หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 402
บทที่ 402
คนอื่นๆ ได้ยินประโยคนี้แล้วอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
ดูเหมือนเรื่องราวยิ่งมายิ่งเหนือความคาดหมายเสียแล้ว
“ผู้ใหญ่บ้านไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับพวกข้า” เซ่าหมิงยวนกล่าว
เถี่ยจู้ยิ้มเยาะ “คนที่พูดเรื่องนี้เดิมเป็นพวกขี้เมาคนหนึ่ง ดื่มสุราเมาหยำเปไม่เว้นแต่ละวัน พูดสิบคำมีแปดคำเป็นเรื่องโกหก จะมีคนเชื่อที่ใดกัน”
ยามกล่าวถึงตรงนี้ สายตาเขาทอแววพรั่นพรึงเต็มเปี่ยม “แต่ข้าเชื่อ เขาพูดคล้ายกับที่ข้าเห็น ข้า…”
เซ่าหมิงยวนตบไหล่เขา “พี่เถี่ยจู้ ค่อยๆ เล่า ไม่ต้องรีบ ท่านบอกก่อนว่าคนผู้นั้นตายเมื่อไรและตายอย่างไร”
เถี่ยจู้สงบอกสงบใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “คนผู้นั้นตายก่อนที่ท่านผู้แทนพระองค์จะมา วันนั้นเขาดื่มสุราเมามายแล้วพูดว่าซิ่วเหนียงถูกคนฆ่าตาย รอท่านขุนนางใหญ่มาแล้วเขาจะเอาความลับนี้ไปบอก อย่างนั้นก็จะได้เงินรางวัลก้อนใหญ่ไปซื้อสุราดื่มได้แล้ว ตอนนั้นคนที่ได้ยินล้วนไม่ให้ความสนใจ มีแต่ข้าที่รู้ว่าเขาพูดเรื่องจริง”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “ความจริงข้าก็ตั้งใจไว้เช่นนี้ ขอแค่ทางการส่งคนมาสืบเรื่องไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว ข้าจะฉวยจังหวะบอกความลับนี้กับขุนนางระดับสูง ไม่แน่ว่าจะช่วยล้างแค้นให้ซิ่วเหนียงได้ แต่คิดไม่ถึงว่าในคืนที่คนผู้นั้นพูดเรื่องนี้ เขาก็หัวทิ่มลงคูน้ำเล็กๆ ข้างหมู่บ้านจมน้ำตาย คนอื่นพากันพูดว่าเขาดื่มสุรามากเกินไปถึงเคราะห์ร้ายเช่นนี้ แต่ข้าไม่เชื่อสักนิด! คูน้ำนั่นลึกแค่สองฉื่อ ไฉนจะตายเวลาใดไม่ตาย จำเพาะต้องมาจมน้ำตายหลังจากเขาพูดเรื่องพวกนั้นเล่า”
“ท่านสงสัยว่าเขาโดนฆ่าปิดปากหรือ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยถาม
น้ำเสียงของเถี่ยจู้เริ่มพลุ่งพล่าน “ใช่แน่นอน ยามนั้นในหมู่บ้านต้องมีคนจับตาดูพวกข้าอยู่ พบว่าใครรู้อะไรบ้างก็ฆ่าปิดปาก ด้วยเหตุนี้หลังจากนั้นพอท่านผู้แทนพระองค์มาถึง ข้าลังเลใจอยู่นานมาก สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดอะไร ข้าไม่รู้ว่าคนที่จับตาดูพวกข้าในที่ลับเป็นใครกันแน่ และไม่รู้ว่าเขาจากไปหรือยัง หรือยังอยู่ที่นี่ตลอดเวลา…”
หยางโฮ่วเฉิงกล่าวยิ้มๆ “พี่เถี่ยจู้ ตอนนี้ท่านไม่ต้องกลัวแล้ว พวกข้าอยู่ที่นี่ จะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายท่านได้”
เถี่ยจู้เหลือบมองซานจื่อก่อนก้มศีรษะลง “ข้าไม่รู้ว่าจะโดนคนฆ่าตายหรือไม่ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้านึกเสียใจภายหลังเรื่อยมา ข้าฝันว่าซิ่วเหนียงด่าว่าข้าเป็นคนไม่เอาไหน ทำให้นางนอนตายตาไม่หลับ…”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาสบตากัน เห็นทีว่าพวกเขามาได้ถูกเวลาพอดิบพอดี เร็วหรือช้ากว่านี้ก้าวหนึ่ง ดีไม่ดีก็คงไม่ได้รู้เรื่องของเถี่ยจู้ก็เป็นได้
