หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 409
บทที่ 409
สายสืบที่ลอบสะกดรอยตามคนทั้งสองยกมือกุมอกอย่างแสนเจ็บปวดใจ
มันเรื่องอะไรกันล่ะนี่ สองคนนั้นกินเส้นหมี่น้ำพะโล้ เขาก็กินเหมือนกัน แต่ในชามอีกฝ่ายโปะหน้าด้วยหมูกรอบจนพูนชาม ส่วนชามเขามีแค่ชิ้นเดียว…ชิ้นเดียว!
ว่ากันว่าจะได้เนื้อกี่ชิ้นนั้นดูกันที่รูปโฉม…
สายสืบอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา บังคับตนเองให้ตั้งใจสะกดรอยตามต่อไป
เฉียวเจาพูดพลางเดินนำทางชายหนุ่มไป “ผู้อาวุโสท่านนี้แซ่เซี่ย ได้ยินท่านปู่เคยเอ่ยว่าสมัยวัยหนุ่ม ท่านลุงเซี่ยเคยทำหน้าที่รักษาด่านซานไห่กวน แต่เพราะได้รับบาดเจ็บถึงลาออกจากราชการกลับบ้านเดิม”
“ซานไห่กวน…” ดวงตาของเซ่าหมิงยวนทอแววลึกล้ำ เขาพูดพึมพำ “อดีตเจิ้นหย่วนโหวก็เคยประจำการอยู่ที่ด่านซานไห่กวน”
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นมองเขา
นางรู้ว่าเขาไม่กล่าวถึงเจิ้นหย่วนโหวอย่างปราศจากเหตุผล
เซ่าหมิงยวนหันมามองนาง “เจาเจา เจ้าค้นพบเรื่องที่น่าแปลกมากเรื่องหนึ่งหรือไม่”
“ท่านพูดสิ”
“เริ่มจากอู๋เหมยซือไท่โดนลักพาตัวจนกระทั่งตอนนี้ที่ไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่ของสกุลเฉียว ดูเหมือนยิ่งมายิ่งมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจิ้นหย่วนโหวผู้นั้นมากขึ้นทุกที” เซ่าหมิงยวนมองไปทางเรือนกำแพงอิฐสีเทาอมเขียวมุงกระเบื้องสีครามเบื้องหน้าสายตา มุ่นคิ้วพลางกล่าวต่อ “มันคล้ายกับเชือกพันกันยุ่งที่แม้จะหาเงื่อนปมไม่พบ ทว่าแกนกลางที่เชือกกองนี้ผูกโยงพัวพันจนแยกไม่ออกก็คือเจิ้นหย่วนโหว”
เฉียวเจาผงกศีรษะ “พอท่านพูดขึ้นมา ก็รู้สึกว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”
“เจาเจา ท่านลุงเซี่ยของเจ้าผู้นี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจิ้นหย่วนโหวใช่หรือไม่”
นางส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยินท่านปู่เอ่ยถึงนะ”
น้อยครั้งมากที่นางจะได้ฟังท่านปู่เอ่ยถึงอดีตนมนานกาเลช่วงนั้น ครั้งแรกที่รู้จักชื่อของเจิ้นหย่วนโหว ยังเป็นเพราะท่านย่าไม่ใคร่พึงใจกับคู่ครองที่ท่านปู่เลือกให้ นางถึงได้ยินโดยไม่ตั้งใจตอนพวกท่านถกเถียงกัน
“ถึงที่แล้ว” เฉียวเจาหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนเข้าไปเคาะประตู
“ใครกัน” ประตูเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งถือกระบองเขี้ยวหมาป่ายืนอยู่ด้านในประตู มองสำรวจผู้มาเยือนด้วยสีหน้าระแวงระวัง
มุมปากของชายหนุ่มกระตุกริก เขาอดหันไปมองเฉียวเจาไม่ได้
ยามเฝ้าประตูเหย้าเรือนใดกันถือกระบองเขี้ยวหมาป่าต้อนรับแขก? เขาไม่เคยมาแดนใต้ คงไม่รู้ธรรมเนียมทางนี้จริงๆ!
เฉียวเจาอึ้งงันไปดุจเดียวกัน
พอเห็นนางทำหน้าประหลาดใจ เซ่าหมิงยวนดึงสายตากลับแล้วกล่าวเสียงนุ่ม “ข้าคือกวนจวินโหว จะมาเยี่ยมคารวะท่านผู้อาวุโสเซี่ย”
“กวนจวินโหว?” ยามเฝ้าประตูมองสำรวจชายหนุ่มขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
เขาหยิบของชิ้นหนึ่งจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ “นี่คือเทียบชื่อของข้า ฝากเจ้านำไปมอบต่อท่านเจ้าของเรือนด้วย”
ยามเฝ้าประตูรับเทียบชื่อมาดูปราดหนึ่งแล้วบอกด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “รอประเดี๋ยว!”
