หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 410
บทที่ 410
เซ่าหมิงยวนมองสาวใช้ปราดหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นายท่านเพิ่งออกไป นายน้อยก็เชิญเขาไปดื่มชาที่สวนดอกไม้? มีเลศนัยอย่างโจ่งแจ้ง
เห็นเขาไม่แสดงท่าทีใด สาวใช้เหลือบมองหน้าประตูแวบหนึ่งอย่างฉับไวก่อนกล่าวเสียงค่อย “คุณชายบอกว่าคุณชายกับคุณหนูใหญ่สกุลเฉียวสนิทสนมกันแต่วัยเยาว์ บางทีอาจมีบางอย่างที่ท่านอยากทราบ คุณชายสามารถบอกท่านได้เจ้าค่ะ”
แววตาของเซ่าหมิงยวนขรึมลง
สนิทสนมกับเจาเจาตั้งแต่เด็ก?
ถ้าหากคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ใช่เจาเจา เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ไม่ว่าคุณชายผู้นั้นจะมีเลศนัยอันใด เขาต้องไปพบโดยปราศจากความลังเล
ทว่าตอนนี้ไยเขาต้องพาตัวไปพัวพันกับคนผู้นี้
ชายหนุ่มตวัดสายตามองสาวใช้ด้วยสายตาเย็นเยียบ นางอดหลุบตาลงไม่ได้
“ไม่…” เซ่าหมิงยวนจะอ้าปากปฏิเสธ พลันรู้สึกถึงมือข้างหนึ่งแตะเบาๆ ที่กลางหลังแล้วเขียนอักษรตัวหนึ่งอย่างว่องไวว่า ‘ไป’
เขากลืนถ้อยคำต่อจากนั้นกลับลงคอทันที ลุกขึ้นเผยรอยยิ้มบางๆ “ไม่รู้ว่าสวนดอกไม้ไปทางใดหรือ”
สาวใช้หน้าแดงในชั่วอึดใจ นางก้มหน้างุดพูดอุบอิบขึ้นว่า “เชิญท่านโหวตามข้ามาเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาสาวเท้าตามหลังเขาไปเงียบๆ เซ่าหมิงยวนจงใจเดินช้ากว่าสาวใช้สองสามก้าว เบือนศีรษะไปมองนางส่งสายตาถามด้วยสีหน้านิ่งสนิท
นางชี้ที่ผมของตนเอง
เขาก็เข้าใจความหมายของนาง
‘คุณชาย’ ที่อยากพบเขาผู้นั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง
เขาคิดถึงตรงนี้ก็ฉงนใจมากขึ้น
“ข้าอยากพบ” เฉียวเจาขยับปากพูดโดยไม่เปล่งเสียง
‘คุณชาย’ ที่รอเซ่าหมิงยวนอยู่ในสวนดอกไม้น่าจะเป็นเซี่ยเซิงเซียว บุตรสาวคนเล็กของท่านลุงเซี่ย
เซี่ยเซิงเซียวอายุน้อยกว่านางสองปี นับได้ว่าเป็นสหายสนิทก่อนออกเรือนของนาง พริบตาเดียวผ่านไปหลายปีทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย นางก็อยากเจออีกฝ่ายจริงๆ
ส่วนว่าเพราะอะไรเซี่ยเซิงเซียวเชิญเซ่าหมิงยวนไปพบหน้ากันในสวนดอกไม้นั้น เฉียวเจาเดาเหตุผลไม่ออก แต่มีจุดหนึ่งที่นางมั่นใจได้ว่าไม่ใช่เพื่อผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจอย่างเด็ดขาด
ก็นั่นคือเซี่ยเซิงเซียวผู้เป็นสหายสนิทก่อนออกเรือนเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเฉียวเจา
ถ้าหากเซี่ยเซิงเซียวเป็นคนจำพวกนั้น นางคงได้แต่โทษตนเองที่ตาบอด
“ท่านโหว คุณชายของข้าอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ” สาวใช้พาคนทั้งคู่ไปถึงสวนดอกไม้แล้วถอยออกไปเงียบๆ
เซ่าหมิงยวนทอดสายตามองไปก็เห็นคุณชายในชุดสีน้ำเงินอมเขียวยืนอยู่ข้างดอกเบญจมาศที่สวยสดงดงามกอหนึ่งไม่ไกลนัก
คนผู้นั้นยืนหันหลังให้ เพียงพินิจจากเรือนกายแล้วไม่เตี้ยกว่าบุรุษทั่วไปสักเท่าไร เขาใช้ปลายนิ้วมือเด็ดดอกไม้ด้วยอิริยาบถเป็นธรรมชาติ
ชะรอยว่าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว คนผู้นั้นหมุนกายขวับ
เซ่าหมิงยวนชะงักฝีเท้า
เฉียวเจาแตะหลังเขาเบาๆ เขาถึงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไป
“กวนจวินโหว?” คุณชายชุดสีน้ำเงินอมเขียวเอ่ยปากขึ้น
สุ้มเสียงของเขากังวานใสเสนาะหู ทอดน้ำเสียงไม่ยี่หระกว่าสตรีหลายส่วน แต่ก็ฟังละมุนละไมกว่าบุรุษหลายส่วน กระนั้นกลับกลมกลืนกับรูปลักษณ์ท่วงทีของเขาจนน่าทึ่ง
เฉียวเจารำพึงในใจ ไม่ผิดคาดจริงๆ เป็นเซี่ยเซิงเซียวสหายรักของนางอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถูกต้อง ไม่ทราบว่าคุณชายคือ…”
เซี่ยเซิงเซียวเฉไฉไม่ตอบ โยนดอกเบญจมาศแดงในมือลงพื้น แค่นเสียงกล่าว “เป็นเจ้าก็ดีแล้ว!”
