หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 411
บทที่ 411
เสียงตบประตูจวนสกุลเซี่ยดังสนั่นหวั่นไหว ยังมีเสียงตะโกนกระโชกโฮกฮากลอยมาจากข้างนอก “เปิดประตูๆ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งหลายเร่เข้ามาดูกันโดยไว สตรีสกุลเซี่ยเตะคนขาหัก คนทั้งครอบครัวกลับซ่อนตัวในเรือนเหมือนเต่าหดหัว…”
ช่วงที่ผ่านมามีละครสนุกๆ ฉากนี้ให้ชมดูบ่อยๆ จนผู้คนละแวกนี้ไม่รู้สึกแปลกใหม่ มีแค่สองสามคนยกม้านั่งมานั่งแทะเมล็ดแตงหน้าประตูเรือนอย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน
ครั้นเห็นประตูใหญ่ของสกุลเซี่ยไม่ขยับสักนิด ข้างในเงียบสนิท หัวโจกของกลุ่มก็ส่งสายตาบอกลูกสมุนผู้หนึ่ง
ลูกสมุนผู้นั้นก้าวออกไปตะโกนพูดทันที “ขืนไม่เปิดอีก พวกข้าจะถีบประตูแล้วนะ”
ข้างในยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
“จะถีบประตูแล้วจริงๆนะ”
หัวโจกง้างเท้าถีบลูกสมุนที่ตะโกนพูดอยู่ทีหนึ่ง “พูดพล่ามมากมายถึงเพียงนี้ไปด้วยเหตุใด ขืนไม่ถีบประตูอีก ข้าจะถีบเจ้าแทน”
ลูกสมุนได้ยินแล้วตะโกนคำหนึ่งทันที “บิดาเจ้าจะถีบประตูแล้ว!”
“ปึ้ง” หลังเสียงนี้ดังขึ้น ประตูบานใหญ่สั่นสะเทือนทว่ายังไม่ขยับเขยื้อน
ลูกสมุนที่ถีบประตูสะบัดขาไปมา
“ไม่ได้เรื่อง!” หัวโจกสบถด่า
ลูกสมุนที่ถีบประตูคับข้องหมองใจพอดู
ไม่ใช่เขาไม่ได้เรื่องนะ แต่หลังจากประตูใหญ่ของจวนสกุลเซี่ยโดนถีบพังไปสองครั้งก็เปลี่ยนประตูใหม่แข็งแรงทนทานขึ้นเรื่อยๆ
“ลูกพี่ ท่านดูให้ดีๆ นะ!” ลูกสมุนที่ถีบประตูหวาดหวั่นสุดใจว่าจะโดนหัวหน้าของตนรังเกียจเดียดฉันท์ เขาถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือสองทีแล้วถูมือไปมา จากนั้นตะโกนคำรามสุดเสียง “บิดาไม่เชื่อว่าจะถีบเจ้าเปิดไม่ได้”
เขาถอยหลังหลายก้าวแล้วเร่งฝีเท้าวิ่งทะยานเข้าไปง้างเท้าถีบประตูใหญ่
ประจวบเหมาะกับประตูใหญ่เปิดผลัวะออกในจังหวะนี้พอดี คนที่อยู่ข้างในเบี่ยงกายออกด้านข้างอย่างเยือกเย็น ส่วนลูกสมุนที่ถีบประตูพุ่งถลำเข้าไปศีรษะทิ่มพื้นอย่างยั้งตัวไม่อยู่ประหนึ่งลูกธนูหลุดจากแล่ง
หลังเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ลูกสมุนที่ล้มหน้าคะมำกระแทกพื้นหงายตัวขึ้นอย่างยากลำบาก ใบหน้าเขาอาบเลือด
หัวโจกของกลุ่มทั้งโกรธทั้งอับอายระคนกันไป เขาส่งเสียงด่าทอ “เจ้าเศษสวะ ยังไม่ลุกขึ้นอีก”
ลูกสมุนที่ถีบประตูพยายามตะกายตัวลุกขึ้นแล้วพูดเสียงอ้อมแอ้ม “ลูกพี่ ลุกไม่ขึ้น…”
หัวโจกถลึงตาใส่คนข้างกาย “รีบลากเขาออกมา อย่าให้อับอายขายหน้า”
รอกระทั่งมีคนลากตัวลูกสมุนที่ทำอับอายขายหน้าออกไป หัวโจกถึงมองไปทางบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตน
“เจ้าเป็นใคร” สายตายียวนของเจ้าหัวโจกมองสำรวจเซ่าหมิงยวนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างเหิมเกริม “อ้อ หรือจะเป็นคู่รักของนางยักษ์สกุลเซี่ยผู้นั้น…”
กล่าวไม่ทันจบร่างของเขาก็กระเด็นหวือออกไปละม้ายว่าวขาดลมลอยไกลถึงกำแพงเรือนเพื่อนบ้านในตรอกฝั่งตรงข้ามถึงรูดลงกองกับพื้น
หัวโจกอันธพาลที่กระแทกกับกำแพงจนมึนงงตาลายเปล่งเสียงพูดไม่ออกทันใด พวกลูกสมุนเห็นลูกพี่ของตนกลายสภาพเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสมควรทำประการใดไปชั่วขณะ
ตกลงจะเอาอย่างไรดีล่ะลูกพี่ ท่านบอกมาสักคำสิ ที่ผ่านมาลูกสมุนหางแถวอย่างข้ามิเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน!
