หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 427
บทที่ 427
มือธนูมีมากถึงหนึ่งร้อยคน นอกเหนือจากนี้ยังมีทหารซึ่งจับจ้องพวกเจ้าเมืองหลี่อย่างไม่วางตาอีกเกือบพันคน
เจ้าเมืองหลี่หน้าถอดสีไปถนัดตา เขาตวาดถาม “พวกเจ้าเป็นใครกัน!”
บุรุษวัยกลางคนเรือนกายบึกบึนผู้หนึ่งก้าวออกมาอยู่ด้านหน้ากลุ่มคน ชายหนุ่มรูปงามล้ำเหลือผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคือฉือชั่นที่หายตัวไปนานครึ่งค่อนวันนั่นเอง
สายตาของเจ้าเมืองหลี่ตรึงแน่นอยู่ที่ใบหน้าบุรุษเรือนกายบึกบึน
คนผู้นั้นกล่าวเสียงขรึม “ได้ยินคุณชายฉือมาแจ้งว่ามีโจรเร่ร่อนบุกมารังควานหมู่บ้านไป๋อวิ๋น เซียวเฉียงรองผู้บัญชาการมณฑลทหารจยาหนานจึงมุ่งหน้ามาปราบโจร!”
เจ้าเมืองหลี่ตัวเซวูบ
เหตุใดเซียวเฉียงรองผู้บัญชาการมณฑลทหารจยาหนานถึงเอาตัวเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้
มุ่งหน้ามาปราบโจรอะไรกัน ถ้าเซียวเฉียงไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เขาจะตัดศีรษะตนเองออกให้คนอื่นใช้เตะแทนลูกหนังเลย!
เหตุใดเซียวเฉียงถึงยอมเสี่ยงที่จะล่วงเกินเขาหรือที่สำคัญกว่าคือล่วงเกินสมุหราชเลขาธิการหลันเพื่อมาช่วยกวนจวินโหว
เจ้าเมืองหลี่เค้นสมองคิดอย่างหนักก็ไม่เข้าใจ
เวลานี้เองเสียงหัวร่อเบาๆ ดังลอยมา เขาได้ยินจึงหันไปมอง พบว่าเป็นเจียงอู่ที่เปล่งเสียงหัวเราะ
เจียงอู่ในขณะนี้มีโลหิตเปรอะไปทั่วชุดแพรบนกาย ข้างแก้มขาวเกลี้ยงดุจหยกเย็นเปื้อนรอยเลือดเป็นริ้วๆ กอปรกับแววตาเหี้ยมเกรียมเย็นชาดุจน้ำแข็ง ชวนให้อกสั่นขวัญผวาอย่างไร้สาเหตุ
เจ้าเมืองหลี่มองดูเจียงอู่จนลืมกล่าววาจาไปชั่วขณะ
เจียงอู่พลันสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ในระหว่างที่ข้าอยู่ในจยาเฟิงนี้ได้ใต้เท้าหลี่คอยช่วยเหลือดูแล จะขอตอบแทนน้ำใจของท่านในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ท่านคงอยากรู้เป็นอันมากใช่หรือไม่ว่าเพราะอะไรเซียวเฉียงรองผู้บัญชาการมณฑลทหารจยาหนานถึงมุ่งหน้ามาช่วยเหลือ”
“เพราะอะไร” เจ้าเมืองหลี่เปล่งเสียงพูดคำนี้ช้าๆ วันนี้ต้องปราชัยเป็นที่แน่นอนแล้ว ถึงเขาจะตายก็ขอรู้เหตุผลที่ตายด้วย
เจียงอู่หัวเราะในลำคอ “เพราะว่ารองผู้บัญชาการเซียวเฉียงมีบุตรชายผู้หนึ่งปฏิบัติงานอยู่ใต้อาณัติของกวนจวินโหว อ้อ โทษมิได้ที่เจ้าเมืองหลี่จะไม่รู้ ก็เรื่องนี้เป็นความลับพอดู”
เขามองเจ้าเมืองหลี่ที่มีสีหน้าท้อแท้สิ้นหวังปราดหนึ่งถึงพูดต่อท้ายอีกคำ ยั่วอีกฝ่ายให้โกรธแทบคลั่งแต่ทำอะไรไม่ได้ “นอกจากตัวรองผู้บัญชาการเซียวเองแล้ว น่าจะมีแต่พวกข้าองครักษ์จินหลินที่ล่วงรู้กระมัง”
พอกล่าวถึงตรงนี้เจียงอู่พลันตะเบ็งเสียงดังขึ้นกะทันหัน “รองผู้บัญชาการเซียว หลี่จงอวี้เจ้าเมืองจยาหนานสมคบคิดกับโจรเร่ร่อนร่วมมือกันก่อกรรมทำเข็ญ เจียงอู่แห่งกององครักษ์จินหลินขอร้องให้รองผู้บัญชาการเซียวช่วยพวกข้าอีกแรงหนึ่ง จับกุมคนชั่วมาดำเนินคดี”
ไม่เห็นข้าเจียงอู่อยู่ในสายตารึ หมายให้บิดาถูกฝังเป็นเพื่อนกวนจวินโหว?
