หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 408
บทที่ 408
“เดินมาตั้งนานอย่างนี้ ไม่เหนื่อยบ้างหรือ”
“พอไหว”
เซ่าหมิงยวนพิศดูเฉียวเจาอึดใจหนึ่งก่อนพูดยิ้มๆ “เจาเจา ไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าครั้งนี้ ข้าสังเกตว่าเจ้าตั้งตารอคอยอย่างมาก”
เฉียวเจามองไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ “ใช่น่ะสิ ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว”
ทั้งสองย่างเท้าเข้าสู่ตำบลไป๋อวิ๋น
ร้านอาหารเช้าหลายร้านในตัวตำบลมีลูกค้านั่งอยู่แน่นขนัด พ่อค้าหาบกระจาดเดินตะโกนเร่ขายของตามตรอกซอกซอย บรรยากาศคึกคักพลุกพล่านตามวิถีเมืองชนบทอันเรียบง่าย
“พวกเรากินอะไรเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยไปเถอะ เจ้าอยากกินอะไร” เซ่าหมิงยวนเหลียวมองรอบตัว เห็นอาหารเช้าของชาวใต้สารพัดชนิดมากมายละลานตา
“กินเส้นหมี่น้ำพะโล้สักชามเถอะ” เฉียวเจาเมียงๆ มองๆ แล้วยกมือชี้บอก “ไปร้านนั้นกัน”
มันเป็นร้านขายอาหารเล็กๆ ที่ตั้งแผงกลางแจ้ง โต๊ะกับม้านั่งที่มีอยู่ไม่กี่ตัวถูกลูกค้าจับจองจนเต็ม ซ้ำยังมีคนยืนกินอยู่ด้านข้างอย่างเนืองแน่น ขณะที่เจ้าของร้านซึ่งเป็นสามีภรรยาสูงวัยขายจนมือเป็นระวิงเหงื่อท่วมศีรษะ
เซ่าหมิงยวนยิ้มตาโค้ง “คนเยอะถึงเพียงนั้น น่าจะอร่อยมาก ว่าแต่…เส้นหมี่น้ำพะโล้เป็นอย่างไรหรือ”
เฉียวเจาช้อนตาขึ้นมองสบสายตางุนงงของอีกฝ่ายแล้วอดยิ้มหวานไม่ได้ “นึกขึ้นได้แล้ว ท่านเป็นชาวเหนือขนานแท้คงไม่เคยกินมาก่อน”
เห็นเด็กสาวผลิรอยยิ้มงามดุจบุปผา ชายหนุ่มก็ใจเต้นผิดจังหวะ เขาอมยิ้มพูดอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้นเจาเจาเลี้ยงอาหารข้าได้หรือไม่”
นางชำเลืองมองทั้งสี่ทิศรอบหนึ่งก่อนกระซิบบอก “อย่าเรียกข้าว่าเจาเจา คนอื่นได้ยินเข้าจะสงสัยได้”
มีเด็กรับใช้คนใดชื่อว่า ‘เจาเจา’ บ้าง
“พูดได้มีเหตุผล” เซ่าหมิงยวนพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวเจา เจ้าซื้อเส้นหมี่น้ำพะโล้เลี้ยงข้าสิ”
เสี่ยวเจา…
แม่นางเฉียวขมวดคิ้วแต่ก็ยอมรับคำเรียกขานใหม่นี้อย่างไม่สู้เต็มใจนัก นางเดินเข้าไปเอ่ยบอก “ท่านลุง ขอเส้นหมี่น้ำพะโล้สองชามขอรับ”
“ได้เลย…” ชายชราหยิบเส้นหมี่สองจับโยนลงในน้ำเดือดอย่างว่องไว เส้นหมี่ที่ม้วนเป็นก้อนคลายตัวออกจากกันเป็นเส้นๆ สีขาวใสนุ่มลื่น
ดวงตาของเซ่าหมิงยวนทอประกายด้วยความรู้สึกแปลกใหม่
ชายชราช้อนเส้นหมี่ขึ้นมาใส่ชามกระเบื้องลายครามปากกว้างที่เตรียมไว้แต่แรก เขายิ้มจนตาหยีเอ่ยถามขึ้น “พ่อหนุ่มมาจากเมืองอื่นกระมัง”
“เอ่อ…ขอรับ ท่านดูออกด้วยหรือ”
ชายชราฉีกยิ้มกว้าง “ใช่น่ะสิ มองหาไปทั่วทั้งตำบลก็ไม่เจอชายหนุ่มหล่อเหลาเช่นเจ้าหรอก”
เซ่าหมิงยวนหน้าแดงเรื่อ เขามองเฉียวเจาแวบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
นางเม้มปากพลางนึกในใจ เจ้าคนโง่งมผู้นี้มองนางด้วยเหตุใด หรือจะให้นางผสมโรงพูดชมเขาตามผู้อาวุโสใช่หรือไม่
