจุดนี้ ไพล่ไปถามอีกปัญหาหนึ่ง “เรื่องนี้เฉียวโม่ยินยอมแล้วหรือ”
คนยุคนี้ถือธรรมเนียมฝังศพให้ผู้ล่วงลับไปสู่สุคติ การรบกวนดวงวิญญาณบรรพบุรุษเป็นสิ่งที่บรรดาบุตรหลานผู้กตัญญูมากมายไม่อาจยอมรับได้
เขาเข้าใจถึงความปรารถนาดีต่อสกุลเฉียวของเซ่าหมิงยวนได้ แต่ไม่อยากให้สหายรักต้องลงเอยด้วยการถูกใครต่อใครประณามด่าทอ
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “พี่เฉียวโม่รู้แล้ว”
“ถ้าสืบได้กระจ่างว่าชาวสกุลเฉียวมิใช่จบชีวิตในอุบัติเหตุเพลิงไหม้ เจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่สืบหาความจริงหรือ” ฉือชั่นถามต่อ
“อันนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว จะอย่างไรก็ปล่อยให้คนร้ายที่สังหารครอบครัวท่านพ่อตาลอยนวลอยู่เหนืออาญาบ้านเมืองมิได้”
“แล้วหลีซานล่ะ”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ย่อมต้องขึ้นอยู่กับว่าตัวนางตั้งใจไว้เช่นไร”
เวลานี้เองปิงลวี่วิ่งเหยาะๆ มา “แม่ทัพเซ่า คุณหนูของข้าเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับพวกฉือชั่น “ถ้าอย่างนั้นข้าไปหานางก่อนนะ”
เป็นนานครู่ใหญ่ฉือชั่นถึงดึงสายตาคืนจากทิศทางที่เซ่าหมิงยวนเดินแยกไป เขายิ้มเยาะตนเอง “ฉงซาน สงสัยว่าพวกเราต้องอยู่ในเรือนผีดุหลังนี้ไปอีกระยะหนึ่งแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงกะพริบตาปริบๆ “เจ้ารู้หรือว่าคุณหนูหลีเลือกที่จะรั้งอยู่ที่นี่?”
“ดูท่าทางโศกเศร้าของหลีซานตอนอยู่บนเขา เจ้านึกว่านางจะมุ่งหน้าลงใต้ต่อรึ” ฉือชั่นทอดสายตามองไปไกลๆ ด้วยสีหน้าชอบกล “จู่ๆ ข้าก็คิดว่าหลีซานเดินทางมาทิศใต้คราวนี้ การเสาะหาตัวยาให้องค์หญิงเก้าเป็นเรื่องรอง แต่ทวงความเป็นธรรมให้สกุลเฉียวต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริง”
หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้า “มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นพวกเราจะทำฉันใด”
ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะ “ทำฉันใดอะไรกัน พวกเราต้องคุ้มครองหลีซานไม่ใช่หรือ นางอยู่ที่ใดเราก็อยู่ที่นั่นเป็นธรรมดา อีกอย่างการสืบคดีน่าสนใจกว่าเสาะหาตัวยามากนัก”
ตอนนั้นถ้ามิใช่เพราะหลีซาน เรื่องอะไรเขาจะมาเป็นองครักษ์ของคนที่เสาะหาตัวยาให้องค์หญิงเก้า สมองของเขาไม่ได้ผิดปกติสักหน่อย
หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะแหะๆ “จริงของเจ้า ถึงอย่างไรได้ออกมาข้างนอกก็สนุกกว่าอยู่ในเมืองหลวงตั้งเยอะ หมู่บ้านไป๋อวิ๋นแห่งนี้มีทิวทัศน์ธรรมชาติงดงาม อยู่ที่นี่ก็ไม่เสียหาย ไปเถอะ ออกไปเดินดูทั่วๆ”
พวกเขาจึงก้าวออกนอกประตูไปด้วยกัน
ด้านเซ่าหมิงยวนไปถึงห้องของเฉียวเจาแล้ว นางโบกมือบอก ปิงลวี่กับอาจูก็ถอยออกไปอย่างหัวไว
“เจาเจา เจ้าอยากพบข้าหรือ” เซ่าหมิงยวนพินิจสีหน้าของเฉียวเจา เห็นดวงตาของนางแดงระเรื่อก็สงสารอยู่บ้าง
“จะเปิดโลงพลิกศพเมื่อไร” เฉียวเจาถามตรงเข้าเรื่องด้วยเสียงที่สั่นน้อยๆ
