หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 399
บทที่ 399
การคาดเดานี้เป็นไปตามความคาดหมายของเซ่าหมิงยวนแต่แรก เขาได้ยินเฉียวเจากล่าวเช่นนี้จึงไม่มีสีหน้าผิดปกติใดๆ
ด้านหยางโฮ่วเฉิงกลับเอ่ยถามอย่างห้ามไม่อยู่ “นี่มองออกได้อย่างไรกัน”
ฉือชั่นมองเฉียวเจาเงียบๆ
หลังผ่านการเปิดโลงพลิกศพบิดามารดาและญาติพี่น้องมาเมื่อยามกลางวัน ยามนี้เฉียวเจาไม่ค่อยสดชื่นนัก หน้าตาซีดเซียวท่าทางอิดโรยไปทั้งสรรพางค์กาย ร่างผอมบอบบางดูอ่อนแอแทบปลิวลม
ทว่าน้ำเสียงของนางสงบนิ่ง “อยากจะหยั่งใจคนผู้หนึ่ง สามารถคาดเดาตรงๆ จากพฤติกรรมของเขาได้มากที่สุด ช่วงเวลาที่เถี่ยจู้จากไปมีนัยชวนให้ขบคิดมาก”
“เรื่องนี้ก็เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งหรือนี่ ไม่แน่ว่าเขามุงดูไปครึ่งๆ กลางๆ แล้วคร้านจะดูต่อถึงจากไปก็เป็นได้” หยางโฮ่วเฉิงไต่ถาม
เขารู้ว่าคุณหนูหลีฉลาดเฉลียว แต่ก็รู้สึกว่าอาศัยแค่จุดนี้ก็คาดเดาออกว่าเถี่ยจู้รู้ว่าหญิงขายเต้าหู้ไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุนั้นออกจะน่าพิศวงไปบ้าง
เฉียวเจาคลายยิ้ม “ตามวิสัยของเหล่าผู้ชอบมุงดู ท่านเฉียนเพิ่งตรวจสอบได้ว่าใต้เท้าเฉียวสิ้นชีพเพราะ…โดนปาดคอ เป็นช่วงที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคนเราได้มากที่สุด จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายแล้วกลับไปในเวลานั้น เผอิญว่าเถี่ยจู้เลือกจากไปตอนนั้น มันบ่งบอกว่าผลการพลิกศพของท่านเฉียนกระทบใจเขามาก แล้วความรู้สึกนี้ก็กลบทับสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นของคนคนหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง”
“กระทบใจ?” หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “ยิ่งพูดยิ่งลึกลับซับซ้อน สือซี เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
ฉือชั่นปรือตาขึ้นกล่าวเนือยๆ “คนโง่ก็ต้องตั้งใจฟังสิ”
หยางโฮ่วเฉิงเงื้อมือขึ้นตั้งท่าจะชกเขา แต่คิดกลับอีกทีว่าเจ้าเด็กโชคร้ายผู้นี้ถูกถิงเฉวียนแย่งภรรยาไปก็น่าสงสารอยู่แล้วถึงได้รามือ
“แล้วกระทบใจในทางใดเล่า” เฉียวเจาตั้งปัญหานี้ จากนั้นไขความกระจ่างทันที “พวกเราลองสมมติว่าเขารู้ว่าหญิงขายเต้าหู้ไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่ตายเพราะโดนสังหาร เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว เพราะท่านเฉียนตรวจสอบได้ว่าใต้เท้าเฉียวไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าท่านเฉียนคือคนที่สามารถทวงความเป็นธรรมให้หญิงขายเต้าหู้ได้”
หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้า “มีเหตุผล แต่เขาไปหาซานจื่อที่สำนักศึกษาในเมืองด้วยเหตุใดกัน”
ฉือชั่นกลอกตาขึ้น “เจ้าโง่ ซานจื่อเป็นบุตรชายของหญิงขายเต้าหู้ เถี่ยจู้เจอคนที่ทวงความเป็นธรรมให้นางได้ ย่อมต้องไปหารือกับบุตรชายของนางสิ”
เฉียวเจาพยักหน้า “พี่ฉือกล่าวได้ถูกต้อง ข้าก็คาดเดาไว้เช่นนี้”
ฉือชั่นตวัดสายตามองเซ่าหมิงยวน “เมื่อครู่ถิงเฉวียนถามถึงท่าทีที่ซานจื่อมีต่อเถี่ยจู้ เฉินกวงบอกว่าพวกเขาคุ้นเคยกันดี นี่พิสูจน์ว่าซานจื่อกับเถี่ยจู้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่เลว ดังนั้นพอเถี่ยจู้พบเรื่องนี้แล้วไปหารือกับซานจื่อจึงสมเหตุสมผลที่สุด”