ฮึ ไม่กำจัดพวกปัญญาทึบเยี่ยงพวกเจ้าให้สิ้นซากในคราวเดียว คงไม่รู้พิษสงขององครักษ์จินหลินเสียแล้ว!
“ข้าต้องทุ่มเทกำลังปราบโจรชั่วให้ราบคาบอย่างเต็มที่แน่นอน” เซียวเฉียงชูมือขึ้น
เหล่าทหารที่มากับเจ้าเมืองหลี่ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก
เซ่าหมิงยวนหัวเราะเสียงดังแล้วพูดขึ้นในจังหวะนี้ “พี่น้องทุกท่านไม่เตรียมตัวช่วยท่านรองผู้บัญชาการมณฑลทหารหรือ อ้อ จริงสิ ข้อเสนอของข้าเมื่อครู่นี้ยังยืนยันดังเดิมนะ”
ข้อเสนอ…ข้อเสนออะไร แน่นอนเป็นข้อเสนอที่ว่าใครอุดปากเจ้าเมืองหลี่ได้ตกรางวัลหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน!
อย่าว่าแต่มีข้อเสนอนี้ ถึงไม่มีข้อเสนอนี้ กวนจวินโหวก็เปิดทางลงให้พวกเขาแล้ว
ตอนนี้หากไม่เร่งรีบแสดงท่าที หรืออยากโดนมือธนูที่รองผู้บัญชาการเซียวนำมายิงธนูใส่จนพรุนทั้งร่าง หากจุดสำคัญคือต่อให้โดนธนูเสียบพรุนทั้งร่างก็ไม่ได้รับแม้แต่เบี้ยเยียวยา ซ้ำร้ายต้องโดนตราหน้าว่าสมคบคิดกับโจรเร่ร่อน
เมื่อเป็นเรื่องของตนเองไม่มีใครสักคนที่โง่งม สิ้นเสียงเซ่าหมิงยวนไม่ทันไร เจ้าหน้าที่ทางการนับไม่ถ้วนพากันกรูเข้าใส่เจ้าเมืองหลี่
เซียวเฉียงลดมือลง เป็นขุนนางอยู่ในอาณาเขตจยาหนานเหมือนกัน ไม่ต้องลงมือกับเจ้าหน้าที่ทางการพวกนี้ได้ย่อมดีกว่า เพียงจับตัวพวกเจ้าเมืองหลี่ที่เป็นผู้กระทำความชั่วคนสำคัญก็กลับไปรายงานตัวได้แล้ว
กวนจวินโหวมีบุญคุณช่วยชีวิตและส่งเสริมบุตรชายของเขา เขาไม่อาจไม่ตอบแทนน้ำใจนี้ของอีกฝ่าย
อีกประการหนึ่ง…
เซียวเฉียงมองดูสีหน้าแตกตื่นลนลานของเจ้าเมืองหลี่แล้วแววตาปึ่งชาไปโดยพลัน
เจ้าหลี่จงอวี้ผู้นี้ออกจะกำแหงเกินไป มีสมุหราชเลขาธิการหลันซานหนุนหลังก็กล้ากำจัดพวกกวนจวินโหวให้สิ้นซาก ยังมีชาวบ้านไป๋อวิ๋นอีก หลี่จงอวี้อ้างว่าโจรเร่ร่อนก่อความวุ่นวายบังหน้า เตรียมจะก่อเหตุนองเลือดในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นใช่หรือไม่
คนเยี่ยงนี้เดิมก็มีโทษสมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง
เซียวเฉียงยืนเอามือไพล่หลัง เขาเบนสายตาไปที่ตัวเจียงอู่อีกคำรบหนึ่ง
เหตุใดองครักษ์จินหลินถึงเข้ามายุ่งเกี่ยว ทั้งยังลงเรือลำเดียวกับกวนจวินโหว เขาฉงนใจอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นเรื่องดี
พอมีคำกล่าวประโยคนั้นของเจียงอู่ แทนที่เขาจะเป็นตัวตั้งตัวตีก็กลายเป็นผู้ช่วยกององครักษ์จินหลินทำคดี เมื่อเป็นอย่างนี้ถึงเวลาถ้าสมุหราชเลขาธิการหลันซานบันดาลโทสะ ก็จะมีเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินอยู่ข้างหน้าสกัดไฟโทสะไว้ให้
เซียวเฉียงมองไปทางกวนจวินโหว
กลางกองทหารนับพัน ร่างคนหนุ่มผู้นั้นสูงเด่นผึ่งผาย สายตาเย็นเยือก มุมปากประดับรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านราวกับว่าความสับสนวุ่นวายตรงหน้าไม่ส่งผลใดๆ ต่อเขาแม้สักเศษเสี้ยว
เขาถึงขั้นเหลียวไปมองประตูลานเรือนเบื้องหลัง ยามที่หันศีรษะกลับมา มีแววอ่อนโยนผุดขึ้นในดวงตาวูบหนึ่ง
เซียวเฉียงถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างสุดระงับ
นี่ก็คือกวนจวินโหวผู้ที่ราษฎรต้าเหลียงในแดนเหนือเห็นเป็นเทพสวรรค์ สมคำเล่าลือโดยแท้
