หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 400
บทที่ 400
“เชิญเขาเข้ามา”
เยี่ยลั่วออกไปแล้ว หยางโฮ่วเฉิงยกนิ้วโป้งให้เซ่าหมิงยวน “แม่นยำอย่างกับมีตาทิพย์”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนถึงเพียงนั้น เป็นแค่เรื่องธรรมดาของปุถุชน ถ้าหากการสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของพวกข้าถูกต้อง เวลานี้ซานจื่อกับเถี่ยจู้กำลังลังเลตัดสินใจไม่ถูกอยู่ เลยหาหนทางใกล้ชิดพวกเราเพื่อหยั่งเชิง”
ไม่นานนักเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
เด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมยาวที่เริ่มสั้นเต่อไปบ้าง แม้นเขาจะยืนเชิดหน้ายืดอกอย่างเต็มที่ต่อหน้าคนอื่นๆ แต่ยังคงแสดงอาการลุกลนให้เห็นหลายส่วน
“ข้าได้ยินผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเจ้าชื่อซานจื่อ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากพูดด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวล
ซานจื่อแปลกใจอยู่บ้าง คิดจะยกมือจับชายเสื้อตามความเคยชินแต่รีบข่มใจไว้ทันใด เขายืดตัวตรงกล่าวว่า “ใช่ ข้าชื่อซานจื่อ ที่นี่เป็นเรือนข้า…”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะออกมา “ซานจื่อนั่งสิ เจ้าเป็นเจ้าของเรือน พวกข้ามารบกวน ยังไม่ได้กล่าวขอบคุณเจ้าเลยนะ”
เพลานี้เฉินกวงก้าวเข้ามากล่าวว่า “เชิญดื่มน้ำชา”
ซานจื่อเพิ่งนั่งลงก็ลุกขึ้นยืนทันใด ใช้สองมือรับถ้วยน้ำชาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ขอบคุณขอรับๆ”
พอเขาหน้าแดงก็เผยให้เห็นถึงความใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มชนบทอย่างชัดเจน
ท่าทีของเซ่าหมิงยวนเป็นมิตรมากขึ้น เขาส่งสายตาบอก เฉินกวงก็ยกขนมดอกกุ้ยจานหนึ่งมาวางให้อีกอย่างว่องไว
“ซานจื่อ ลองชิมขนมดอกกุ้ยนี่สิว่าเป็นอย่างไร พวกข้าซื้อมาจากในเมือง”
“ไม่ต้องขอรับ” ซานจื่อโบกมือเป็นพัลวัน เขาหน้าแดงมากขึ้น “ข้าได้ยินว่ามีคนมาอยู่ที่เรือน ข้าก็เลยมาดูเท่านั้น”
เซ่าหมิงยวนเลื่อนขนมดอกกุ้ยไปตรงหน้าเขา “ไม่ต้องเกรงใจ พวกข้าพักอยู่ในเรือนเจ้าก็รู้สึกละอายใจมากอยู่แล้ว นี่ถือเสียว่าแทนคำขอบคุณ หากเจ้าไม่กิน พวกข้าจะละอายใจมากขึ้นอีก”
ซานจื่อได้ยินถึงหยิบขนมดอกกุ้ยไปกินชิ้นหนึ่ง
ถึงแม้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ได้มีประสบการณ์อันใด ทว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เหล่านี้ก็มิได้เสียกิริยา ท่าทางการกินก็เรียบร้อยมาก เห็นได้ว่าผ่านการอบรมบ่มเพาะอย่างดีผิดจากเด็กหนุ่มชนบท
เซ่าหมิงยวนรอเขากินจนหมดอย่างใจเย็น ค่อยยื่นน้ำชาให้พลางไต่ถาม “คืนนี้ซานจื่อจะนอนที่ใดหรือ”
“ท่านผู้ใหญ่บ้านบอกกับข้าแล้วว่าข้านอนที่เรือนเขาได้ขอรับ” แววตาของซานจื่อไหววูบหนึ่ง
“ซานจื่อนอนที่นี่ก็แล้วกัน เบียดๆ กับข้าก็ได้”