นี่เป็นลางดี เซ่าหมิงยวนส่งยิ้มน้อยๆ ให้เฉียวเจา
หญิงสาวเข้าใจความหมายของเขา นางเบนสายตาไปทางอื่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากในอกอุ่นผ่าวๆ อย่างปราศจากเหตุผล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่เถี่ยจู้ก็เล่าให้พวกข้าฟังอย่างละเอียดเถอะว่าวันที่ไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ในหมู่บ้านแห่งนี้ถึงกับมีคนลอบจับตาดู แล้วขณะนี้คนที่ซ่อนตัวในที่ลับยังอยู่หรือไม่
“วันนั้น…” เถี่ยจู้หลับตาลงราวกับดำดิ่งลงสู่ห้วงความทรงจำ “วันนั้นข้าคิดได้ว่าในเรือนซิ่วเหนียงใกล้จะไม่มีน้ำใช้แล้วเลยแอบไปที่นั่น เห็นบุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนคุยกับซิ่วเหนียงตรงนอกประตูลาน”
“เขาพูดอะไร” เซ่าหมิงยวนถาม
เถี่ยจู้ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ยิน ข้ากับซิ่วเหนียง…”
เขาอึกอักเล็กน้อย ใบหน้าดำคล้ำเริ่มเป็นสีแดง “ข้ากับซิ่วเหนียงไม่กล้าให้คนในหมู่บ้านรู้เรื่องของพวกเรามาโดยตลอด ดังนั้นปกติเวลาพบกันจะระมัดระวังตัวมาก วันนั้นข้าไปหานาง เห็นมีคนยืนอยู่นอกเรือนถึงได้แต่หลบอยู่ไกลๆ รอกระทั่งคนผู้นั้นไปแล้วถึงได้เข้าไป”
“ท่านไม่ได้ถามซิ่วเหนียงว่าคนผู้นั้นเป็นใคร พูดว่าอะไรบ้างหรือ”
“ถามแล้ว ซิ่วเหนียงบอกว่าคนผู้นั้นมาถามทาง”
“เขาถามว่าเรือนสกุลเฉียวไปทางใดใช่หรือไม่” เฉียวเจาซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดจู่ๆ อ้าปากถามขึ้น
เพลานี้เถี่ยจู้ถึงสังเกตเห็นเด็กสาวที่นั่งหลบมุมอยู่ เขาอึ้งไปแล้วพยักหน้าส่งเสียงตอบในลำคอ “อื้อ เพราะหลายปีก่อนมักมีคนมาเยี่ยมเยียนสกุลเฉียวบ่อยๆ จึงมีคนถามทางไม่น้อย ด้วยเหตุนี้พวกข้าต่างไม่ได้ใส่ใจ ข้าบอกกับซิ่วเหนียงว่าตกดึกจะมาหาบน้ำให้นางแล้วก็รีบกลับไป”
“หลังจากนั้นล่ะ” เฉียวเจาถามต่อ
“หลังจากนั้น…” เถี่ยจู้มองซานจื่อแวบหนึ่ง ใบหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยความเศร้าหมอง “ข้านึกขึ้นได้ว่าวันนั้นซานจื่อจะกลับมาจากสำนักศึกษาในเมืองเลยขึ้นเขาไปล่ากระต่ายตัวหนึ่งมาทำเป็นกับข้าวให้เขา ตอนลงเขาก็เห็นคนแปลกหน้าร่างสูงใหญ่คนนั้นอีก ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าเขาแปลกๆ จึงอดมองซ้ำๆ ไม่ได้”
เฉียวเจากำมือที่วางอยู่บนตักเป็นหมัด นางแอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนถาม “เหตุใดถึงรู้สึกว่าเขาแปลกๆ”
“เขาเปลี่ยนชุดแล้วน่ะสิ” เถี่ยจู้มองเฉียวเจาพลางพูด “ตอนเขาไปถามทางกับซิ่วเหนียงสวมเสื้อคลุมยาวสีเหลืองหม่นแบบธรรมดามาก แต่พอเขาออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ของสกุลเฉียวกลับเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีดำทั้งชุด นี่มิใช่แปลกมากหรือ”
แพขนตาของเฉียวเจากระพือขึ้นลงเบาๆ
เพราะกลัวว่าจะเปื้อนคราบเลือดโดยไม่ตั้งใจถึงเปลี่ยนใส่ชุดสีดำใช่หรือไม่
คนผู้นี้อำมหิตและใจเย็นดีแท้!