ทอดสายตามองไปทั่วหล้า ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีทหารนักรบมากมายประหนึ่งดวงดาวบนฟ้า ทว่าคนที่เทียบเคียงคนตรงหน้าผู้นี้ได้น่าจะเป็นเจิ้นหย่วนโหวเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว
เพียงน่าเสียดาย…
เซ่าหมิงยวนคล้ายรับรู้ได้ เขาเบนสายตามองไปที่เซียวเฉียง
เซียวเฉียงดึงความคิดคืนมา ประสานมือคารวะเขาจากระยะไกล
ชายหนุ่มคารวะตอบ เขาเห็นว่าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมโดยสิ้นเชิงแล้วก็หมุนกายเดินเข้าลานเรือนทันที
เฉียวเจาเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอก นางเอ่ยถามเฉินกวง “ยุติลงแล้วใช่หรือไม่”
“น่าจะยุติแล้วขอรับ” เฉินกวงพลันขมวดคิ้ว “มีคนมาแล้ว คุณหนูหลีลองเดาดูสิว่าเป็นใครขอรับ”
นางพิศดูสีหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น “แม่ทัพเซ่า?”
เฉินกวงฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาวทั้งปากทันใด “ถูกต้อง เป็นท่านแม่ทัพของพวกเรานั่นเอง เสียงฝีเท้าของท่านแม่ทัพคุ้นหูข้าดี…”
แย่แล้ว พลั้งปากจนได้ ตอนแรกอยากจะดูคุณหนูหลีเป็นห่วงท่านแม่ทัพสักหน่อย
เซ่าหมิงยวนปรากฏกายขึ้นตรงหน้าประตู
เฉินกวงลุกลนวิ่งออกไป “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสามรอคอยท่านอยู่ตลอด พวกท่านคุยกันตามสบายนะขอรับ”
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าไปอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก “เฉินกวงจะวิ่งไปที่ใด”
“คงจะเป็นวัวสันหลังหวะกระมัง” เฉียวเจาเดินเข้าไปหาเขา
“หือ?” เขางงงันไป
นางไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เพียงมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่งแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านบาดเจ็บแล้วหรือ”
“เปล่า ล้วนเป็นเลือดของคนอื่น…” เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
“เป็นอะไร”
แม่ทัพหนุ่มสูดปากเบาๆ ทีหนึ่ง “เจ็บตรงไหล่ซ้ายอยู่บ้าง”
ปกติแผลเล็กๆ พวกนี้ในสายตาของเขาล้วนไม่นับว่าบาดเจ็บ แต่จังหวะนี้ไม่ให้เจาเจาสงสารเขาสักหน่อย เขาก็เป็นคนโง่แล้ว
“ข้าขอดูหน่อย” เฉียวเจาได้ยินก็ขมวดคิ้วจริงๆ นางเขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วยกมือดึงเสื้อของเขาลงเบาๆ เผยหัวไหล่ซ้ายออกมา
เซ่าหมิงยวนหน้าแดงเรื่อๆ “เลือดทั้งนั้น เปื้อนมือเจ้าหมดแล้ว”
นางขึงตาใส่เขา “ตอนนี้ท่านจะพูดเรื่องไม่สลักสำคัญอย่างนี้ไปด้วยเหตุใด”
รอยแผลฉีกขาดเหวอะหวะตรงไหล่ซ้ายทำให้ดวงตาของเฉียวเจาทอแววตึงเครียด นางรู้สึกแปลบปลาบใจอย่างปราศจากเหตุผล แต่ปากยังพูดดุเขา “ไหนบอกว่าล้วนเป็นเลือดของคนอื่นมิใช่หรือ ตรงนี้มีแผลไม่เล็กเลยนะ”
มาตรว่าบาดแผลภายนอกไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ร่างกายคนไม่ได้ตีจากเหล็ก ย่อมต้องเจ็บแน่นอน
“ปวดหรือไม่” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น
เฉียวเจางุนงงกับคำถามนี้ ปวดหรือไม่ตัวเขาไม่รู้หรือไร ไฉนถึงถามนาง
แม่ทัพหนุ่มก้มหน้าหัวเราะ เขาจ้องตาเด็กสาว “เจาเจาปวดใจหรือไม่”