หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 418
บทที่ 418
เช้าวันรุ่งขึ้นหมู่บ้านไป๋อวิ๋นโกลาหลขึ้นมากะทันหัน
“มีคนตาย!”
บุตรชายคนเล็กของเหล่าหวังทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านจบชีวิตลงแล้ว
บุตรชายผู้นี้ของเหล่าหวังเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เพียงอาศัยว่าเกิดมารูปงามมีเสน่ห์ ส่งผลให้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่สาวน้อยสาวใหญ่เป็นอันมาก
ทว่าคนผู้นี้กลับสิ้นชีพตอนกลางดึก เขาตายอยู่ตรงจุดที่ห่างจากประตูเรือนของตนไปราวสิบจั้ง
คนในหมู่บ้านตื่นนอนกันแต่เช้า คนแรกที่พบศพเขาคือเหล่าหลี่ที่อยู่เรือนติดกัน
เหล่าหลี่ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เตรียมจะไปทำไร่ไถนา คิดไม่ถึงว่าเพิ่งก้าวออกนอกประตูเรือนก็เห็นคนผู้หนึ่งนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้นไม่ไกล เขาเดินเข้าไปดูก็ตกใจที่เห็นว่าเป็นบุตรชายคนเล็กของสกุลหวังในสภาพใบหน้าเขียวคล้ำมีโลหิตไหลออกมาทางมุมปาก หมดลมหายใจไปนานแล้ว ทั้งบนลำคอยังมีรอยนิ้วมือสองนิ้ว
“สวรรค์! ต้องเป็นเพราะการเปิดโลงพลิกศพเมื่อสองวันก่อนปลุกวิญญาณอาฆาตของสกุลเฉียวขึ้นมาเป็นแน่ ตอนนี้พวกมันกลายเป็นผีดุร้ายออกอาละวาดทำร้ายคนแล้ว”
“ไม่กระมัง บนคอบุตรชายคนเล็กของเหล่าหวังมีรอยนิ้วมือสองนิ้วมิใช่หรือ”
“ก็เป็นผีที่ทิ้งรอยนิ้วมือนั่นไว้ มนุษย์จะมีเรี่ยวแรงมากถึงเพียงนั้นได้เช่นไร อีกอย่างหนึ่งหลายปีมานี้หมู่บ้านไป๋อวิ๋นของพวกเราไม่เคยเกิดเรื่องพรรค์นี้มาก่อน ไฉนเพิ่งเปิดโลงพลิกศพชาวสกุลเฉียวของสวนซิ่งจื่อก็มีคนตายทันที มิใช่ผีทำร้ายคนแล้วจะเป็นอะไร”
“นั่นสิ ตอนนั้นข้าก็เตือนผู้ใหญ่บ้านแล้วให้ห้ามท่านขุนนางพวกนั้นว่าเปิดโลงพลิกศพไม่ได้ คนถูกฝังอยู่ในดินจู่ๆ จะขุดออกมาอีกได้อย่างไรกัน ข้าอยู่มาหลายสิบปียังไม่เคยเห็นเรื่องเช่นนี้ แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ตามคาด”
เฉียวเจาติดตามพวกเซ่าหมิงยวนมาถึงนอกประตูเรือนเหล่าหวัง ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคนที่มุงดูอยู่แล้วทำหน้านิ่งสนิทดุจผิวน้ำ
ตอนท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ได้ให้ความช่วยเหลือเจือจานผู้คนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นเสมอๆ ไม่คิดว่าพริบตาเดียวชาวสกุลเฉียวจะกลายเป็นผีดุร้ายในสายตาพวกเขาไปแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านเห็นทุกคนมาถึงก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที เขากล่าวด้วยสีหน้าฝืดเฝื่อน “ท่านโหว พวกท่านรีบมาดูกันเถอะ ดูเหมือนว่าบุตรชายคนเล็กของสกุลหวังจะโดนผีร้ายฆ่าตายจริงๆ นะ”
“แจ้งทางการแล้วหรือยัง” เซ่าหมิงยวนไต่ถามเสียงขรึม
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าถี่ๆ “แจ้งแล้ว ท่านนายอำเภอทิ้งเจ้าหน้าที่ไว้ในหมู่บ้านหลายคน ข้าเลยไปแจ้งเหตุกับพวกเขาได้พอดี”
