หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 406
บทที่ 406
ในหมู่ขุนนาง พวกขุนนางที่มีชั้นเชิงแพรวพราวมักกลัวคนที่ไม่อยากได้ใคร่มีและดื้อรั้นหัวแข็งเป็นที่สุด เจ้าเมืองหลี่พลันค้นพบว่ากวนจวินโหวผู้กล่าววาจารัดกุมไร้ช่องโหว่มีจุดอ่อนในเรื่องนารี ไม่เพียงไม่ขัดเคืองใจเพราะเขากลับไป ยังรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขายกยิ้มเลียบเคียงถามจากเจียงอู่ “ท่านเจียงอู่รู้หรือไม่ว่าแม่นางท่านนั้นมีความสัมพันธ์อันใดกับกวนจวินโหว”
เจียงอู่ตอบเอื่อยๆ “เจ้าเมืองหลี่ถามเรื่องนี้ผิดคนแล้ว ถึงแม้ข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกององครักษ์จินหลิน แต่มิใช่ว่าอยู่ว่างๆ ก็จะจับตาดูสตรีนางหนึ่ง”
เจ้าเมืองหลี่โดนพูดกระทบกระเทียบทางอ้อมก็ไม่กล้าชักสีหน้า เขากล่าวขึ้นเป็นการหาทางลงให้ตนเอง “ท่านเจียงอู่กล่าวได้ถูกต้อง แม่นางท่านนั้นหาได้มีความสลักสำคัญอันใดไม่”
ที่สำคัญคือกวนจวินโหวข้องแวะกับเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนนางหนึ่งตอนเดินทางมาเซ่นไหว้พ่อตา เห็นได้ว่าชาวสกุลเฉียวไม่ได้มีน้ำหนักในใจเขามากอย่างที่แสดงให้เห็น
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเรื่องสืบคดีถึงเพียงนั้นแล้ว
เสียงชนจอกสุราดังครึกครื้นในเรือนผู้ใหญ่บ้าน ทว่าภายในเรือนของหญิงขายเต้าหู้เงียบกริบจนน่าตกใจ
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าไปแล้วโบกมือเบาๆ กับอาจูและปิงลวี่
สาวใช้ทั้งสองได้รับคำสั่งจากเฉียวเจาแต่แรก พอเห็นเขาเข้ามาก็ถอยออกไปเงียบๆ
ชายหนุ่มนั่งลงด้านข้างนาง
เฉียวเจาวางถ้วยน้ำชาลง ช้อนตาขึ้นมองเขา
แววตาของเด็กสาวใสกระจ่างทั้งที่ในใจหนักอึ้ง
“เจาเจาอยากพูดอะไรหรือ”
ยามนี้เฉียวเจาเยือกเย็นลงแล้ว นางตวัดสายตามองไปข้างนอกก่อนลดสุ้มเสียงลงพูด “ข้าจดจำได้แล้วว่าคนในภาพวาดเป็นใคร”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน เขาถามเสียงเบา “ใคร”
“องครักษ์ของเจ้าเมืองจยาหนาน”
“เจ้าเมืองหลี่?”
นางพยักหน้า “ใช่ พอข้าวาดภาพนั้นเสร็จแล้วเพียงจำหน้าคนผู้นั้นได้คลับคล้ายคลับคลา แต่คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใดกันแน่ จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ตอนอยู่ที่เรือนผู้ใหญ่บ้าน ข้าเหลือบมองเข้าไปในหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจแล้วเห็นเจ้าเมืองหลี่ถึงนึกขึ้นได้ หลายปีก่อนเจ้าเมืองหลี่เคยแต่งกายเป็นสามัญชนไปเยี่ยมคารวะท่านปู่ที่สวนซิ่งจื่อ องครักษ์ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาในเวลานั้นก็คือคนในภาพ”
“องครักษ์ของเจ้าเมืองหลี่?” เซ่าหมิงยวนหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครา “กลุ่มองครักษ์ที่มาวันนี้ไม่มีคนในภาพวาดนั่น”
เฉียวเจายิ้มเยาะ “พวกวัวสันหลังหวะย่อมไม่กล้าพาฆาตกรมาด้วยแน่นอน เซ่าหมิงยวน ในเมื่อข้านึกออกแล้วก็ไม่มีทางจำผิดเด็ดขาด ครั้งนั้นเจ้าเมืองหลี่มาเยี่ยมคารวะท่านปู่ก็เพราะ…”