สิ้นเสียงนี้นางดึงแส้อ่อนที่พันรอบเอวออกมาฟาดใส่เซ่าหมิงยวนอย่างช่ำชอง
เขารีบหลบออกด้านข้าง
เซี่ยเซิงเซียวมีฝีมือในการใช้แส้ยาวดีพอสมควร เห็นเงาแส้วูบไหวเป็นสายๆ อยู่กลางอากาศ
เซ่าหมิงยวนที่หลบหลีกแส้อยู่อดมองไปทางเฉียวเจาไม่ได้ กลับเห็นนางยืนอมยิ้มอยู่ด้านข้าง สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเซี่ยเซิงเซียวตลอด
แม่ทัพหนุ่มคับอกคับใจโดยพลัน เหตุไฉนเจาเจามองคนอื่น
เมื่อคิดไปเช่นนี้แม่ทัพหนุ่มไม่ยั้งไมตรีอีก กระโจนกายขึ้นกลางหาวเตะเท้าเกี่ยวแส้ยาวจากมืออีกฝ่ายเหวี่ยงทิ้งไปบนสวนหินไม่ไกลนัก จากนั้นม้วนกายครึ่งรอบกลางอากาศแล้วทิ้งตัวลงพื้นอย่างสง่างาม
“ออมมือแล้ว” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะคารวะเซี่ยเซิงเซียว
นางเชิดหน้าขึ้นกล่าวเสียงเยาะ “ฝีมือด้อยกว่า ไม่มีอะไรจะพูด ข้าจะจดจำที่ท่านเตะแส้ข้าทิ้งในครั้งนี้ ภายภาคหน้าต้องมีสักวันที่ข้าใช้มันเอาคืนท่านแทนอาชู”
นางกล่าวคำนี้จบแล้วหันหลังให้พร้อมกับบอกเสียงราบเรียบ “เชิญท่านโหวกลับไปเถอะ”
ในจังหวะนี้เองมีเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวดังขึ้น “เซิงเซียว! เจ้าก่อเรื่องอีกแล้วรึ”
เซี่ยเซิงเซียวตัวแข็งทื่อ
นายท่านเซี่ยเดินลิ่วๆ เข้ามาเห็นกลีบดอกเบญจมาศหล่นเกลื่อนพื้น ใบหน้าก็กระตุกริกๆ เขาบอกอย่างฉุนเฉียว “เซิงเซียว ยังไม่รีบขอขมาท่านโหวอีก”
เซี่ยเซิงเซียวเม้มปากไม่พูดไม่จา
นายท่านเซี่ยมีสีหน้าละอายใจ “ท่านโหว ข้าสั่งสอนบุตรสาวไม่ดีเอง เจ้าเด็กคนนี้ทำตัวเหลวไหลเกินไปแล้ว”
เซ่าหมิงยวนมองเซี่ยเซิงเซียวด้วยสายตาเรียบเฉยหากน้ำเสียงแฝงความประหลาดใจจางๆ “เอ๊ะ ที่แท้นี่มิใช่บุตรชายของท่าน แต่เป็นบุตรสาวหรือนี่”
เฉียวเจาหลุบตาลงแย้มปากออก
นางประจักษ์แจ้งแล้วว่าเซ่าหมิงยวนเจ้าคนผู้นี้ดูภายนอกเคร่งขรึมจริงจัง แท้จริงแล้วเป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกลนัก
สมดังคาด นายท่านเซี่ยได้ยินเซ่าหมิงยวนกล่าวเช่นนี้ก็ตีหน้าไม่ถูกทันควัน เขาอึดอัดคับใจหาที่ระบายไม่ได้เลยถลึงตาใส่บุตรสาว “เจ้าลูกตัวดียังไม่กลับห้องไปอีก”
เซี่ยเซิงเซียวพูดเสียงเย็นๆ “ท่านพ่อ ท่านเป็นคนหลุดปากเปิดโปงฐานะข้าเองนะ”
นางพูดจบแล้วเดินอาดๆ ออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
นายท่านเซี่ยสีหน้าบึ้งตึงไปหมด อยากทึ้งหนวดออกทีละเส้นใจจะขาด
เหตุไฉนเขาถึงได้โง่งมจนเปิดโปงฐานะของบุตรสาวด้วยนะ ทั้งที่กวนจวินโหวจับไม่ได้แท้ๆ
เห็นนายท่านเซี่ยอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตาแล้ว เฉียวเจามองค้อนชายหนุ่มวงหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนยกมุมปากขึ้น เขากล่าวยิ้มๆ “ท่านลุงไม่จำเป็นต้องเก็บใส่ใจขอรับ ฝีมือของบุตรสาวท่าน หากอยู่ในค่ายทหารต้องถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว”
นายท่านเซี่ยอึ้งงัน “…” นี่นับเป็นคำชมใช่หรือไม่ ขอบคุณจริงๆ!