ลูกพี่พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ “…” มีเลือดกบปากอยู่ จะพูดบอกเช่นไรเล่า
หัวโจกเอียงคอกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ในกองเลือดมีฟันสองซี่ปนอยู่
พวกลูกสมุน “…” น่ากลัวเหลือเกิน ลูกพี่ฟันหลุดหมดแล้ว วันหน้าจะกินขาหมูอย่างไร
“จับเขา…” หัวโจกยกมือชี้ไปที่เซ่าหมิงยวน
พวกลูกสมุนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
ชายหนุ่มสวมชุดสีดำสนิทขับเน้นวงหน้าคมคายชวนพิศและนัยน์ตาดุจดาวกะพริบแสง กำลังส่งยิ้มเย็นเยียบให้พวกเขาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
พวกนักเลงหัวไม้ถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่รู้ตัว
“ข้าไม่ถือสาหาความพวกเจ้า ไปบอกกับเจ้านายพวกเจ้าว่าให้คนที่หนุนหลังเขาอยู่มาด้วยตนเอง จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาทั้งสองฝ่าย” เขาพูดจบแล้วหมุนกายเดินเข้าประตูใหญ่ บอกกับยามเฝ้าประตูที่ถือกระบองเขี้ยวหมาป่าว่า “ปิดประตูเถอะ”
ตอนกล่าวคำนี้เขาหันกลับไปมองพวกนักเลงหัวไม้พร้อมพูดเสียงเย็นๆ “อย่าลืมเตือนเขาด้วยว่าตอนมาที่นี่ให้หัดเคาะประตูด้วย”
ยามเฝ้าประตูปิดประตูดังปัง สายตาที่มองเซ่าหมิงยวนฉายแววกระตือรือร้นเป็นมิตรสุดจะเปรียบ
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ กับนายท่านเซี่ย พูดอย่างนุ่มนวลสุภาพ “ท่านลุง พวกเราเข้าเรือนไปคุยกันต่อนะขอรับ”
นายท่านเซี่ยลูบๆ จมูก
แม้นเขาเคยได้ยินกิตติศัพท์อันลือลั่นของกวนจวินโหวแต่แรก แต่พอเห็นคนหนุ่มตรงหน้าแล้วในใจนึกกังขาอยู่บ้าง บัดนี้เขาเชื่อแล้ว
สมัยก่อนตอนเขาเลือดร้อนที่สุดก็น่าจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
พวกเขากลับเข้าไปในเรือนดังเก่า เซ่าหมิงยวนพูดคุยต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าตั้งใจจะพำนักในจยาเฟิงสักพัก ไม่ลากตัวฆาตกรที่สังหารครอบครัวท่านพ่อตาออกมาให้ได้ก็จะไม่กลับเมืองหลวงเป็นอันขาด หากท่านลุงรู้เบาะแสใดล่ะก็ ได้โปรดช่วยข้าอีกแรงด้วยขอรับ”
“ถ้าสามารถช่วยได้ ชาวสกุลเซี่ยทุกคนจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด” ในดวงตานายท่านเซี่ยมีรอยเศร้าโศกผุดขึ้นจางๆ “ท่านโหวคงไม่รู้ว่าความจริงข้าอายุมากกว่าน้องเฉียวไม่น้อย เมื่อครั้งที่อาจารย์เฉียวยังมีชีวิตอยู่ แม้ข้าเป็นเพียงทหารนักรบคนหนึ่ง ทว่านายท่านผู้เฒ่าเฉียวไม่รังเกียจ ถึงได้นับเป็นสหายต่างวัยกับท่านผู้อาวุโส น้องเฉียวถูกคนชั่วสังหาร ข้าจะไม่นิ่งดูดายเป็นแน่ ท่านโหวมีอะไรต้องการให้ช่วยก็บอกมาเถอะ”
เซ่าหมิงยวนชำเลืองมองเฉียวเจาทางหางตา
นางพยักหน้าเล็กน้อยแทบไม่สังเกตเห็น
ในบรรดาสหายเก่าแก่ของสกุลเฉียว สกุลเซี่ยถือว่าเป็นตระกูลธรรมดาๆ ที่สุด
