หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 394
บทที่ 394
นักชันสูตรเฉียนชี้ไปยังที่ร่มจุดหนึ่ง “แบกไปทางโน้น”
ถึงอย่างไรการเปิดโลงพลิกศพเป็นเรื่องต้องห้ามมากที่สุด ย่อมต้องมีข้อพึงระวังที่คนทั่วไปไม่ล่วงรู้
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าบอกเฉินกวง
เฉินกวงมองดูหีบศพที่โผล่ออกมาอย่างละเอียดแล้วลังเลใจอยู่บ้าง “ท่านแม่ทัพ ตัวโลงดูบางๆ ไม่แข็งแรงเลยขอรับ กลัวว่าขยับสุ่มสี่สุ่มห้าจะเกิดปัญหาได้”
เฉียวเจาได้ยินคำนี้แล้วทนไม่ไหวอีกต่อไป นางเดินอ้อมตัวเซ่าหมิงยวนถลันเข้าไปตรงข้างหลุมศพที่ถูกขุดเปิดออก
มันเป็นโลงศพที่บรรจุศพของใต้เท้าเฉียวบิดานาง ทำจากไม้ธรรมดาที่สุด เวลาแค่ไม่กี่เดือนก็มีร่องรอยผุพัง
เฉียวเจาเห็นดังนั้นก็ยิ่งสะเทือนใจอย่างรุนแรง
ถึงแม้บิดามารดาและญาติพี่น้องของนางจะไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย แต่ก็เป็นทายาทตระกูลบัณฑิต ต้องมาเคราะห์ร้ายตายโหงไม่ว่า ที่พักพิงสุดท้ายของชีวิตยังอนาถาเฉกนี้ คนเป็นลูกหลานจะทนรับได้อย่างไรไหว
กระนั้นต่อหน้าผู้คนเฉียวเจาทำสีหน้าดุจปกติทั้งที่จิตใจทุกข์ระทม เซ่าหมิงยวนมองเห็นอยู่กับตาทว่าเจ็บปวดไปถึงกลางใจ ได้แต่ใช้สายตาปลุกปลอบนางเงียบๆ
“ท่านแม่ทัพ?” เฉินกวงไม่ได้ยินคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเสียทีก็ส่งเสียงเรียกซ้ำอีกครั้ง
เขาดึงสายตากลับไปมองผู้ใหญ่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวทอดถอนใจ “เรื่องนี้ข้าก็จนปัญญา เรือนสกุลเฉียวถูกไฟไหม้วอดวายไม่เหลือซากกะทันหัน โลงศพของใต้เท้าเฉียวนี้ยังเป็นตาเฒ่าหวังที่สละโลงศพที่เตรียมไว้ให้ตนเอง ตอนนั้นรวบรวมโลงศพได้ทั้งหมดแค่เจ็ดแปดโลง มีบ่าวไพร่ในสกุลเฉียวตั้งหลายคนต้องใช้เสื่อม้วนศพเอาลงฝังทั้งอย่างนั้น…”
เฉียวเจายิ่งฟังยิ่งมีสีหน้าแย่ลง มือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อสั่นเทาไม่หยุด หากมิใช่กลั้นใจฝืนทนไว้คงเกือบยืนทรงตัวไม่อยู่แล้ว
สกุลเฉียวมีคนไม่มาก บ่าวไพร่ส่วนใหญ่แทบไม่ต่างจากคนในครอบครัวเดียวกัน
นางยังจำสาวใช้อาวุโสสองคนประจำตัวท่านย่าได้ ทั้งที่ถึงวัยแล้วกลับไม่เต็มใจออกเรือน พวกนางบอกว่าโชคดีที่ได้เล่าเรียนเขียนอ่านกับผู้เป็นนาย ได้เข้าใจเหตุผลต่างๆ มากมาย จึงไม่อยากครองคู่กับเจ้าหนุ่มคนใดคนหนึ่งใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปวันๆ ภายภาคหน้าถ้าได้พบคนรู้ใจถึงออกเรือน หากไม่พบก็ขอปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นนายไปตลอดชาติ อยากเรียนหนังสือก็เรียนหนังสือ อยากคัดอักษรก็คัดอักษร ยามว่างสอนเด็กหญิงในหมู่บ้านละแวกใกล้ๆ อ่านหนังสือก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
สาวใช้สองนางนั้นเป็นคนเรียบร้อยมารยาทงามและรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นชาวสกุลเฉียวเสมอมา บัดนี้ต้องสิ้นชีพตั้งแต่วัยสาว กลับลงเอยด้วยการใช้เสื่อห่อศพ