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะถี่ๆ เป็นเชิงปฏิเสธ เขากลัวว่าท่านผู้สูงศักดิ์เหล่านี้จะไม่พึงใจ จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังตัว “ใต้เท้า ครอบครัวของใต้เท้าเฉียวโดนคนสังหาร ท่านจะสืบคดีวันพรุ่งนี้ ข้าขอตามไปดูได้หรือไม่ขอรับ”
เขากล่าวคำนี้จบแล้วกลัวคนอื่นเข้าใจผิด รีบพูดอธิบายว่า “ตอนเด็กๆ ข้าเคยหัดอ่านหนังสือกับชาวสกุลเฉียว และเป็นเพราะนายท่านเฉียวบอกว่าข้ามีพรสวรรค์ แม่ข้าถึงกัดฟันส่งข้าไปสำนักศึกษาในเมือง ถึงแม้ข้าจะไม่มีกำลังความสามารถช่วยเรื่องของสกุลเฉียว แต่ได้เห็นท่านจับตัวฆาตกรที่ทำร้ายพวกเขาเองกับตาก็ยังดีขอรับ”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ เห็นได้ว่าที่เขาซาบซึ้งใจสกุลเฉียวมิใช่คำเท็จ เซ่าหมิงยวนอดใจมองเฉียวเจาแวบหนึ่งไม่ได้
นางนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นไม่แสดงสีหน้าใด มีเพียงแพขนตาที่กระพือขึ้นลงเบาๆ แสดงให้รู้ว่าในใจนางหาได้สงบนิ่งไม่
“ใต้เท้า ข้าได้ยินว่าท่านคือกวนจวินโหว เป็นคนเก่งกาจอย่างยิ่ง ท่านจับตัวฆาตกรได้กระมังขอรับ”
เซ่าหมิงยวนมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาลึกล้ำขึ้น “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะหาเบาะแสได้หรือไม่”
ดวงตาของซานจื่อหม่นลง “หลายเดือนก่อนมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาจากเมืองหลวง สืบไม่พบอะไรก็กลับไปแล้วขอรับ”
“ใช่ ข้าถึงได้มาอย่างไรเล่า” เซ่าหมิงยวนพูดเป็นนัยๆ
ซานจื่ออึ้งงันไป
“ใต้เท้าเฉียวเป็นพ่อตาของข้า พวกเขาจบชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม ข้าย่อมอยากหาตัวฆาตกรมากกว่าผู้ใด” เซ่าหมิงยวนกล่าวจบแล้วมองเด็กหนุ่มร่างผอมเบื้องหน้าด้วยสายตาพินิจพลางถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง
“ท่านรู้สึกว่ายากมากหรือขอรับ” ซานจื่อถามเสียงอ้อมแอ้ม
เหตุไฉนคนใหญ่คนโตอย่างกวนจวินโหวถึงถอนหายใจกับเขานะ
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ไม่ใช่ ข้าเห็นเจ้าแล้วรู้สึกว่าพวกเราเป็นคนหัวอกเดียวกันอยู่บ้าง”
ซานจื่อหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน เขาถามเสียงแปร่งปร่า “นี่ท่านหมายความว่าอะไรขอรับ”
เซ่าหมิงยวนถอนใจอีกคำรบหนึ่ง สายตาที่มองซานจื่อทอแววเป็นมิตรระคนสงสารอยู่ในที “ตอนข้าเข้ามาพักที่นี่เมื่อวาน ได้ยินผู้ใหญ่บ้านเล่าเรื่องของเจ้าของเรือนหลังนี้ ด้วยเหตุนี้ข้าขอให้นักชันสูตรเฉียนตรวจสอบดู…”
“เป็นนักชันสูตรคนที่เปิดโลงพลิกศพใต้เท้าเฉียวท่านนั้นใช่หรือไม่ขอรับ” ซานจื่อตัดบทเขาอย่างยับยั้งชั่งใจไม่อยู่ ผิดไปจากท่าทีระวังตัวแจตอนเพิ่งเข้ามาราวกับเป็นคนละคนกัน
เซ่าหมิงยวนยิ่งมั่นใจมากขึ้น เขาเผยหมากเด็ดเสียเลย “ใช่ นักชันสูตรเฉียนสันนิษฐานว่ามารดาของเจ้ามิได้ตายด้วยอุบัติเหตุดังเช่นที่คนในหมู่บ้านพูดกัน แต่ถูกคนฆ่าตาย…”
ซานจื่อลุกพรวดขึ้น ขบสันกรามแน่นดังกรอดๆ
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มยกสองมือปิดหน้าร่ำไห้อย่างเศร้าเสียใจ