นายท่านเซี่ยลาออกจากราชการเมื่อหลายปีก่อน พอจะนับเป็นชนชั้นกลางของตำบลไป๋อวิ๋นแห่งนี้ได้แบบถูๆ ไถๆ ในสายตาของคนส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ต่างจากชาวบ้านสามัญชน
แต่ท่านปู่เคยพูดกับนางว่าท่านลุงเซี่ยเป็นคนซื่อสัตย์ทรงคุณธรรม คนประเภทนี้พึ่งพาได้ในยามคับขัน
กระนั้นที่ทำให้เฉียวเจาฉงนสงสัยเรื่อยมาคือก่อนเกิดเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว พี่ใหญ่ไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่ตามคำสั่งของท่านพ่อ กลับตกหล่นแค่สกุลเซี่ยเท่านั้น
เพราะเหตุนี้นางยังเคยเจาะจงไต่ถามพี่ใหญ่ว่าในช่วงหลายปีที่นางไม่ได้อยู่ในจยาเฟิง ท่านพ่อมีเรื่องขัดใจอะไรกับท่านลุงเซี่ยใช่หรือไม่ พี่ใหญ่ก็ปฏิเสธทันที
เมื่อเป็นอย่างนี้ คำสั่งของท่านพ่อในตอนนั้นก็น่าแปลกอยู่บ้าง
เรื่องไม่ปกติย่อมมีลับลมคมใน ตอนพี่ใหญ่อยู่ที่เรือน หลังเขาออกทุกข์ก็ตระเวนเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่จนทั่วยกเว้นเรือนสกุลเซี่ยที่เดียว ดังนั้นนางจงใจมาเยือนที่นี่เป็นที่แรกเพื่อคลายข้อสงสัย
“ท่านลุงช่วยคิดทบทวนให้ดีๆ ได้หรือไม่ว่าก่อนเกิดเหตุไฟไหม้ สกุลเฉียวมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ หรือว่าท่านพ่อตาข้าเคยส่งข่าวถึงท่านบ้างหรือไม่”
นายท่านเซี่ยมองเซ่าหมิงยวนนิ่งๆ ก่อนเอ่ยถาม “ไฉนท่านโหวถึงอยากถามเรื่องนี้ นับแต่อาจารย์เฉียวสิ้นลม ครอบครัวของน้องเฉียวล้วนไว้ทุกข์ ไม่มีอะไรผิดปกติ”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ก่อนข้าออกจากเมืองหลวง พี่เฉียวโม่เคยเอ่ยกับข้าว่าท่านพ่อตาสนิทสนมกับท่านมากที่สุด”
“โม่เอ๋อร์เอ่ยถึงข้ากับท่านโหวหรือ” นายท่านเซี่ยอึ้งไป
“เคยเอ่ยถึงแน่นอนขอรับ” ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบสารฉบับหนึ่งออกยื่นส่งให้ด้วยสองมือ “นี่คือสารที่พี่เฉียวโม่ฝากข้านำมามอบต่อให้ท่านขอรับ”
เฉียวโม่เป็นคนเขียนสารก่อนออกจากเมืองหลวงจริงๆ เขาเขียนสารถึงสหายเก่าของสกุลเฉียวทุกคนคนละฉบับ ในสารไม่ได้มีถ้อยความอะไรเป็นพิเศษ นอกจากบอกว่าเซ่าหมิงยวนเป็นคนที่ไว้ใจได้ และเล่าถึงความเป็นไปของตนเองในเมืองหลวงอย่างคร่าวๆ
นายท่านเซี่ยรับสารมาเปิดออกอ่านต่อหน้าเขาแล้วไม่เอื้อนเอ่ยวาจานานครู่ใหญ่
เซ่าหมิงยวนมิได้รบกวนเขา ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
นายท่านเซี่ยพลันลุกขึ้นบอกกับชายหนุ่ม “ท่านโหวนั่งรอสักครู่ ข้าขอตัวประเดี๋ยวหนึ่ง”
ในเรือนสกุลเซี่ยมีบ่าวไพร่ไม่มาก เรือนหน้ามียามเฝ้าประตูคนเดียวเท่านั้น พอนายท่านเซี่ยออกไปที่โถงด้านหลังก็เหลือแค่เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสองคน
เขากระซิบถามนาง “เจ้าว่าท่านลุงเซี่ยออกไปทำอะไร”
เฉียวเจามองไปทางหน้าประตูพลางตอบเสียงค่อย “บางทีอาจมีอะไรบางอย่างจะมอบให้ท่าน”
ทั้งสองสนทนากันสั้นๆ ไม่กี่คำก็ไม่พูดต่ออีก
ไม่นานนักนายท่านเซี่ยก็ย้อนกลับมาอย่างเร่งร้อน