สองวันมานี้นายอำเภอหวังมาที่หมู่บ้านทุกวันเพราะเรื่องของสกุลเฉียว ยังให้เจ้าหน้าที่ทางการสองสามคนรั้งอยู่ที่นี่เพื่อแสดงว่าให้ความสำคัญกับคดีไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว คิดไม่ถึงว่ายังสืบไม่พบเบาะแสใดๆ ของคนร้ายที่สังหารชาวสกุลเฉียว ในหมู่บ้านกลับเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านคิดถึงตรงนี้แล้วถอนใจเฮือกๆ ตอนนั้นเขาควรจะยืนกรานไม่ให้คนพวกนี้เปิดโลงพลิกศพ คาดไว้ไม่ผิดเลย พอไปรบกวนวิญญาณผู้ล่วงลับเข้า หมู่บ้านไป๋อวิ๋นก็เคราะห์ร้ายเป็นอันดับแรก
เซ่าหมิงยวนมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “ผู้ใหญ่บ้าน ก่อนจะสืบเรื่องได้กระจ่างชัด พูดปรามพวกชาวบ้านไว้สักหน่อยว่าอย่าวิพากษ์วิจารณ์ไปในทำนองนี้จะดีกว่า”
เขากล่าวประโยคนี้ทิ้งท้ายไว้ก่อนเข้าไปในเรือนสกุลหวัง ศพบุตรชายคนเล็กของพวกเขาวางอยู่ใต้ต้นไม้กลางลานเรือน มีเสียงร้องไห้ดังระงมอยู่ด้านใน
พวกเจ้าหน้าที่ทางการเห็นเซ่าหมิงยวนกับคนอื่นๆ เข้ามาก็ออกไปต้อนรับอย่างกุลีกุจอ “ท่านโหว…”
เขาผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนเอ่ยกับนักชันสูตรเฉียน “ท่านเฉียน รบกวนท่านด้วย”
“เจ้าจะทำอะไร” พอเห็นนักชันสูตรเฉียนสาวเท้าไปที่ใต้ต้นไม้ สตรีวัยกลางคนผมเผ้ายุ่งเหยิงนางหนึ่งวิ่งพุ่งเข้าไปชนเขา
เฉินกวงตาไวมือไวดึงตัวชายชราไว้ได้ทัน
“นี่เจ้าจะทำอะไร” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถาม
สตรีนางนั้นจะปรี่เข้าใส่นักชันสูตรเฉียนอีก ผู้ใหญ่บ้านจึงกระทืบเท้าพลางบอก “รีบจับภรรยาของเหล่าหวังไว้สิ”
นางถูกคนด้านข้างยึดตัวไว้ก็ร้องไห้ด่าทอ “ห้ามเจ้าแตะต้องลูกข้า ข้าไม่ต้องการให้ลูกข้าตายเป็นศพไม่ครบร่างเช่นชาวสกุลเฉียว”
ใบหน้าของเฉียวเจาซีดขาว นางแค่นเสียงกล่าว “ท่านป้าไม่ต้องการให้บุตรชายตายเป็นศพไม่ครบร่าง แต่จะให้เขานอนตายตาไม่หลับใช่หรือไม่”
“เจ้าพูดอะไร” สตรีนางนั้นหันขวับไปมองเฉียวเจา สารรูปของนางกลับละม้ายผีร้าย “นอนตายตาไม่หลับอะไรกัน หากมิใช่เพราะพวกเจ้าเปิดโลงพลิกศพจนปลดปล่อยวิญญาณอาฆาตของสกุลเฉียวออกมา ลูกข้าจะถูกพวกมันทำร้ายได้อย่างไร ฮือๆๆ ผู้ใหญ่บ้าน คนพวกนี้ชักนำเภทภัยมาสู่หมู่บ้านเรา ลูกข้าโดนผีฆ่าตายไปแล้ว คนต่อไปจะถึงคราวของใครก็สุดรู้”
เมื่อถ้อยคำนี้ดังขึ้นชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็มีสีหน้าตื่นกลัว สายตาที่มองดูพวกเฉียวเจาฉายแววสับสนปรวนแปร
“พี่ซานตั้นตายแล้วหรือ” จู่ๆ มีสตรีวัยราวสิบห้าสิบหกนางหนึ่งวิ่งออกจากกลางหมู่คนพรวดพราดเข้ามา
นางเป็นเด็กสาวผิวขาวสะสวย เทียบกับสาวชาวบ้านทั่วไปแลดูงดงามโดดเด่นเหนือใคร
ขณะได้ยินเสียงของเด็กสาว สายตาของเฉียวเจานิ่งขึงไป นางอดหันหน้าไปมองเซ่าหมิงยวนไม่ได้
นางเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน เป็นเสียงที่ได้ยินตอนอยู่ในโพรงหินเมื่อคืนนี้นั่นเอง
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับนางเล็กน้อยจนแทบจับสังเกตไม่ได้ เห็นชัดว่าเขาจดจำได้เช่นกัน
พอทั้งคู่ประสานสายตากันก็หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อราตรีก่อนแล้วต่างกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง
