หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 422
บทที่ 422
เฉียวเจาเดินไปหาเขา “แม่ทัพเซ่า ท่านคิดว่าเจ้าเมืองหลี่จะลงมือคืนนี้หรือ”
เซ่าหมิงยวนทำหน้ายิ้มๆ “เป็นไปได้มาก”
“เขาจะใจกล้าถึงเพียงนี้เลยหรือ ลักลอบเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ทางการ นั่นศีรษะหลุดจากบ่าเชียวนะ” หยางโฮ่วเฉิงพูดอย่างเหลือเชื่อ
ฉือชั่นหัวเราะหึๆ “ฟ้าอยู่สูงฮ่องเต้อยู่ไกล ขอเพียงตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก ไม่ปล่อยให้มีข่าวเล็ดลอดออกไป ใครจะอยากได้ศีรษะของเขา”
ใต้หล้านี้มีพวกใจกล้าบ้าบิ่นอยู่น้อยหรือไร พรรคพวกกบฏของซู่อ๋องยังกล้าปิดล้อมกระทั่งองค์หญิงใหญ่ เจ้าเมืองหลี่ยอมจับงูข้างหางเพื่อชีวิตและอนาคตจะมีอะไรน่าแปลก
“ตัดรากถอนโคน?” หยางโฮ่วเฉิงพึมพำสี่คำนี้แล้วเพียงรู้สึกหนาวยะเยือกตรงกลางอกระลอกหนึ่ง “เขาคงไม่ฆ่าคนหมดทั้งหมู่บ้านกระมัง”
เซ่าหมิงยวนมองไปทางประตูลานเรือน “คงไม่ถึงขั้นฆ่าล้างหมู่บ้าน ทว่าในสายตาเจ้าเมืองหลี่ ชาวไป๋อวิ๋นเป็นเครื่องสังเวยอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการกำจัดพวกเรา ย่อมอ้างฐานะเจ้าหน้าที่ทางการอย่างเปิดเผยไม่ได้แน่นอน”
“ถิงเฉวียน เจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่” หยางโฮ่วเฉิงถูมือไปมาพลางเอ่ย
เซ่าหมิงยวนหันไปมองเฉียวเจา “เจาเจา เจ้าเห็นว่าคนพวกนั้นน่าจะแสดงตัวด้วยวิธีแบบใดมากที่สุด”
นางหลุบตาลงมองมือตนเอง นิ้วมือขาวกระจ่างเปื้อนฝุ่นเล็กน้อยตอนถือท่อนเหล็กเขี่ยไฟเมื่อครู่
หญิงสาวกล่าวอย่างเยือกเย็น “ปัญหานี้ข้าตรึกตรองซ้ำๆ ระหว่างทางที่กลับมาแล้ว ข้ารู้สึกว่าหากเจ้าเมืองหลี่กล้าลงมือ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากออกหน้าเอง เช่นนั้นเป็นไปได้มากว่าเขาจะให้คนพวกนั้นปลอมตัวเป็นโจรเร่ร่อนออกอาละวาด”
“โจรเร่ร่อน?” ฉือชั่นได้ยินคำนี้แล้วนัยน์ตาเขาทอประกายเย็นเยียบน่ากลัว
ครั้งนั้นพวกที่ทำให้พวกเขาสองแม่ลูกเกือบต้องจบชีวิต มิใช่อ้างเป็นโจรเร่ร่อนบังหน้าหรือไร เขาสมควรคิดได้แต่แรก!