ตอนนี้นางพลันพบว่าหลังเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงแล้วทำให้นางสะดวกขึ้นไม่น้อย ถ้าหากนางยังคงเป็นหลีเจาในสายตาของเซ่าหมิงยวนแล้วจะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้เช่นไร และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะจับมือกับเขาสืบหาความจริงอย่างเปิดเผยได้
คงเป็นเพราะเหตุนี้เองกระมังพี่ใหญ่ถึงมอบถุงผ้าแพรใบนั้นให้เซ่าหมิงยวนลับหลังนาง
“ข้าคิดว่ายิ่งเร็วยิ่งดี เจาเจาเห็นเป็นเช่นไร”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน”
“อย่างนั้นพรุ่งนี้ดีหรือไม่”
เฉียวเจาตัวสั่นสะท้าน นางพยักหน้าเนิบๆ “ได้”
นางเปล่งเสียงตอบคำนี้แล้วนั่งนิ่งไม่ไหวติงดุจรูปปั้นราวกับใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดตัว
เซ่าหมิงยวนกุมมือนาง กล่าวเสียงนุ่มว่า “อย่าคิดมาก การรบกวนชั่วคราวในตอนนี้เพื่อให้ดวงวิญญาณพวกท่านได้เป็นสุขชั่วนิรันดร์ ถูกหรือไม่”
เฉียวเจาพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้”
ถึงแม้จะรู้ แต่เพียงแค่นึกถึงภาพที่จะเกิดขึ้นนั่นยังคงทำให้จิตใจนางแตกสลาย
“ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมอบให้เป็นหน้าที่ข้า…”
เฉียวเจาตัดบทเขา “ไม่ ข้าจะอยู่ที่นั่น”
“ได้ พวกเราไปด้วยกัน”
“แล้วก็…”
“แล้วก็อะไร”
เฉียวเจาปรายตามองชายหนุ่มพลางพูดเสียงเรียบ “เลิกกุมมือข้าเสียที หรือว่าแม่ทัพเซ่าอยู่ที่แดนเหนือเป็นเวลานาน จนลืมไปว่าหญิงชายไม่พึงใกล้ชิดกัน”
แม่ทัพหนุ่มตีหน้าซื่อ ลดสุ้มเสียงลงเอ่ยถาม “แต่เคยจูบไปแล้วจะทำอย่างไรดี”
สุ้มเสียงของเขาทุ้มลึกเสนาะหูละม้ายสายน้ำไหลเอื่อยๆ ซ้ำยังพูดจาเป็นเชิงหยอกเอินเช่นนี้ พาให้ดวงหน้าซีดขาวในตอนแรกของเด็กสาวซับสีแดงเรื่ออย่างรวดเร็ว
“เจาเจา รอเมื่อทวงความเป็นธรรมให้พวกท่านพ่อตาได้แล้ว พวกเราก็หมั้นหมายกันเถอะ”
“ข้าไม่มีความคิดจะหมั้นหมาย” เฉียวเจาพูดเรียบๆ
เซ่าหมิงยวนทำหน้ายุ่งยากใจ “แต่แต่งงานเลยจะไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม…”
แน่นอนว่าเขาไม่สนใจธรรมเนียมอันใด แต่สำหรับสตรีแล้วไม่เหมือนกัน
เฉียวเจากลอกตาขึ้นอย่างสุดระงับ “แม่ทัพเซ่า ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าทั้งไม่คิดจะหมั้นหมายทั้งไม่คิดจะแต่งงาน เรื่องนี้ข้าเคยบอกกับพี่ฉือมาก่อน ข้าไม่ได้พูดเล่น”
เซ่าหมิงยวนทำท่างงงัน คิ้วหนาพาดเฉียงขมวดมุ่น “เจาเจา ความหมายของเจ้าคือ…ไม่คิดจะรับผิดชอบข้าหรือ”
เฉียวเจาเบิกตากว้างกะทันหัน นางฟังผิดไปใช่หรือไม่ “ท่านบอกว่าจะให้ข้ารับผิดชอบหรือ”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงน้อยๆ ดูท่าทางเศร้าสร้อยมาก “เจ้าเคยจูบข้าแล้ว ชาตินี้ข้าไม่มีวันตบแต่งหญิงอื่นเป็นภรรยาแน่นอน ถ้าเจ้าไม่แต่งงานกับข้า ข้าคงได้แต่ครองตัวไร้คู่ครองไปชั่วชีวิต”
“ท่าน…” แม่นางเฉียวอ้าปากออก นางเปล่งเสียงถามอย่างห้ามไม่อยู่จริงๆ “ท่านยังมียางอายอยู่หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มยิ้มบางๆ “ข้าเคยบอกแต่แรกแล้วว่าขอแค่มีเจ้า ไม่ต้องมียางอายก็ได้”