นางมองเขาแวบหนึ่งถึงกล่าวต่อ “เพราะข้ากำลังจะออกเรือน เขาเลยมาแสดงความยินดี”
ดังคำกล่าวว่าเรือนยาจกในเมืองใหญ่ไร้คนถามหา เศรษฐีกลางป่าลึกมีญาติห่างๆ
คู่ครองของนางเป็นถึงแม่ทัพเป่ยเจิงผู้มีบารมีรุ่งโรจน์ของต้าเหลียง ก่อนนางออกเรือน สวนซิ่งจื่อคึกคักมากอยู่นานพักหนึ่ง ทำให้ท่านปู่เบื่อหน่ายรำคาญเหลือจะทน
“มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อ” เซ่าหมิงยวนมองนางนิ่งๆ
ออกเรือน…ฟังแล้วชวนให้จิตใจหวั่นไหวนัก
เฉียวเจาไม่รู้ว่าความคิดของบุรุษข้างกายเตลิดเพริดไปไกล นางเอ่ยถาม “เช่นนั้นตอนนี้ท่านมีแผนการอย่างไร”
“สามารถก่อคดีฆ่าล้างตระกูลอย่างโหดเหี้ยมแล้วอำพรางได้อย่างแนบเนียนหมดจด คนผู้นั้นต้องเป็นบริวารที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าเมืองหลี่เป็นแน่แท้ จะตามหาคนอย่างนี้ให้พบมิใช่เรื่องยาก ตอนนี้สำคัญที่สุดคือจัดเตรียมลู่ทางให้เถี่ยจู้กับซานจื่อก่อน” เซ่าหมิงยวนถอนใจเฮือก “ข้าตั้งใจว่าจะส่งคนพาพวกเขาเข้าเมืองหลวง ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน”
เฉียวเจาไม่คัดค้าน “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ที่นี่เป็นอาณาเขตของเจ้าเมืองหลี่ พวกเรามีกำลังคนไม่มาก หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอย่างช่วยไม่ได้ ส่งพวกเขาเข้าเมืองหลวงจะปลอดภัยกว่ามาก แต่การจากถิ่นเกิดทำใจได้ยาก อีกทั้งซานจื่อก็กำลังเล่าเรียนอยู่ในเมือง…”
“เรื่องเรียนหนังสือสะสางได้ไม่ยาก ข้าจะไปถามไถ่ความเห็นของพวกเขาก่อน” เซ่าหมิงยวนมองนางแล้วพูดเสียงเบา “เจาเจา เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ เรื่องนี้ได้เค้าเงื่อนแล้ว ช้าเร็วความจริงต้องปรากฏ”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ข้าเข้าใจ อย่างน้อยๆ ตอนนี้พวกเรารู้โฉมหน้าของเจ้าเมืองหลี่แล้วยังนับว่าทันการณ์”
ถ้าเกิดเจ้าเมืองหลี่พบก่อนก้าวหนึ่งว่าเถี่ยจู้เคยเห็นฆาตกร เป็นไปได้มากว่าเขาจะถูกฆ่าปิดปากอย่างไม่ทันตั้งตัว
เซ่าหมิงยวนไม่รอช้า ส่งคนไปเชิญเถี่ยจู้กับซานจื่อมาอย่างว่องไว
“พวกข้ารู้แล้วว่าคนในภาพวาดเป็นใคร” เซ่าหมิงยวนพูดตรงเข้าเรื่องทันที
เถี่ยจู้สะดุ้งโหยง เขาถามเสียงหลงขึ้นว่า “เป็นใครหรือ”
ซานจื่อที่นั่งติดกับเถี่ยจู้กำมือเป็นหมัดแน่น
“วันนี้เจ้าเมืองมาที่นี่ พวกเจ้ารู้กระมัง”
“รู้ขอรับ ข้าเห็นแล้ว” ซานจื่อเอ่ยปากตอบ
เซ่าหมิงยวนมองพวกเขาพลางพูดด้วยสีหน้าขึงขัง “คนในภาพวาดเป็นคนของเจ้าเมืองหลี่”
เถี่ยจู้ได้ยินแล้วหน้าเผือดลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ซานจื่อกำมือเป็นหมัดแล้วปล่อยสลับกันไปมา ใบหน้าเขาขาวซีดดุจเดียวกัน
สำหรับคนอย่างพวกเขา อย่าว่าแต่ท่านเจ้าเมือง ต่อให้เป็นนายอำเภอก็คือผู้ทรงอำนาจล้นฟ้าแล้ว ที่แท้ศัตรูที่พวกเขาจะล้างแค้นคือเจ้าเมือง
เซ่าหมิงยวนรอคนทั้งคู่สงบอารมณ์ลงครู่หนึ่งอย่างใจเย็น ค่อยเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “ไม่รู้พวกเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร ยังต้องการแก้แค้นให้ซิ่วเหนียงอีกหรือไม่”