หยางโฮ่วเฉิงแจ่มแจ้งในบัดดล “ไม่ผิด ไม่มีฐานะใดที่ตบตาคนได้ดีกว่านี้แล้ว โจรเร่ร่อนมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นก็ต้องเกิดการปะทะกับพวกเราอย่างแน่นอน หากสังหารพวกเราได้หมดแล้วหลบหนีลอยนวลไป เจ้าเมืองหลี่อย่างมากก็มีความผิดฐานรักษาความสงบไม่ดี ไม่ใคร่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาโดยสิ้นเชิง คุณหนูหลี ท่านคิดออกได้อย่างไร”
“คิดไปเรื่อยๆ ก็คิดออกแล้ว” เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ
สำหรับคนอื่นๆ ความจริงเบื้องหลังเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวเป็นเรื่องเรื่องหนึ่งที่พูดคุยกันได้โดยไม่รู้สึกรู้สา แต่สำหรับนางแล้วมันคืออดีตที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวช่วงหนึ่ง
นางทุ่มแรงกายแรงใจที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับเรื่องนี้ จะคิดในสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึงได้มีอะไรน่าแปลกเล่า
“ถิงเฉวียน เจ้าคะเนว่าฝ่ายนั้นจะส่งคนมาเท่าไร” หยางโฮ่วเฉิงเอ่ยถาม
เซ่าหมิงยวนยักคิ้วยิ้มๆ “จะเล่นงานข้า ถ้าให้แน่ใจว่าไม่ผิดพลาด คงไม่ต่ำกว่าร้อยคนกระมัง”
“ร้อยคน?” หยางโฮ่วเฉิงกระเด้งตัวขึ้นทันที เขาทึ้งผมตนเองทีหนึ่ง “อย่างนั้นคนของพวกเราไม่แคล้วต้องจบเห่จริงๆ”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนไม่แปรเปลี่ยน แววตานิ่งขรึมยิ่ง “หากผู้ใต้บังคับบัญชาที่เจ้าพามาป้องกันตนเองได้ก็ไม่เป็นไร”
หยางโฮ่วเฉิงถอนใจเฮือก “สู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งอาจจะยังไหว แต่ถ้าสู้แบบสองต่อหนึ่งหรือสามต่อหนึ่ง เจ้าตั้งความหวังกับหมอนปักลายพวกนั้นได้หรือ”
“ที่ข้าเป็นห่วงจริงๆ คือชาวบ้านพวกนี้” เฉียวเจาอ้าปากพูด
หลายวันมานี้คนในหมู่บ้านเล่าลือเรื่องเรือนสกุลเฉียวมีผีโดยตลอด ถึงแม้เฉียวเจาได้ยินแล้วโกรธเคืองอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีความผิดร้ายแรง หากพวกเขาต้องมาพลอยฟ้าพลอยฝนจบชีวิตลง นางคงไม่สบายใจแล้ว
“ความปลอดภัยของชาวบ้านเป็นปัญหาหนึ่ง ดีที่พวกเรามาพำนักที่เรือนของหญิงขายเต้าหู้ เรือนนี้แยกออกมาโดดๆ อยู่ทางสุดทิศตะวันตก ต่อให้คนพวกนั้นจะใช้วิธีปล้นฆ่าวางเพลิงเพื่อให้การปลอมเป็นโจรเร่ร่อนดูสมจริงก็ต้องหลังจากที่กำจัดพวกเราได้แล้ว ก่อนหน้านี้หากพวกชาวบ้านไม่ออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นตอนดึกดื่น ก็จะรับรองความปลอดภัยได้ชั่วคราว” เซ่าหมิงยวนกล่าว
หยางโฮ่วเฉิงเบ้ปาก “หากพวกเราต้านทานไม่ไหวจริงๆ เล่า ชาวบ้านพวกนั้นจะทำอย่างไร”
ฉือชั่นยิ้มเย็นๆ “หยางเอ้อร์ ดูไม่ออกว่าเจ้ายังเป็นคนเมตตาปรานีด้วย ถ้าพวกเราต้านทานไม่อยู่จริงๆ ก็กลายเป็นผีอายุสั้น ยังจะสนใจอะไรมากมายปานนั้นได้อีกที่ใดกัน”
หยางโฮ่วเฉิงถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ตายในที่พรรค์นี้ก็ไร้ศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว เป็นบุรุษต้องห่อศพด้วยหนังม้าสิถึงมีเกียรติมากกว่ากันตั้งเยอะ”
ตายอย่างคับอกคับใจแล้วยังต้องถูกหัวเราะเยาะว่าโดนโจรเร่ร่อนสังหาร เขาไม่เอาด้วยหรอกนะ
เห็นสหายรักทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ฉือชั่นกลอกตาขึ้นอย่างระอาใจ เขาแค่นเสียงพูดว่า “วางใจเถอะ พวกเราไม่เป็นไรแน่ คนพวกนั้นบุกมา จะไม่ปล่อยให้รอดกลับไปแม้สักคน”
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้าง “ไม่ใช่กระมัง อาศัยพวกเราแค่สิบกว่าคนนี้น่ะหรือ แม้ถิงเฉวียนจะเก่งกาจ ทว่าเขาพาแต่เยี่ยลั่วกับเฉินกวงมา สองหมัดยากจะต่อกรสี่มือนะ!”