“ซานหนี เจ้ามาได้อย่างไร” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ท่านปู่ พี่ซานตั้นตายจริงๆ หรือเจ้าคะ” เด็กสาวเดินผ่านตัวผู้ใหญ่บ้านไปแล้วมองเห็นเตียงไม้กระดานคลุมผ้าขาวอยู่ใต้ต้นไม้กลางลาน ใบหน้านางเผือดขาวราวกระดาษทันใด จากนั้นวิ่งทะยานเข้าไปดุจลมพายุระลอกหนึ่ง
ผู้ใหญ่บ้านกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “ซานหนี เจ้าเข้าไปทำอะไร กลับมาเร็วเข้า”
พวกเซ่าหมิงยวนเห็นการกระทำของเด็กสาวแล้วมองดูอยู่เฉยๆ ส่วนชาวบ้านคนอื่นตั้งตัวไม่ติดในชั่วอึดใจ ปล่อยให้นางถลันไปที่ใต้ต้นไม้ยื่นมือกระตุกผ้าขาวออก
ดวงหน้าของบุรุษปรากฏขึ้นใต้ผ้าขาว
ความจริงบุรุษที่ว่านี้ยังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น ใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลาของเขาบิดเบี้ยวไปจากเดิมด้วยความเจ็บปวด ตรงลำคอมีรอยนิ้วมือสีแดงอมม่วงสองนิ้วดูน่าสะพรึงกลัวเป็นพิเศษ
เด็กสาวร้องอุทานด้วยความตกใจพลางถอยกรูดๆ จนชนเข้ากับคนผู้หนึ่งโดยไม่ตั้งใจ นางหมุนกายไปจับตัวคนผู้นั้นไว้หมับแล้วไต่ถาม “พี่ซานตั้นตายได้อย่างไร ท่านรีบบอกข้าสิ พี่ซานตั้นตายได้อย่างไร”
คนที่ซานหนีจับไว้เป็นพี่สะใภ้คนรองของเด็กหนุ่มที่ตายไป นางโดนบีบแขนจนเจ็บก็เบะปากพูด “ตายได้อย่างไรน่ะหรือ ก็พูดกันว่าเดินอยู่บนถนนกลางดึกแล้วเจอผี เลยโดนผีร้ายบีบคอตาย”
ใบหน้าเด็กสาวปราศจากสีเลือด นางพูดเสียงแหลม “โดนผีร้ายบีบคอตาย?”
ผู้ใหญ่บ้านชักปวดเศียรเวียนเกล้าเสียแล้ว เขาตวาดเสียงห้วน “ซานหนี เจ้ารีบกลับเรือนไปเสีย!”
คนในหมู่บ้านมิได้โง่งม ซานหนีวิ่งออกมาเช่นนี้ ประเดี๋ยวคงถูกสตรีปากมากพวกนั้นซุบซิบนินทาไม่มีชิ้นดีเป็นแน่
ซานตั้นที่ตายไปมิใช่คนเอาถ่าน เขาจึงไม่ถูกใจอยู่แต่เดิม บัดนี้คนก็ตายไปแล้วจะให้หลานสาวของเขาพลอยเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้
ซานหนีไม่รับฟังคำพูดของผู้ใหญ่บ้าน นางหันศีรษะช้าๆ กลับไปมองเด็กหนุ่ม สายตาจ้องเขม็งที่รอยนิ้วมือน่ากลัวบนลำคอเขา
“ซานหนี ปู่บอกให้เจ้ากลับเรือนไป ไม่ได้ยินหรือ” ผู้ใหญ่บ้านยื่นมือไปดึงตัวนาง
เด็กสาวคล้ายโดนนาบด้วยเหล็กเผาไฟ นางสะดุ้งสุดตัวแล้วร้องโวยวายเสียงแหลม “อย่าแตะต้องข้า! มีผี มีผี…”
“ซานหนี เจ้าพูดเหลวไหลอะไร”
นางถอยหลังทีละก้าว นัยน์ตาทั้งคู่เลื่อนลอย “มีผี มีผี เมื่อคืนข้าอยู่กับพี่ซานตั้น พวกข้าสองคนเห็นแล้ว”
คำพูดนี้ดังออกจากปากนางไม่ต่างกับโยนประทัดที่จุดแล้วเข้าไปกลางฝูงชน เสียงซุบซิบอื้ออึงของผู้คนประหนึ่งเปลวไฟโหมกระพือฉับพลัน มันกลบทับความหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่มีคนตายไปจนหมดสิ้น
ผู้ใหญ่บ้านโกรธจนหูอื้อตาลาย เขากล่าวตะคอก “นางเด็กคนนี้ พูดจาอะไรเหลวไหล!”
เขาเงื้อมือขึ้นจะตีซานหนี นางตกใจจนสะดุ้งโหยงวิ่งไปหาเด็กหนุ่มที่ตายไปแล้ว คว้ามือของเขาขึ้นมาพลางออกแรงฉุด “พี่ซานตั้น วิ่งเร็วเข้า มีผีไล่ตามมานะ…ฮือๆๆ เป็นเพราะเจ้าคนเดียว ข้าบอกว่าอย่าไปสถานที่อัปมงคลอย่างเรือนสกุลเฉียวนั่น เจ้ากลับจะไปให้ได้ ต้องโทษเจ้าคนเดียวๆ…”