ซานจื่อเงยหน้าขึ้นกล่าวลอดไรฟัน “ศัตรูสังหารมารดาไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ถึงต้องร่างกายแหลกเหลว ข้าก็ต้องสะสางความแค้นนี้ให้ได้”
เด็กหนุ่มพูดจบแล้วมองไปทางเถี่ยจู้ “อาเถี่ยจู้ ท่านไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตรายเช่นนี้…”
เถี่ยจู้ถลึงตาใส่ซานจื่อ พูดตัดบทเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าเด็กคนนี้พูดอะไรกัน แม้ข้ากับแม่เจ้าไม่ได้แต่งงานกัน แต่ในใจข้านางก็คือภรรยา ถึงข้าไม่มีความสามารถมากมาย แต่ไม่อาจเป็นคนขี้ขลาดตาขาวให้แม่เจ้าในปรโลกก่นด่าว่าเลือกคนผิด”
เมื่อเห็นทั้งคู่มีท่าทีเช่นนี้ เซ่าหมิงยวนยกมุมปากขึ้น เขาเอ่ยถาม “พวกเจ้าเต็มใจออกจากที่นี่ไปยังเมืองหลวงหรือไม่”
พวกเขานิ่งงันไป
ไปจากที่นี่? เถี่ยจู้ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ฝ่ายซานจื่อเคยวาดฝันว่าสักวันหนึ่งจะเข้าเมืองหลวงไปสอบรับราชการ แต่สำหรับอายุของเขาในตอนนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนเร็วเกินไปละม้ายความฝันที่ไกลเกินเอื้อม
“พวกเจ้าอยากแก้แค้นให้ซิ่วเหนียงก็จะอยู่ที่นี่ไม่ได้ มีเพียงไปที่เมืองหลวงเพื่อวันหน้าจะได้ก้าวออกมาชี้ตัวเจ้าเมืองหลี่จึงจะล้างแค้นแทนนางได้”
เซ่าหมิงยวนเห็นพวกเขามีสีหน้าสับสนวุ่นวายใจแล้วกล่าวเสียงนุ่ม “วางใจได้ ข้าจะส่งคนคุ้มครองพวกเจ้าเข้าเมืองหลวง หลังจากถึงที่นั่นพวกเจ้าก็พำนักอยู่ในจวนข้า จะมีอาจารย์สอนหนังสือให้ซานจื่อโดยเฉพาะ ภายภาคหน้าซานจื่อก็เข้าร่วมสอบขุนนางในเมืองหลวงได้ ส่วนพี่เถี่ยจู้ถ้าอยากทำงาน ข้าสามารถมอบหมายหน้าที่ให้ท่านสักอย่างได้ ทั้งสองคนเห็นว่าอย่างไร”
พวกเขางงงันเป็นไก่ตาแตก
ว่าอย่างไร? ยังจะว่าอย่างไรได้เล่า ทั้งได้แก้แค้นทั้งได้มีชีวิตดั่งที่นึกฝันไว้ นอกจากตะลึงงันพวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ทั้งคู่ยังงุนงงอยู่บ้างจนกระทั่งตอนกลับไป
เฉียวเจาอดแย้มยิ้มพริ้มพรายไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพเซ่าจะมีวาทศิลป์ปานนี้”
“ข้ามีวาทศิลป์ที่ใดกัน ก็แค่เรื่องที่พวกเขาทุ่มเทสุดกำลังก็ยากจะเป็นความจริง แต่สำหรับข้าแล้วง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือเท่านั้น” เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม เขาพูดข้ามเรื่องนี้ไป “ส่งพวกเถี่ยจู้ไปที่อื่นแล้วก็นับว่าวางใจได้เสียที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารั้งอยู่ในหมู่บ้านอีก”
“แม่ทัพเซ่าคิดจะทำอะไรต่อไป”
“แล้วเจ้าล่ะ”
เขากับนางสบตากัน
เฉียวเจาเบนสายตาไปทางอื่น “แม่ทัพเซ่ายังจะทำเป็นลับลมคมในกับข้าหรือ”
“เปล่า แค่อยากดูว่าพวกเราคิดไปในทางเดียวกันหรือไม่”
เฉียวเจากระดกมุมปาก
นางไม่เล่นทายใจกับเขาหรอกนะ!
ด้วยเหตุนี้แม่นางเฉียวจึงพูดตามตรง “เยี่ยมเยือนสหาย ล่อเสือออกจากถ้ำ”
แม่ทัพหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ข้าคิดเช่นนี้เหมือนกัน เจาเจา พวกเราจิตใจตรงกันจริงๆ”