หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 417
บทที่ 417
เป็นอะไรไปน่ะหรือ
หากว่าทำได้เขาอยากจะหลอมรวมร่างของเด็กสาวข้างกายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตนโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น
“สงสัยว่าอาการพิษไอเย็นของข้าจะกำเริบอีกแล้ว” แม่ทัพหนุ่มบอกอย่างน่าสงสาร
เฉียวเจายกมือวางทาบหน้าผากเขา นางกล่าวพึมพำ “เป็นไปไม่ได้”
อาการพิษไอเย็นของเขาใกล้จะหายดีแล้วชัดๆ อีกสักพักก็ไม่ต้องฝังเข็มอีกด้วยซ้ำไป เป็นไปได้อย่างไรที่จะอาการกำเริบโดยไร้สาเหตุเล่า
เซ่าหมิงยวนหลับตาลงอย่างติดอกติดใจกับไออุ่นจากมือนางเหลือจะกล่าว แต่ก็รู้ว่าขืนเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เขาต้องกลายร่างเป็นหมาป่าทำให้แม่เด็กน้อยของเขาตกใจหนีไปจริงๆ
เขารีบถอยหลังหนึ่งก้าวออกจากโพรงหิน
“เจาเจา ตกดึกน้ำค้างแรง เร่งมือค้นหาเถอะ” เขาจุดตะเกียงที่พกติดตัวมาอีกครั้งค่อยหมุนกายไป อาศัยแสงสว่างที่แผ่จากโคมไฟซึ่งชายหญิงคู่นั้นลืมทิ้งไว้หลังวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปมองดูพงหญ้าที่โดนทับราบไปกับพื้นเป็นแถบตรงข้างสระน้ำ
เสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้พลันดังแว่วขึ้นข้างหูอีกคำรบหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง บังคับตนเองให้สงบอารมณ์ลง
เขาออกจากเรือนตั้งแต่วัยแรกรุ่นไปอยู่แดนเหนือนานเจ็ดปี มีเหตุการณ์แบบใดบ้างที่ไม่เคยประสบพบเจอ ไม่ต้องเอ่ยถึงชายหญิงที่ผูกสมัครรักใคร่กันลักลอบพลอดรักกัน แม้แต่บุรุษหลายคนรุมย่ำยีสตรีนางเดียวก็เคยเห็นมาไม่น้อย
กับเรื่องพรรค์อย่างนั้น นอกจากจะรู้สึกชิงชังอย่างลึกล้ำ ในใจเขาไม่เคยเกิดรอยกระเพื่อมไหวใดๆ สักกระผีกมาก่อน ทว่ายามที่เขาอยู่ตามลำพังในโพรงหินคับแคบกับสตรีอันเป็นที่รัก เสียงพวกนั้นกลับกลายเป็นยาปลุกกำหนัดรุนแรงที่สุด ทำให้ความยับยั้งชั่งใจของเขาพังทลายลงทันทีทันใด
เขาเคยรู้สึกว่าความรักฉันชายหญิงก็มีเพียงเท่านี้ หลังสังหารภรรยาของตนเองกับมือ เขาก็ไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับมันอีกในชาตินี้ เหตุใดบัดนี้เขากลับเริ่มต้นตั้งตารอคอยแล้วเล่า
แต่เจาเจาของข้าตอนนี้ยังเด็กเกินไปจริงๆ แม่ทัพหนุ่มครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้มเต็มอก
เฉียวเจาค้นหาตามซอกมุมทุกจุดในโพรงหินแล้วแต่ยังคงคว้าน้ำเหลว นางเอามือยันผนังหินแล้วหลับตาลง ในหัวสมองพลันปรากฏภาพร่างแผ่นนั้นทั้งหมดอย่างแจ่มชัด เปรียบเทียบมันกับโพรงหินที่อยู่เบื้องหน้าสายตา
พินิจจากลักษณะภายนอก ทุกๆ เส้นสายโค้งเว้าล้วนเหมือนกันหมด…
ประเดี๋ยวก่อน…
ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในหัวหญิงสาว นางลืมตาพรึบและยกมือเคาะผนังหินเบาๆ
นางเริ่มเคาะๆ หยุดๆ จากจุดหนึ่งจนกระทั่งไปถึงบางจุดก็หยุดนิ่งครู่หนึ่ง ค่อยเคาะอีกสองทีถึงแน่ใจว่าเสียงผิดไปจากเดิมแล้วชูตะเกียงขึ้นสูงๆ ตรวจดูอย่างละเอียดยิบ นางก็พบร่องรอยในที่สุด