นี่เป็นเพราะอะไรกันถึงทำให้เรื่องเคราะห์ร้ายพรรค์นี้มาตกอยู่แก่ตัวคนในครอบครัวของนาง
นักชันสูตรเฉียนก้าวเข้าไปชะโงกมองในหลุมแวบหนึ่งก่อนเอ่ยกับนาง “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเคลื่อนย้ายแล้ว ยืมร่มคันใหญ่หลายๆ คันมาบังแสงแดดให้สนิท”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าแล้วขอยืมร่มจากผู้ใหญ่บ้าน
ร่มถูกนำมาให้อย่างว่องไว แต่ใครเป็นคนถือร่มกลายเป็นปัญหาใหญ่เสียแล้ว
องครักษ์จินอู๋ผู้หนึ่งหน้าซีดโบกมือไปมาพลางกล่าว “ท่านโหว พวกข้าขุดหลุมศพได้ แต่เรื่องถือร่มทำไม่ได้จริงๆ ขอรับ”
องครักษ์จินอู๋พวกนี้ล้วนมีเทือกเถาเหล่ากอดี เข้าสู่กององครักษ์จินอู๋เพื่อเป็นบันไดไต่เต้าขึ้นไปรั้งตำแหน่งแม่ทัพประจำค่ายทหารใหญ่ๆ ในภายภาคหน้า ถึงจะยำเกรงต่อศักดิ์ฐานะของเซ่าหมิงยวน ยอมกระทำเรื่องเท่าที่สามารถทำได้บ้างโดยไม่มีปากมีเสียง แต่ให้มองดูการเปิดโลงพลิกศพในระยะประชิดไม่มีผู้ใดทนได้ไหว
พอองครักษ์จินอู๋ผู้นี้กล่าวถ้อยคำนี้ คนอื่นๆ ล้วนมองหยางโฮ่วเฉิงตาเขม็งอย่างวิงวอนขอร้อง
ท่านหัวหน้าหน่วย เรื่องนี้พวกข้าทำไม่ไหวจริงๆ นะ
หยางโฮ่วเฉิงตบหน้าผากอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า เขามองไปทางเซ่าหมิงยวน
แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้า แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาพวกนี้ล้วนมีชาติตระกูลไม่ด้อย ปกติยอมเชื่อฟังคำสั่งเขาก็ไม่เลวแล้ว ถ้าต้องบีบคอบังคับให้คนพวกนี้ทำเรื่องอะไรจริงๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องล่วงเกินคน จุดสำคัญคือบังคับไม่ได้น่ะสิ
กององครักษ์จินอู๋ไม่เหมือนกับกององครักษ์จินหลิน ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นคุณชายนายท่าน ใครกลัวใครกันเล่า
คิ้วเข้มพาดเฉียงของเซ่าหมิงยวนมุ่นเข้าหากัน เขาเดินทางสู่ทิศใต้หนนี้เพื่อมิให้เบื้องบนระแวงสงสัย ในสายตาคนภายนอกเขาเพียงพาองครักษ์มาคนเดียวคือเยี่ยลั่ว ส่วนองครักษ์จินอู๋เหล่านี้มิใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา จริงๆ แล้วเขาไม่มีสิทธิ์สั่งการได้
“ข้าเอง” เฉียวเจาพูดโพล่งขึ้นทำลายความเงียบชั่วเวลาสั้นๆ ลง
สายตาของทุกคนพุ่งไปที่ตัวนาง สีหน้าทอแววหลากใจ
นางยืนตัวตรงกล่าวซ้ำคำเดิมอีกครา “ข้าทำเอง”
“เจ้าไม่ได้” นักชันสูตรเฉียนพลันกล่าวขึ้นคำหนึ่ง พอเห็นทุกคนหันมามอง เขากล่าวพลางยิ้มย่อง “เจ้าต้องเป็นลูกมือข้าเหมือนกับคราวที่อยู่โรงทึมนั่น”
ไม่รอให้เฉียวเจาพูดตอบ เซ่าหมิงยวนคัดค้านเสียงแข็ง “ไม่ได้”
นักชันสูตรเฉียนมองชายหนุ่มอย่างแปลกใจ เขาเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดจะไม่ได้ ข้าต้องการลูกมือคนหนึ่ง แล้วข้าก็ถูกใจแม่เด็กน้อยผู้นี้ ถ้านางไม่เป็นลูกมือ ข้าหมดปัญญาจะทำได้ เจ้านึกว่าเปิดโลงพลิกศพง่ายดายปานนั้นหรือ”
หน้าผากของเฉียวเจามีเหงื่อเม็ดโตไหลหยดลงมาไม่หยุด นางแข็งใจพูดขึ้น “ได้ ข้าเป็นลูกมือให้ท่าน”
คราวนี้กับคราวนั้นที่โรงทึมต่างกันแน่นอน