ประตูบานใหญ่ปิดดังปัง
เซ่าหมิงยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มจนใจ “เขาสงสัยว่าเทียบชื่อของข้าเป็นของปลอมใช่หรือไม่”
แม่นางเฉียวส่ายหน้าอย่างเยือกเย็น “ไม่ใช่ ท่านอาคนเฝ้าประตูไม่รู้หนังสือ”
เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไปเล็กน้อย “…”
ไม่นานนักประตูก็เปิดออก บุรุษวัยราวห้าสิบผู้หนึ่งสาวเท้าเร็วรี่ออกมา เขากล่าวอย่างตื่นเต้น “กวนจวินโหวอยู่ที่ใดหรือ”
เซ่าหมิงยวนแสดงคารวะในฐานะผู้เยาว์ “ท่านลุงเซี่ย ท่านเรียกขานผู้เยาว์ว่าหมิงยวนก็ได้ขอรับ”
รอเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น นายท่านเซี่ยเห็นใบหน้าชายหนุ่มก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านโหวเกรงใจไปแล้ว เชิญเข้าไปสนทนากันข้างใน”
จวนสกุลเซี่ยไม่ใหญ่โตนัก การตกแต่งด้านในมิได้ประณีตอ่อนช้อยตามแบบฉบับเหย้าเรือนของชาวใต้ กลับดูโอ่อ่าแต่เรียบง่ายอย่างของชาวเหนือ
ชายหนุ่มมองสำรวจพลางเดินตามนายท่านเซี่ยเข้าไปนั่งในเรือน ส่วนเฉียวเจายืนอยู่ข้างหลังเขาเงียบๆ
“ท่านลุงเซี่ย ผู้เยาว์มาเซ่นไหว้ครอบครัวท่านพ่อตาในครานี้ ได้รับไหว้วานจากพี่เฉียวโม่ให้มาเยี่ยมคารวะ หวังว่าท่านจะให้อภัยที่ต้องรบกวนท่านขอรับ”
“ท่านโหวเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ทราบท่านโหวมาถึงเมื่อไร พักนี้ในเรือนยุ่งวุ่นวายอยู่บ้าง ข้าเลยไม่ได้ยินข่าว”
“เพิ่งมาถึงขอรับ” เซ่าหมิงยวนอมยิ้มตอบ
นายท่านเซี่ยมองชายหนุ่มอย่างใจลอยครู่หนึ่ง พอเห็นสายตาแฝงรอยงุนงงของเขาถึงกล่าวอธิบาย “ท่านโหวประพิมพ์ประพายคล้ายกับคนรู้จักของข้าที่ล่วงลับไปแล้วอยู่บ้าง”
คนเราหน้าตาคล้ายคลึงกันหาใช่เรื่องแปลก เดิมทีคำกล่าวนี้ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปได้ ทว่าเซ่าหมิงยวนกลับสะดุดใจวูบหนึ่งกะทันหัน
เขาบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกแปลกๆ เช่นนี้คืออะไร แต่เขามองข้ามมันไม่ได้ ในกาลก่อนเขาอาศัยลางสังหรณ์ที่เกือบจะเป็นสัญชาตญาณเช่นนี้นี่เองถึงรอดพ้นจากการโจมตีทำร้ายทั้งในที่ลับที่แจ้งมาได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ไม่ทราบว่าคนรู้จักที่ท่านลุงเอ่ยถึงคือผู้ใด ผู้เยาว์ชักสนใจใคร่รู้เสียแล้วขอรับ”
นายท่านเซี่ยส่ายหน้ายิ้มๆ พลางกล่าวตอบ “คนรู้จักที่ว่านั่นเป็นน้องสาวซึ่งเป็นญาติห่างๆ กันผู้หนึ่ง เอ่ยถึงไปก็เท่านั้น”
เมื่อได้ยินว่าเป็นสตรี เซ่าหมิงยวนจะถามซักไซ้ก็ไม่เหมาะสมจริงๆ
เฉียวเจาซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเซ่าหมิงยวนฟังเขากับผู้อาวุโสโอภาปราศรัยกันอย่างสงบเสงี่ยมพลันยกมือขึ้นแอบเขียนตัวอักษรสองสามตัวบนแผ่นหลังเขาว่า กระบองเขี้ยวหมาป่า
ใบหน้าชายหนุ่มไม่เผยรอยผิดปกติสักน้อยนิด เขาพูดต่ออีกหลายคำถึงทำทีไต่ถามขึ้นตามสบาย “ท่านลุง เมื่อครู่ข้ามาเคาะประตู เหตุอันใดคนเฝ้าประตูเรือนถึงถือกระบองเขี้ยวหมาป่ามาเปิดประตูขอรับ”
นายท่านเซี่ยฟังแล้วถอนใจยาวเหยียดอย่างสุดระงับ “ก็โดนพวกอันธพาลเกะกะระรานจนหมดทางเลือกน่ะสิ”
“คำกล่าวนี้หมายความว่าอะไรขอรับ” เซ่าหมิงยวนโน้มตัวไปข้างหน้า วางท่าทางตั้งใจฟังอย่างเอาจริงเอาจัง