เฉียวเจาออกแรงแงะก้อนหินตรงนั้นออก
จุดนั้นเป็นช่องเว้าเข้าไป มีห่อผ้าห่อหนึ่งอยู่ข้างใน
“แม่ทัพเซ่า หาเจอแล้ว” เสียงบอกแกมตื่นเต้นของเฉียวเจาดังออกไป
เซ่าหมิงยวนก้มตัวลอดเข้ามา “อย่ารีบเปิดออกนะ ให้ข้าดูก่อน”
สิ่งของที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ระวังไว้ก่อนเป็นดี
“ให้ข้าเองเถอะ เรื่องเช่นนี้ข้ารู้จักระวังตัวดี” เฉียวเจาหยิบถุงมือผ้าไหมเนื้อบางคู่หนึ่งออกจากถุงผ้าปักที่พกติดกายไว้มาสวมใส่ก่อนจะแกะห่อผ้าออก
ภายในห่อผ้าเป็นห่อกระดาษเคลือบมันบางๆ พอเปิดออกถึงเผยให้เห็นของที่เก็บซ่อนไว้จริงๆ…เป็นสมุดบันทึกบางๆ เล่มหนึ่ง
สายตาของเฉียวเจานิ่งขึงไป เป็นสมุดบัญชีอีกเล่มหนึ่งหรือนี่
สมุดบัญชีเล่มที่อยู่ในมือพี่ใหญ่บันทึกหลักฐานที่แม่ทัพคั่งวอสิงอู่หยางยักยอกเบี้ยหวัดทหาร เช่นนั้นสิ่งที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชีเล่มนี้คืออะไรอีก
เฉียวเจาหยิบมันขึ้นมาพลิกเปิดดูเร็วๆ สีหน้าของนางเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย มือที่ถือสมุดบัญชีไว้สั่นระริก
“เจาเจา ในนั้นจดบันทึกอะไรไว้บ้าง”
นางเบือนหน้าไปมองเซ่าหมิงยวน กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “บันทึกการสมคบคิดระหว่างพวกขุนนางคหบดีในแถบชายทะเลแดนใต้กับชาววอโค่ว”
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายดุดันแข็งกร้าวทันใด
เป็นสมุดบัญชีอย่างนี้เองหรือนี่ นี่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าเล่มที่พี่เฉียวโม่นำขึ้นถวายฮ่องเต้นั่นอย่างมาก
หากว่าเอาสมุดบัญชีเล่มนี้ไปถวายให้ฮ่องเต้ โอรสสวรรค์ที่ฝักใฝ่กับชีวิตอมตะจนไม่อยากเจอกับความวุ่นวายพระองค์นั้นยังจะทำละเลยเพิกเฉยได้อีกหรือไม่
“กลับไปก่อนค่อยว่ากันอีกที” เซ่าหมิงยวนตบมือนางเบาๆ
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่ รอประเดี๋ยวก่อน”
เขาหันไปมองเด็กสาวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงนใจ
นางหลุบตาลงพลิกเปิดสมุดบัญชีหน้าแรก ปากก็กล่าวว่า “ข้าท่องจำไว้ได้แล้วค่อยไป”
หลังผ่านเรื่องต่างๆ มามากมายถึงเพียงนี้ นางประจักษ์แจ้งกับคำว่า ‘ยิ่งยืดเยื้อยิ่งบานปลาย’ ดีเหลือเกิน ของสำคัญอย่างนี้เก็บไว้ที่ใดก็ไม่ปลอดภัยเท่าเก็บไว้ในสมองตน
เด็กสาวเหยียดนิ้วมือเรียวงามขาวผ่องลากไล้ไปตามทุกๆ ตัวอักษรบนสมุดบัญชี
“แม่ทัพเซ่า ขยับตะเกียงมาใกล้ๆ”
เซ่าหมิงยวนหักใจรบกวนนางไม่ได้ เขาจึงชูตะเกียงไว้ตรงจุดที่ใกล้ขึ้นเงียบๆ
เมื่อมีแสงสว่างมากขึ้น นางก็เปิดอ่านได้เร็วขึ้นตามไปด้วย
เขามองนางจนตาไม่กะพริบ คิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดที่ฉลาดไปกว่าเจาเจาอีกแล้ว
เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย นางปิดสมุดบัญชีแล้วห่อมันกลับตามเดิม “ไปกันเถอะ”
พอกลับถึงเรือนของหญิงขายเต้าหู้ เฉียวเจามอบสมุดบัญชีให้เซ่าหมิงยวน “ข้าจดจำเนื้อความในนี้ไว้ในหัวสมองแล้ว สมุดบัญชีเล่มนี้ก็มอบให้ท่านเก็บรักษาเถอะ อยู่ที่ตัวท่านปลอดภัยกว่าตัวข้า”