เซ่าหมิงยวนงงงันอยู่บ้าง ตอนเขาอายุเท่าซานจื่อไม่เคยร้องไห้เช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นมาก่อน
ฉือชั่นลุกขึ้นยืนช้าๆ ยื่นมือไปวางบนไหล่ซานจื่อ สะกดความรู้สึกไม่ชอบแตะต้องตัวคนแปลกหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้าว่า “ร้องไห้ด้วยเหตุใดกัน หากร้องไห้แล้วมีประโยชน์ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ร้องไห้อย่างเดียวก็พอ”
เสียงร้องไห้ของซานจื่อหยุดชะงัก เขาลดมือทั้งสองข้างลง มองคนที่พูดกล่อมตนเองผ่านม่านน้ำตาแล้วตะลึงงันไปอย่างสุดระงับ
ใต้หล้านี้มีคนรูปงามปานนี้เชียวหรือ
ฉือชั่นเห็นสายตาเช่นนี้มามากแล้ว เขายกมือเขกศีรษะเด็กหนุ่มทีหนึ่ง พูดเสียงเย็นๆ ว่า “แทนที่จะร้องไห้ขี้มูกโป่งอย่างไม่เอาไหน มิสู้พยายามหาตัวฆาตกรที่สังหารแม่เจ้าจะดีกว่า สบช่องที่พวกข้าอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่ายังตัดสินความเป็นธรรมให้เจ้าได้ด้วย”
นัยน์ตาทั้งคู่ของซานจื่อเบิกกว้างขึ้น เขาพูดพึมพำ “หาตัวฆาตกรที่สังหารแม่ข้า?”
“ใช่แล้ว หรือเจ้าไม่อยากแก้แค้นให้มารดา” ฉือชั่นขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินว่าแม่เจ้าเป็นม่ายตั้งแต่วัยสาว ทำงานหาเงินเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่อย่างไม่ง่ายดาย ในหมู่บ้านกลางเขาอย่างนี้ นางยังส่งเจ้าไปเข้าสำนักศึกษาในเมืองอีก เด็กที่มีทั้งพ่อทั้งแม่มากมายยังไม่โชคดีถึงเพียงนี้ แม่เจ้าดีต่อเจ้าถึงเพียงนี้ ถึงไม่มีบุญรอเจ้าสอบขุนนางผ่านได้อยู่อย่างมีหน้ามีตา จะอย่างไรเจ้าก็ต้องลากตัวคนที่สังหารนางออกมาให้ได้กระมัง”
พูดถึงตอนท้าย ฉือชั่นเองยังรู้สึกตื้นตันใจพอดู
ซานจื่อฟังถ้อยคำนี้แล้วเหม่อลอยเป็นนาน คนอื่นๆ ต่างไม่รบกวน ปล่อยให้เด็กหนุ่มจมจ่อมอยู่กับการต่อสู้ภายในใจเงียบๆ
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว ยามราตรีของหมู่บ้านกลางเขาแสนงดงาม ดวงดาวกะพริบแสงระยิบระยับ เงียบสงบเป็นสุข
ทว่าจิตใจของเด็กหนุ่มกลับทุรนทุรายละม้ายอยู่ในหม้อน้ำมันเดือด พลุ่งพล่านกระสับกระส่ายไม่หยุดหย่อน ทรมานแทบขาดใจ
เขาไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่ควรพูด ถ้าไม่พูดแล้วจะปล่อยให้แม่ของเขานอนตายตาไม่หลับไปตลอดกาลอย่างนั้นจริงๆ หรือ
แต่ถ้าพูดแล้ว คนพวกนี้จะเชื่อใจได้จริงหรือ
อาเถี่ยจู้บอกเขาว่าอย่าผลีผลามวู่วาม
แต่กวนจวินโหวที่มาคราวนี้คงไม่เหมือนกับผู้แทนพระองค์ที่มาคราวก่อนท่านนั้นกระมัง กวนจวินโหวเป็นบุตรเขยของใต้เท้าเฉียว เขาเป็นเจ้าทุกข์เช่นกัน พวกเขาล้วนเป็นคนที่ต้องการให้คนในครอบครัวได้รับความเป็นธรรม
ท่ามกลางความเงียบอันยาวนานกับความอดทนของทุกคน ซานจื่อตกลงปลงใจได้ในที่สุด เขายกมือขึ้นเช็ดตาทีหนึ่งก่อนกล่าว “แม่ข้าถูกคนฆ่าตายจริงๆ ขอรับ”
สายตาของเด็กหนุ่มมองกวาดผ่านทุกคนช้าๆ ไปหยุดอยู่ที่เซ่าหมิงยวนในท้ายที่สุด เขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “มีคนเห็นตัวฆาตกรขอรับ”