“บุตรสาวคนเล็กของข้าชอบรำทวนกวัดแกว่งไม้กระบองตามข้าตั้งแต่วัยเยาว์ ทีแรกคิดว่าเมื่อนางออกเรือนในวันหน้า มีวรยุทธ์ติดตัวไว้ก็ไม่ต้องกลัวโดนคนรังแก ใครเล่าจะคิดถึงว่าเพราะเจ้าลูกคนนั้นฝึกวิชายุทธ์จนบ่มเพาะนิสัยโลดโผน ถึงวัยสมควรแล้วกลับไม่ยินยอมออกเรือน บอกว่าจะไปแดนใต้สังหารชาววอโค่วให้ได้” นายท่านเซี่ยพูดจบ ดวงหน้าคล้ำเล็กน้อยเป็นสีแดงเรื่อๆ “ทำให้ท่านโหวหัวเราะเยาะแล้ว”
เขายิ้มน้อยๆ “แม้นความคิดของบุตรสาวท่านจะผิดแผกจากผู้อื่น แต่มิใช่เรื่องน่าหัวเราะเยาะอันใด ที่แดนเหนือผู้เยาว์พบเห็นสตรีที่เก่งกล้าสามารถไม่แพ้บุรุษมาไม่น้อยขอรับ”
แม่นางเฉียวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเม้มมุมปาก ยกมือเขียนว่า “เคยเห็นมาเท่าไร”
ปลายนิ้วนุ่มนิ่มลากไล้ไปตามแผ่นหลังเขาทีแล้วทีเล่า เซ่าหมิงยวนเพียงรู้สึกราวกับว่านิ้วมือนั่นมีมนตร์สะกด บันดาลให้เขาใจสั่นหวิวเป็นระลอก
เขาอดยืดหลังตรงไม่ได้ ทั่วทั้งสรรพางค์กายแข็งเกร็ง แต่หัวใจอ่อนยวบยาบสลับกับร้อนวูบวาบ อยากจะไพล่มือไปจับมือเล็กซุกซนข้างนั้นมาใส่ปากกัดทีหนึ่งใจจะขาด
เฉียวเจาลดมือลงเงียบๆ
นายท่านเซี่ยเห็นชายหนุ่มไม่แสดงสีหน้าดูแคลน เขาก็พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ “เจ้าลูกผู้นั้นถึงวัยแล้วไม่ออกเรือน ผัดไปผัดมาจนอายุมากขึ้นเรื่อยๆ พักก่อนนางออกไปข้างนอก ไม่รู้ด้วยเหตุใดถึงถูกอันธพาลคนหนึ่งตามตอแย นางเพียงเตะขาของเจ้าอันธพาลนั่นหัก ใครจะรู้ว่าญาติผู้พี่ของเขาจะเป็นองครักษ์จินหลิน นับแต่นั้นมาในเรือนก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกเลย”
“องครักษ์จินหลินมาหาเรื่องท่านลุงหรือขอรับ”
“องครักษ์จินหลินยังไม่ทันมา ครอบครัวของเจ้าอันธพาลผู้นั้นก็รวบรวมนักเลงหัวไม้โขยงหนึ่งมารังควานไม่เว้นแต่ละวัน” นายท่านเซี่ยกระดกถ้วยชาดื่มคำหนึ่งอย่างกลัดกลุ้ม “หากจะสู้กันจริงๆ ใช่ว่าพวกข้าจะจัดการนักเลงหัวไม้กลุ่มนั้นไม่ได้ แต่ไล่นักเลงพวกนั้นไปแล้ว องครักษ์จินหลินก็คงจะออกโรงหนุนหลัง คนโบราณกล่าวไว้ว่าได้เป็นนายอำเภอก็ทำให้ชาวบ้านบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นถึงเจ้าเมืองก็สั่งประหารชาวเมืองทั้งตระกูลได้ แล้วนับประสาอะไรกับองครักษ์จินหลินที่แม้แต่ขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งยังต้องกริ่งเกรงเล่า”
นายท่านเซี่ยมองเซ่าหมิงยวนแล้วยิ้มฝืดๆ “ระยะนี้มารดาของนางยังล้มป่วยอีก คงได้แต่โทษที่เจ้าลูกคนนั้นไม่เหมือนสตรีทั่วไปที่ถึงวัยแล้วก็ออกเรือนไปตามธรรมเนียม ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะเกิดปัญหาวุ่นวายปานนี้ขึ้นได้”
เวลานี้เองมีสาวใช้สวมเสื้อกั๊กสีเขียวไข่กานางหนึ่งเดินพรวดพราดเข้ามา “นายท่าน ฮูหยินไอไม่ยอมหยุดเลยเจ้าค่ะ”
นายท่านเซี่ยลุกขึ้นยืน “ท่านโหวนั่งรอสักครู่ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มา”
ไม่รอให้เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากตอบ นายท่านเซี่ยก็ผลุนผลันออกไป เห็นได้ว่าห่วงใยฮูหยินของตนจากใจจริง
เซ่าหมิงยวนหันหน้าไปตั้งท่าจะพูดกับเฉียวเจา สาวใช้นางนั้นพลันกล่าวขึ้น “ท่านโหว คุณชายของข้าเชิญท่านไปดื่มน้ำชาที่สวนดอกไม้เจ้าค่ะ”