เขาพูดพลางเคาะพื้นโต๊ะเก่าคร่ำคร่าไปด้วยโดยไม่รู้ตัว “เรื่องที่ข้าสนใจอยากรู้ตอนนี้คือความสัมพันธ์ของเถี่ยจู้กับหญิงขายเต้าหู้ ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเขาเพิ่งย้ายมาที่หมู่บ้านเมื่อหลายปีก่อนไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังบอกว่าหญิงขายเต้าหู้เป็นแม่ม่ายกับลูกกำพร้ามาโดยตลอด พวกเขาต้องไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติกันแน่…”
“คนรัก” เซ่าหมิงยวนโพล่งสองคำนี้ออกมา
ฉือชั่นอึ้งไป เขาประหลาดใจพอสมควร “เจ้าบอกว่าเถี่ยจู้กับหญิงขายเต้าหู้ลักลอบชอบพอกันหรือ นี่เป็นไปไม่ได้”
“เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้” เซ่าหมิงยวนย้อนถาม
ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะ “นี่มิใช่เรื่องที่เห็นกันอยู่ทนโท่รึ ถ้าหากเถี่ยจู้กับหญิงขายเต้าหู้เป็นคนรักกัน ซานจื่อกับเถี่ยจู้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นนี้?”
หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้าหงึกหงัก “สือซีกล่าวไม่ผิด”
จะมีบุตรชายที่ใดกันยอมสนิทสนมกับคนรักลับๆ ของมารดาพรรค์นี้
เขาตรึกตรองแล้วกล่าวต่อ “บางทีซานจื่ออาจไม่ล่วงรู้”
“ซานจื่อรู้อย่างแน่นอน” เฉียวเจาพูดแทรกขึ้น
สีหน้าของฉือชั่นบูดบึ้งอยู่บ้าง “หลีซาน เจ้าคิดเหมือนกันว่าเถี่ยจู้กับหญิงขายเต้าหู้มีความสัมพันธ์เป็นคนรักกัน อีกทั้งซานจื่อก็รู้ด้วยหรือ”
เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ
ฉือชั่นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นข้าชักไม่เข้าใจเสียแล้ว”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “อันที่จริงมิได้สลับซับซ้อนปานนั้น ถ้าพินิจจากเหตุผลที่พึงเป็น จริงอยู่ว่ามันเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย แต่หญิงขายเต้าหู้เป็นม่ายตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน นางทำงานหาเงินเลี้ยงดูซานจื่อในสภาพที่ยากลำบากปานนี้ มิหนำซ้ำยังส่งเขาไปสำนักศึกษา ซานจื่อต้องรักใคร่ผูกพันกับมารดาของเขาอย่างลึกซึ้งสุดจะเปรียบแน่ หากว่ามีบุรุษที่ไม่เลวผู้หนึ่งทำดีต่อนางด้วยน้ำใสใจจริง นานวันเข้าใช่ว่าซานจื่อจะยอมรับไม่ได้”
“นี่เป็นการคาดเดาลอยๆ เท่านั้น”
“นี่มิใช่การคาดเดาลอยๆ เท่านั้น” เซ่าหมิงยวนกล่าวแย้งขึ้น
หยางโฮ่วเฉิงตบๆ หน้าผาก “พวกเจ้าสองคนเลิกพูดเป็นปริศนาเสียที ไม่ว่าเป็นอย่างใดก็ช่าง รีบๆ อธิบายเรื่องราวให้กระจ่างถึงสำคัญกว่า”
ชายหาบหญิงคอน พูดรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้น่าชังเป็นที่สุด ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของบุรุษไร้คู่เช่นพวกเขาเลยสักนิด
เฉียวเจาหลุบตาไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