“ท่านโหว เข้าไปคุยกันต่อข้างในเรือนเถอะ”
ทุกคนกลับเข้าโถงเรือนแล้ว นายท่านเซี่ยยังวางหน้าไม่ใคร่สนิท “บุตรสาวข้าไม่รู้ความ ทำให้ท่านโหวหัวเราะเยาะแล้วจริงๆ”
เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้ม เขาเอ่ยข้ามเรื่องนี้ไป “ท่านลุง ผู้เยาว์มาเยี่ยมคารวะในวันนี้ ยังมีเรื่องหนึ่งจะบอกกล่าวท่านขอรับ”
“ท่านโหวเชิญกล่าว”
“ข้าเดินทางมาคราวนี้พานักชันสูตรอาวุโสมากประสบการณ์ท่านหนึ่งมาด้วย เมื่อสองวันก่อนเขาได้เปิดโลงพลิกศพของครอบครัวท่านพ่อตาข้าแล้ว ตรวจพบว่าชาวสกุลเฉียวยี่สิบสี่ชีวิตล้วนโดนสังหารด้วยการปาดคอ คนที่สิ้นชีพในกองเพลิงจริงๆ มีเพียงสองคนขอรับ”
“อะไรนะ!” นายท่านเซี่ยลุกพรวดขึ้น
แรกเริ่มเดิมทีเขาทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขาเป็นแค่ชายสูงวัยนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ทว่าขณะนี้กลับมีรังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรงกะทันหัน
เซ่าหมิงยวนผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน สังหารข้าศึกนับไม่ถ้วน จึงรับรู้ถึงกลิ่นอายชนิดนี้ได้เฉียบไวที่สุด
“คำกล่าวนี้ของท่านโหวเป็นความจริงหรือ”
เขาพยักหน้า “จริงแท้แน่นอนขอรับ”
นายท่านเซี่ยนั่งลงตามเดิมอย่างเชื่องช้า “เช่นนั้นท่านโหวตั้งใจจะทำอย่างไร”
“ในเมื่อข้าสืบพบแล้วว่าครอบครัวของท่านพ่อตาถูกคนชั่วสังหาร ย่อมจะสืบหาความจริงให้กระจ่างเพื่อให้พวกท่านได้นอนตายตาหลับ”
“สมควรเป็นเช่นนี้” นายท่านเซี่ยพยักหน้าหงึกหงัก เขามองชายหนุ่มอย่างพินิจ “แต่ถ้าสืบหาเบาะแสไม่ได้ล่ะ หรือว่าผู้ที่ลงมือมีอำนาจบารมีล้นฟ้า…”
“แม้นจะยากเย็นแสนเข็ญก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจขอรับ”
“พูดได้ดี!” นายท่านเซี่ยตบโต๊ะทีหนึ่ง เขามองเซ่าหมิงยวนพลางพูดทอดถอนใจ “น้องเฉียวมีบุตรเขยเช่นท่านโหว ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้ว”
เซ่าหมิงยวนชายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งอย่างร้อนตัวก่อนเอ่ยด้วยความกระดากใจ “ท่านลุงกล่าวอย่างนี้ ข้าละอายแก่ใจเหลือเกินขอรับ”
เวลานี้เองมีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน “นายท่าน ไม่ได้การแล้ว อันธพาลที่ก่อเรื่องพวกนั้นมาอีกแล้วขอรับ”
นายท่านเซี่ยหน้าเปลี่ยนสี “รีบไปเฝ้าคุณหนูไว้ให้ดี อย่าให้นางออกไป”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “ท่านลุง ข้าออกไปดูพร้อมกับท่านเองขอรับ”