ตอนอยู่โรงทึมนางรู้สึกขยะแขยงและหวาดกลัวมากกว่า แต่ตอนนี้เมื่อคิดถึงว่าคนในโลงศพคือบิดาของตน นางต้องเห็นสภาพในเวลานี้ของท่าน ถึงขั้นต้องตรวจสอบจุดต่างๆ ตามร่างกายของท่านตามคำสั่งของนักชันสูตรเฉียน ก็บังเกิดความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ทำให้นางถอดใจ ถึงต้องตายก็ไม่พรั่น แล้วมีชีวิตอยู่ยังต้องกลัวที่จะเดินต่อไปข้างหน้าอีกหรือ
“ไม่ได้” เซ่าหมิงยวนเบือนหน้าไป ครั้งนี้เขาเอ่ยกับเฉียวเจา
“แม่ทัพเซ่า…” นางอ้าปากพูด
“เจ้าไปรอทางนั้น” เขาทำสีหน้าเครียดขรึม
เฉียวเจายืนนิ่งไม่ขยับ “แม่ทัพเซ่า เรื่องนี้ทำตามที่ท่านเฉียนบอกเถอะ”
นักชันสูตรเฉียนมีนิสัยแปลกประหลาด เกิดเขาวางมือก็จะยุ่งยากแล้ว
“เรื่องนี้ฟังคำข้า” ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ลังเลแม้สักนิด เขาพูดเสียงเรียบ “อาจู ปิงลวี่ ประคองคุณหนูของพวกเจ้าไปรอใต้ร่มไม้”
ริมฝีปากของเฉียวเจาเผยอขึ้น แต่เซ่าหมิงยวนหันหน้ากลับไปพูดกับนักชันสูตรเฉียนแล้ว “ถ้าท่านเฉียนต้องการลูกมือ ข้าทำได้”
นักชันสูตรเฉียนขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา
เขาหัวร่อแผ่วเบา “หรือว่าท่านเฉียนเห็นว่าข้าสู้คุณหนูหลีไม่ได้ เรื่องนี้ท่านวางใจได้ ตอนอยู่แดนเหนือข้าเคยเห็นศพคนมาก่อน อาจไม่ถึงหมื่นก็ต้องมีแปดพัน จะทำหน้าที่ลูกมือย่อมไม่เป็นปัญหา”
นักชันสูตรเฉียนพยักหน้าอย่างไม่สู้เต็มใจ “ตกลง หากมีปัญหาจะเปลี่ยนตัวเป็นนางทันที”
แม่เด็กน้อยผู้นั้นเป็นศิษย์ของหลี่เจินเฮ่อ นี่จึงเป็นโอกาสทองหาได้ยากที่จะได้สัมผัสกับศาสตร์แขนงนี้ น่าเสียดายที่คนใต้หล้าโฉดเขลานัก
เซ่าหมิงยวนมองนักชันสูตรเฉียนด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ท่านเฉียนวางใจได้ ไม่มีปัญหาอย่างเด็ดขาด”
เฉียวเจาทำตาปริบๆ มองดูเซ่าหมิงยวนเอาตัวบังสายตาของนางไว้จนมิดด้วยสีหน้าฉายอารมณ์แปรปรวนไม่หยุด สุดท้ายนางหมุนกายเดินไปทางใต้ร่มไม้
แม้ว่าความเผด็จการของคนผู้นั้นจะน่าขุ่นใจอยู่สักหน่อย แต่ใจนางรับรู้ถึงความปรารถนาดีของเขาแล้ว
พูดตามสัตย์จริง นางก็โล่งใจอยู่ลึกๆ
“รีบหาคนกางร่มไวๆ สิ มีศพต้องตรวจสอบตั้งมากถึงเพียงนี้” นักชันสูตรเฉียนกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ถิงเฉวียน ข้าเอง” หยางโฮ่วเฉิงทำใจดีสู้เสือเอ่ยขึ้น ถึงเขาจะรู้สึกขนลุกขนพอง แต่เพื่อสหายรักแล้วได้แต่กัดฟันขันอาสา
การจะบดบังโลงศพอย่างมิดชิดอย่างน้อยๆ ต้องใช้คนถือร่มถึงเจ็ดแปดคน เซ่าหมิงยวนล้มเลิกความคิดที่จะฝืนใจสหายรักสองคน หันไปบอกกับผู้ใหญ่บ้านโดยตรง “รบกวนผู้ใหญ่บ้านไปถามไถ่ชาวบ้านทีว่ามีใครเต็มใจช่วยหรือไม่”
“คือว่า…” ผู้ใหญ่บ้านทำสีหน้าลำบากใจ ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าไม่มีคนเต็มใจ!
“ข้าจะตกรางวัลให้ทุกคนเป็นเงินแท้ร้อยตำลึง”
ผู้ใหญ่บ้านตาเป็นประกายวาววับ
เงินแท้ร้อยตำลึง? มีคนมากมายล้วนไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากเท่านี้ทั้งชีวิต!
“ตกลง ข้าจะลองไปถามดูขอรับ”