เซ่าหมิงยวนเอ่ยอธิบาย “เรื่องความสัมพันธ์ของเถี่ยจู้กับหญิงขายเต้าหู้ ข้ากับเจาเจาไม่ได้คาดเดาลอยๆ แต่เป็นการสันนิษฐานตามเหตุผลซึ่งเกี่ยวกับเรือนหลังนี้ เมื่อวานพวกเจ้าออกไปเดินดูรอบๆ แล้วน่าจะพบว่าเรือนของหญิงขายเต้าหู้ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน และไม่มีบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งหน้าหลัง ถ้าพูดว่านางไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุแต่โดนฆ่าตาย ดูจากที่นางครองตัวเป็นม่ายมาหลายปีอย่างปลอดภัยไม่เป็นอันตรายแล้วล่ะก็ มีโอกาสที่ฆาตกรจะเป็นคนในหมู่บ้านไม่มาก เช่นนั้นเป็นไปได้สูงว่าการตายของนางเกี่ยวพันกับเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว เพราะถึงแม้เรื่องเรื่องหนึ่งจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง มักต้องมีที่มาที่ไปเสมอ”
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นพ้องกับคำกล่าวของเขาแล้ว
“เรือนของหญิงขายเต้าหู้นับได้ว่าเป็นเรือนเดี่ยว เกิดเหตุเภทภัยใดขึ้นเป็นเรื่องยากมากที่จะดึงความสนใจของชาวบ้านได้ แล้วเถี่ยจู้รู้ได้อย่างไรว่าการตายของนางไม่ใช่อุบัติเหตุเล่า เขาคงไม่ได้มีความสามารถอย่างนักชันสูตรเฉียนกระมัง”
“ความหมายของเจ้าคือเป็นไปได้มากว่าเถี่ยจู้จะเห็นฆาตกร?” ฉือชั่นขบคิดเล็กน้อยก็มองจุดสำคัญของเรื่องออกแล้ว
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “แม้จะเป็นเพียงการสันนิษฐาน แต่นี่มีความเป็นไปได้มากที่สุดจริงๆ”
“แต่นั่นไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเขากับหญิงขายเต้าหู้เป็นคนรักกันนะ ดีไม่ดีก็แค่เห็นโดยบังเอิญ”
“เมื่อครู่แม่ทัพเซ่าบอกแล้วว่าเรือนของหญิงขายเต้าหู้เป็นเรือนเดี่ยว ยากมากที่ชาวบ้านจะสังเกตเห็นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเรือนนาง ส่วนเถี่ยจู้ก็อาจจะเห็นโดยไม่ตั้งใจจริงๆ แต่เป็นไปได้มากกว่าว่าเพราะเขาใส่ใจเรื่องต่างๆ ของหญิงขายเต้าหู้อยู่ตลอด ถึงได้รู้ความจริงตั้งแต่แรกทันที” เฉียวเจากล่าวต่อท้าย “แม้นเป็นการสันนิษฐานทั้งสิ้น แต่ส่วนที่เป็นไปได้มากที่สุดย่อมพึงได้รับการพิสูจน์ก่อนเป็นธรรมดา”
“นั่นสิ เจ้าของเรือนหลังนี้ก็น่าจะใกล้กลับมาแล้ว” เซ่าหมิงยวนพูดพึมพำ
หยางโฮ่วเฉิงสะดุ้งเฮือก “ถิงเฉวียน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
พูดขัดหูคำเดียวก็ขู่ให้กลัวมันไม่ถูกนะ หรือว่าหญิงขายเต้าหู้ยังจะมาร้องทุกข์
เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไปก่อน จากนั้นก็เริ่มหัวเราะเบาๆ
เฉียวเจากล่าวอย่างจนใจ “พี่หยาง ความหมายของแม่ทัพเซ่าคือซานจื่อน่าจะกลับมาแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงหน้าแดงด้วยความอาย เขาเกาท้ายทอยพลางพูด “เข้าใจผิดๆ”
เขาคิดๆ แล้วรู้สึกขายหน้าเลยเปลี่ยนเรื่องพูดพอให้พ้นตัว “คุณหนูหลี ท่านเรียกข้าว่าพี่หยาง แต่เพราะอะไรถึงเรียกถิงเฉวียนว่าแม่ทัพเซ่าล่ะ ฟังดูห่างเหินพิกล”
ฉือชั่นกลอกตาขึ้นอย่างสุดจะเอือมระอา
เหตุใดเจ้าคนผู้นี้ต้องสนใจเรื่องชาวบ้านมากถึงเพียงนี้ วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง!
ขณะที่บรรยากาศกำลังอึดอัด เยี่ยลั่วเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ มีเด็กหนุ่มนามว่าซานจื่ออยากพบท่าน เขาบอกว่าเป็นเจ้าของเรือนหลังนี้ขอรับ”