ฉือชั่นชายตามองเฉียวเจาก่อนพูดเรียบๆ “อาศัยว่าถิงเฉวียนไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับหลีซาน”
“เอ๊ะ?” หยางโฮ่วเฉิงอดมองไปที่นางไม่ได้
เฉียวเจาทำหน้าตะลึงงัน คาดไม่ถึงว่าฉือชั่นจะกล่าวเช่นนี้
เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงหัวร่อเบาๆ “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับพวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง”
ตรงเชิงกำแพงเมืองเยี่ยนที่แดนเหนือ เขาต้องปลิดชีพภรรยาโดยไม่มีทางเลือกใดๆ ความเจ็บปวดเช่นนั้นเพียงพอจะทำให้เขาจดจำจวบจนวันตาย แล้วเขาจะกระทำผิดพลาดเฉกนี้ซ้ำสองอีกได้เช่นไร
ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย “ถิงเฉวียน เจ้าเลิกทำลับลมคมในเสียที บอกมาเถอะว่ามีแผนสำรองอะไรไว้”
เซ่าหมิงยวนมองเยี่ยลั่วที่อยู่ห่างไปไม่ไกลแวบหนึ่งถึงกล่าวยิ้มๆ “องครักษ์ของข้าเป็นคนที่สู้ได้แบบห้าต่อหนึ่งทั้งสิ้น”
ที่เขาบอกว่าสู้ได้แบบห้าต่อหนึ่งหมายถึงประจันหน้ากับชาวต๋าจื่อของเป่ยฉีที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายโหดเหี้ยม ไม่ว่าเจ้าเมืองหลี่จะเรียกทัพหนุนจากที่ใด เขาเชื่อว่าไม่มีทางดุร้ายโหดเหี้ยมไปกว่าชาวต๋าจื่อ
“ถึงจะสู้ได้แบบห้าต่อหนึ่ง แต่พวกเจ้ามีกันแค่สามคนนะ” หยางโฮ่วเฉิงนับนิ้วไปมาจู่ๆ ก็ยิ้มออกแล้ว “ถิงเฉวียน เจ้านับข้าด้วยใช่หรือไม่ แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ รวมกับองครักษ์จินอู๋พวกนั้น พวกเราก็รับมือได้หลายสิบคนเป็นอย่างมาก…”
“เจ้ายกหางตนเองจริงๆ” ฉือชั่นพูดเยาะ
หยางโฮ่วเฉิงไม่ชอบใจเสียแล้ว “นี่เป็นการยกหางตนเองอย่างไรกัน ไม่นับถิงเฉวียนกับองครักษ์สองคนของเขา ในบรรดาพวกเราข้ามีฝีมือดีที่สุด ดังคำกล่าวว่าเลือกคนสูงจากหมู่คนเตี้ย ก็ต้องยกให้ข้าแล้ว”
“ใช่ๆๆ เจ้าตัวสูงที่สุดในหมู่คนเตี้ย พอใจแล้วกระมัง” ฉือชั่นคร้านจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย เขามองไปทางเซ่าหมิงยวน
เขาประจักษ์แจ้งดีเรื่อยมาว่าในด้านนี้พวกตนห่างชั้นจากเซ่าหมิงยวนไกลลิบ
เซ่าหมิงยวนไม่อยากให้สหายรักสองคนต่อปากต่อคำกันอีก เขาจึงกล่าวเสียงเบาๆ ขึ้นว่า “ขอบอกพวกเจ้าอย่างไม่ปิดบัง เดินทางลงใต้มาหนนี้ ข้าพาองครักษ์มาด้วยสามสิบคน”
การเดินทางสู่แดนใต้ในคราวนี้ ด้วยตำแหน่งฐานะของเขาก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไหวในราชสำนักได้ง่าย พาองครักษ์มาด้วยจำนวนมากจะเป็นที่หวาดระแวงของเบื้องบน ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นล้วนไม่อาจเผยตัวในที่แจ้ง ได้แต่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านทั่วไปติดตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ฉือชั่นทำสีหน้าเป็นเชิงว่าไม่ผิดจากที่คาดไว้ เขารู้อยู่แล้วว่าเซ่าหมิงยวนใจเย็นถึงเพียงนี้จะต้องเตรียมการมาเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นหญิงในดวงใจอาจมีอันตรายถึงชีวิต ไหนเลยจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเฉกนี้อยู่ได้เล่า
หยางโฮ่วเฉิงอึ้งไปแล้วอ้าปากหัวเราะ “เป็นเช่นนั้นก็ดีเลย คืนนี้พวกเราได้สู้อย่างหนำใจแล้ว”
การต่อสู้โดยปราศจากความตึงเครียดย่อมต้องดีกว่าโดนรุมล้อมโจมตีข้างเดียวมากนัก หยางโฮ่วเฉิงคิดไปเช่นนี้ก็ถึงกับเริ่มคันไม้คันมือแล้ว
บรรยากาศรอบกายพวกเขาผ่อนคลายลงทันใด
“ข้าไปกำชับกับผู้ใหญ่บ้านไว้สักหน่อย” เซ่าหมิงยวนเดินออกจากประตูลานเรือน
ม่านราตรีคลี่คลุมลงทีละน้อย เพราะข่าวลือว่าเรือนสกุลเฉียวมีผียิ่งมายิ่งหนาหูขึ้นทุกที เป็นเหตุให้ชาวบ้านทั้งหลายปิดประตูเรือนกันแต่หัววัน ทั่วทั้งหมู่บ้านเงียบเชียบ ไม่มีคนย่างเท้าออกนอกลานเรือนสักก้าว
จันทร์กระจ่างกลางหาวหลบเร้นอยู่หลังเมฆดำตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
คนชุดดำกลุ่มหนึ่งอาศัยความมืดบดบังกายมุ่งหน้าตรงไปทางท้ายหมู่บ้านอย่างลับๆ