มาตรว่าจะอดตาหลับขับตานอนจนตอนนี้ แต่เพราะได้สมุดบัญชีมาแล้วทำให้คนทั้งคู่ปราศจากความง่วงงุนแต่อย่างใด
“แม่ทัพเซ่า ท่านว่าหากฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นสมุดบัญชีเล่มนี้แล้วจะเป็นเช่นไร”
เขาตรึกตรองแล้วกล่าวตอบ “พระทัยฮ่องเต้ยากหยั่งถึง แม้ว่าสิ่งที่บันทึกในสมุดบัญชีเล่มนี้จะน่าตกใจ แต่เป็นไปได้ว่าฮ่องเต้จะทรงคิดว่าตราบเท่าที่ชายทะเลแดนใต้ไม่วุ่นวายระส่ำระสาย การสละผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ที่ทรงเห็นว่าไม่จำเป็นไปบ้างก็ไม่ก่อความเสียหายกับส่วนรวม”
เฉียวเจาเม้มปากแน่น ไฟโทสะตรงกลางอกลุกโชน
บิดาของนางรั้งตำแหน่งข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายอยู่ในราชสำนักมาเนิ่นนาน จะไม่ล่วงรู้พระอัชฌาสัยได้เยี่ยงไร
แต่ท่านยังคงทำเช่นนั้น ยอมเสี่ยงอันตรายร้ายแรงเก็บสมุดบัญชีสองเล่มไว้ ผลสุดท้ายต้องลงเอยด้วยการสิ้นชีวิตครอบครัวล่มจม
หรือเพราะบิดาของนางโฉดเขลา ท่านจะไร้เดียงสาจนคิดว่าโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันเห็นสมุดบัญชีแล้วก็ต้องจับกุมพวกบ่อนทำลายแผ่นดินมาลงโทษตามอาญาบ้านเมืองหรือ
ไม่ใช่ ท่านพ่ออาจไม่เป็นเช่นท่านปู่ผู้ไม่ยึดติดกับสิ่งใด แต่มิใช่คนโฉดเขลาอย่างเด็ดขาด
ท่านเพียงปฏิบัติตามหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดตามคำสั่งสอนของนักปราชญ์ที่ว่า ‘ขุนนางพึงถวายความจงรักภักดีต่อกษัตริย์’ ก็เท่านั้นเอง
ทว่าขุนนางพึงถวายความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ แล้วกษัตริย์เคยนับถือให้เกียรติขุนนางบ้างหรือไม่เล่า
นางเคารพในทางเลือกของบิดา แต่รู้สึกคับแค้นแทนท่าน แทนสกุลเฉียว แทนขุนนางนับหมื่นนับพันที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อฮ่องเต้
“เจาเจา อย่าท้อใจ” บุรุษข้างกายตบไหล่นางเบาๆ
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมา
ดวงตาสีดำสนิทของเซ่าหมิงยวนฉายแววหมายมั่นปั้นมือ “ก่อนหน้ามีสมุดบัญชีที่สิงอู่หยางยักยอกเบี้ยหวัดทหาร ตอนนี้มีสมุดบัญชีที่เป็นการสมคบคิดระหว่างขุนนางคหบดีทางแถบชายทะเลแดนใต้กับชาววอโค่วอีก ข้าคิดว่าแถบชายทะเลแดนใต้ในเวลานี้อาจมิได้รุ่งเรืองสงบสุขดังเช่นที่ราชสำนักมองเห็นเพียงผิวเผินก็เป็นได้”
“ความหมายของท่านคือ…”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “เจ้าจะไปเสาะหาตัวยาทางทิศใต้พอดี พวกเราก็ไปดูให้เห็นเองกับตาว่าทางนั้นเป็นอย่างไรกันแน่”
ฮ่องเต้กลัวปัญหายุ่งยากมิใช่หรือ หากทิศใต้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล่า
สันติภาพจอมปลอมมิใช่สันติสุขที่แท้จริงวันยังค่ำ เมื่อสถานการณ์ทางแดนใต้รุนแรงถึงขั้นสั่นคลอนรากฐานของต้าเหลียง เขาไม่เชื่อว่าโอรสสวรรค์ที่ใฝ่หาชีวิตอมตะเพ้อฝันอยากครอบครองใต้หล้าตลอดกาลจะยังไม่อนาทรร้อนใจอยู่ได้!
“ได้ พวกเราหาตัวฆาตกรที่เถี่ยจู้เคยเห็นออกมาก่อน แล้วออกเดินทางไปชายทะเลแดนใต้ทันที”