ชะรอยว่ามีรูปโฉมชวนมองมักได้เปรียบจริงๆ ชายชราตักน้ำพะโล้ช้อนใหญ่ราดบนเส้นหมี่แล้วพูดอธิบายอย่างกระตือรือร้น “น้ำพะโล้นี่นะ เป็นตำรับลับเฉพาะที่ตระกูลข้าคิดค้นขึ้น ใส่เครื่องเทศถึงสามสิบกว่าชนิด เติมน้ำตาลกรวดแล้วเคี่ยวกับกระดูกหน้าแข้งหมูสามวันสองคืนถึงจะรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม”
เมื่อราดน้ำพะโล้ลงไป กลิ่นหอมฟุ้งก็ลอยมาแตะปลายจมูกทันควัน เซ่าหมิงยวนทำจมูกฟุดฟิด ยื่นมือไปรับชาม
ชายชราพูดท้วงกลั้วเสียงหัวเราะ “พ่อหนุ่มอย่าเพิ่งใจร้อน”
เขามองเฉียวเจาอย่างงุนงง
ยากนักที่จะได้เห็นคนบางคนแค่จะกินอาหารเช้าก็แสดงท่าทางเงอะๆ งะๆ นางย่อมต้องไม่ปริปากเตือน เพียงทำหน้ายิ้มๆ ไม่กล่าววาจา
ชายชราหยิบมีดที่ลับจนเป็นประกายวาววับขึ้นมา
เซ่าหมิงยวนหรี่ตาลง
อะไรกัน กินเส้นหมี่ชามเดียวยังต้องใช้มีดด้วยหรือ
ชายชราเงื้อมีดสับหมูกรอบที่ทอดจนเป็นสีเหลืองทองฉับๆ เป็นชิ้นใหญ่บางๆ หลายชิ้นวางบนเส้นหมี่ จากนั้นชี้ที่กระปุกเล็กกระปุกน้อยที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะด้านข้างพลางกล่าว “พ่อหนุ่ม อยากเพิ่มรสอะไรก็เติมเอาเองนะ ยังมีถั่วลิสงบด หน่อไม้ดอง ถั่วดองเป็นเครื่องเคียง กินกับเส้นหมี่น้ำพะโล้ของร้านเราแล้วชั้นหนึ่งเลยทีเดียว”
เวลานี้ไม่ต้องกินแกล้มกับถั่วดองหน่อไม้ดองอะไรทั้งนั้น แม่ทัพหนุ่มมองดูเส้นหมี่น้ำพะโล้ที่ใส่หมูกรอบน่าอร่อยจนพูนจานแล้วแอบกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ
เขายกเส้นหมี่สองชามที่ชายชราส่งให้ขึ้น ได้ยินลูกค้าด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “เหล่าหยาง หมูกรอบในชามเขาแทบจะล้นออกมาแล้ว เหตุใดชามข้ามีแค่ไม่กี่ชิ้นเองล่ะ”
ชายชราเหลือบมองลูกค้าที่พูดขึ้นแวบหนึ่งถึงตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ก็เขาหน้าตาหล่อเหลาน่ะสิ”
ลูกค้าโมโหยกใหญ่ “หน้าตาหล่อเหลาแล้วกินแทนข้าวได้รึ”
ชายชราหัวเราะหึๆ “นี่ก็ได้กินแทนข้าวแล้วมิใช่หรือ ใครให้เขาเกิดมารูปงามเล่า”
ลูกค้าอึ้งไป “…” ถึงกับรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่เล็กน้อย
พอดีมีคนกินเสร็จแล้วจ่ายเงิน เซ่าหมิงยวนรีบยกชามปากกว้างสองใบนั้นเข้าไปนั่ง
ด้านเฉียวเจาถือจานเล็กๆ หลายใบตามมานั่งลงข้างกายเขา
“ข้าไปหยิบให้ก็ได้” ใบหูของเซ่าหมิงยวนยังร้อนวาบๆ อยู่
ตอนอยู่แดนเหนือยามพวกชาวบ้านแสดงความขอบคุณต่อเขาอย่างล้นเหลือ เขาสามารถตอบรับได้อย่างสงบเยือกเย็น ใครจะรู้ว่าพอมาถึงแดนใต้กลับมีคนชมรูปโฉมของเขาซึ่งๆ หน้าเช่นนี้
สำหรับท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนใจอย่างไร้ข้อกังขา เผอิญว่าเป็นน้ำใจไมตรีของอีกฝ่าย เขาจะแสดงความอึดอัดใจออกมาก็ไม่ได้
อีกประการหนึ่ง…
แม่ทัพหนุ่มก้มลงมองหมูกรอบเต็มชามแล้วแย้มปากยิ้ม เห็นแก่หมูกรอบพวกนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องอึดอัดใจแล้ว
“ข้าเป็นเด็กรับใช้ เดิมก็สมควรเป็นข้าปรนนิบัติท่าน” เฉียวเจาพูดเสียงค่อย