“คนผู้นั้นเห็นท่านหรือไม่”
เถี่ยจู้ส่ายหน้า “ไม่เห็น คนผู้นั้นมีท่าทางรีบร้อนมาก อีกอย่างเขาเคยไปถามทางกับซิ่วเหนียง ข้าก็ไม่ค่อยอยากให้เขามองเห็นข้า ข้ารอจนคนผู้นั้นเดินห่างไปไกลแล้วถึงค่อยลงเขา คิดไม่ถึงว่าจะมีเปลวเพลิงลุกโหมแรงที่คฤหาสน์สกุลเฉียวกะทันหัน ตอนนั้นก็เป็นข้านี่เองที่ตะโกนว่าไฟไหม้ ชาวบ้านถึงได้รุดไปที่นั่น”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้เถี่ยจู้มีสีหน้าไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลจากหน้าผากหยดลงในถ้วยน้ำชาที่เขาถือไว้ เขากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย กระดกดื่มน้ำชารสขมฝาดบรรเทาความตึงเครียดในใจลง
“จนกระทั่งดับไฟได้แล้ว ข้านึกถึงคนแปลกหน้าผู้นี้ทันใด ข้ายิ่งคิดยิ่งกลัวเลยรีบไปที่เรือนของอาซิ่ว แต่เพิ่งไปถึงหน้าประตูก็เห็นซานจื่อวิ่งร้องไห้ออกมาบอกว่าอาซิ่วตกลงไปในโอ่งน้ำจมน้ำตาย…”
พอพูดถึงเรื่องนี้เถี่ยจู้เล่าต่อไปไม่ได้อีก เขาค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ขยุ้มผมและตีตนเองเต็มแรงหลายที กล่าวเสียงแตกพร่า “เป็นข้าไม่ได้ความ ปกป้องสตรีของตนเองไม่ได้ หลังเจ้าเดรัจฉานนั่นมาถามทาง ข้าก็ควรอยู่เป็นเพื่อนซิ่วเหนียงตลอด นางคงไม่ต้องโดนเจ้าเดรัจฉานนั่นฆ่าปิดปาก!”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้เจ้าอาจจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าพวกข้าเล่าเรื่องพวกนี้แล้ว” ฉือชั่นพูดเอื่อยๆ
เถี่ยจู้นิ่งขึงไป เขายิ้มขื่นๆ พลางกล่าวว่า “หากตายพร้อมกับซิ่วเหนียงได้ก็คงดี แค่ว่าคนในหมู่บ้านเห็นแล้วจะทำให้ชื่อเสียงของนางมัวหมอง”
บุรุษผู้นี้อยู่ในวัยกลางคน จอนสองข้างกลับมีผมหงอกขาวแล้ว เขานั่งยองๆ กับพื้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เด็กหนุ่มพลันเอ่ยปากขึ้น “อาเถี่ยจู้ แม่ข้าต้องอยากให้ท่านอยู่ดีมีสุขเป็นแน่ ท่านมีชีวิตอยู่ถึงจะทวงความเป็นธรรมให้นางได้นะ”
เถี่ยจู้พยักหน้า “ใช่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่ ไม่ลากตัวเจ้าเดรัจฉานนั่นออกมาทวงความเป็นธรรมให้ซิ่วเหนียง นางต้องด่าข้าว่าไม่ได้เรื่อง”
เฉียวเจาถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง อดใจรอให้เถี่ยจู้สงบสติอารมณ์กลับเป็นปกติทีละน้อยถึงเอ่ยถาม “พี่เถี่ยจู้ ท่านยังจดจำรูปโฉมโนมพรรณของคนแปลกหน้าผู้นั้นได้หรือไม่”
ซานจื่ออดหันไปมองนางไม่ได้ เขานึกในใจ แม่นางน้อยผู้นี้อ่อนวัยกว่าเขาชัดๆ กลับเรียกขานอาเถี่ยจู้ว่าพี่เถี่ยจู้ เช่นนี้มิใช่เอาเปรียบเขาหรือ
เด็กหนุ่มมองไปทางท่านแม่ทัพอีกครั้งแล้วเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรได้รางๆ
“จำได้ ถึงกลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็จำได้”
“ได้เช่นนั้นก็ดี ท่านอธิบายลักษณะของเขา ส่วนข้าจะวาดภาพเขาออกมา”