สายตาของชายหนุ่มเต้นระริก เขายื่นหน้าไปกระซิบถามข้างหูนาง “จริงรึ เจ้าจะปรนนิบัติข้าหรือ”
สีหน้าของเฉียวเจานิ่งขึงไป นางปรายตามองเขาอย่างปึ่งชา
คนบางคนสงบปากสงบคำทันใด เขาเอ่ยเสียงเบา “อย่าโมโหนะ ไว้วันหน้าข้าปรนนิบัติเจ้าเองก็แล้วกัน”
เส้นเลือดตรงขมับของแม่นางเฉียวเต้นตุบๆ
คนผู้นี้ไม่ได้แทะโลมนางจริงๆ ใช่หรือไม่
ครั้นมองสบสายตาจริงใจของอีกฝ่าย แม่นางเฉียวชักไม่แน่ใจขึ้นมาอีก
แม่ทัพหนุ่มอมยิ้ม ยื่นตะเกียบคู่หนึ่งส่งให้ “กินเส้นหมี่”
เฉียวเจารับมาแล้วเริ่มก้มหน้าก้มตากิน
เซ่าหมิงยวนกินไปคำเดียวก็ตาเป็นประกายทันที “อร่อย”
เฉียวเจาขึงตาใส่เขา “ยามกินไม่สนทนา ยามนอนไม่พูดจา”
คิ้วเข้มพาดเฉียงของชายหนุ่มเลิกขึ้นน้อยๆ นัยน์ตาดุจดวงดาวคืนเหมันต์มองไปรอบด้าน เขายกยิ้มพลางกล่าว “ในที่เช่นนี้ไม่ถือธรรมเนียมนี้ เสี่ยวเจา ชิมหน่อไม้ดองสิ อร่อยเหลือหลาย”
เฉียวเจากัดริมฝีปาก
ดังนั้นที่บอกว่าคนผู้นี้ซื่อตรงก็เป็นคำลวงสินะ
ช่างเถอะ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา
แม่นางเฉียวกินหน่อไม้ดองคำหนึ่งแล้วกล่าวรำพึงขึ้น “รสชาติเหมือนกับในความทรงจำทุกประการ”
ดวงตาของนางฉายแววคะนึงหาแกมเศร้าสร้อย “เมื่อก่อนท่านปู่ข้าชอบกินหน่อไม้ดองมาก ท่านบอกว่ากินแกล้มสุราเข้ากันได้ดีที่สุด ตอนนั้นข้ายังตั้งใจมาขอเรียนวิธีทำหน่อไม้ดองกับท่านลุงคนนี้ น่าเสียดายที่รสชาติมักด้อยกว่าเล็กน้อยอยู่ร่ำไป”
“จริงหรือ”
“อะไรที่จริงหรือ” เฉียวเจาคิดตามไม่ทันไปในชั่วขณะ
“เจ้าทำหน่อไม้ดองเป็นจริงๆ หรือ”
เฉียวเจาไม่รู้ว่าเขาถามเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใด นางมองเขาอย่างแคลงใจพลางพยักหน้าเบาๆ
ดวงตาของชายหนุ่มทอแววระยับ เขาพูดกลั้วเสียงหัวร่อแผ่วเบา “เช่นนั้นวันหน้าเจ้าทำให้ข้ากินได้หรือไม่”
“เซ่าหมิงยวน ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” นางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่เพราะไม่กล้าเปล่งเสียงดัง ส่งผลให้ฟังดูแล้วไม่เหมือนโกรธเคืองกลับคล้ายทำแง่งอน
แม้แต่แม่นางเฉียวเองยังรู้สึกว่ามันไร้อานุภาพข่มขวัญใคร พาให้อดละเหี่ยใจไม่ได้
นางแพ้ทางให้กับความหน้าหนาของเจ้าคนผู้นี้แล้ว สมดังคำกล่าวว่าคนไม่มียางอาย ใต้หล้าไร้ผู้ต่อกร
หมูกรอบสีเหลืองทองน่าอร่อยชิ้นหนึ่งถูกวางลงในชามนาง
เฉียวเจาช้อนตาขึ้น
“หมูกรอบยิ่งอร่อย เจ้ากินมากๆ” เซ่าหมิงยวนกล่าวพร้อมยิ้มจนตายิบหยี
ดวงตาทั้งคู่ของเขางดงามมาก สีดำสีขาวตัดกันชัดเป็นประกายสุกใสดุจดวงดาวคืนเหมันต์ เวลานี้มันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นเงาสะท้อนของนางอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน
“ท่านรีบกินเถอะ ข้ากินเท่านี้ก็พอ” เฉียวเจาหลุบตาลงพลางกล่าว
ทั้งคู่กินเส้นหมี่น้ำพะโล้หมดอย่างรวดเร็วแล้วจ่ายเงินเดินออกจากร้าน
“เจาเจา”
“หือ?”
“นี่เป็นเส้นหมี่น้ำพะโล้อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมา”
แม่นางเฉียว “ก็ท่านเคยกินเส้นหมี่น้ำพะโล้ชามนี้ชามเดียว…”