หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 429
บทที่ 429
“พี่เซ่า” เฉียวเจามองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
นางเคยเรียกพี่ฉือกับพี่หยางมาแล้ว อันที่จริง ‘พี่เซ่า’ ก็แค่คำเรียกขานอย่างหนึ่งเท่านั้นมิได้หมายถึงอะไร
เซ่าหมิงยวนย่อมฟังออกว่าเสียงเรียก ‘พี่เซ่า’ นี้เป็นเชิงสัพยอก หาได้แฝงความรู้สึกไว้สักเท่าไรไม่
กระนั้นเขาไม่เพียงไม่ท้อใจ กลับยังลิงโลดใจอีกต่างหาก
คติที่เฉินกวงสอนเขาเอาไว้นั้นถูกต้องแล้ว สตรีที่ชาญฉลาดเยือกเย็นเฉกเจาเจา หากเขามัวแต่ทำหน้าบางสงวนท่าทีไปเรื่อยๆ ชาตินี้อย่าหมายว่าจะได้บอกลาชีวิตบุรุษซึ่งไร้คู่
เมื่อก่อนนางเรียกขานเขาว่า ‘แม่ทัพเซ่า’ อย่างสุภาพ ตอนนี้นางเรียกเขาว่า ‘พี่เซ่า’ ด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเย็นชา ในอนาคตต้องมีสักวันที่นางจะเรียกเขาเสียงอ่อนเสียงหวานว่า ‘ท่านพี่’ แน่
เขาเชื่อมั่นในจุดนี้และเต็มใจทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อวันนั้น ถึงตายก็ไม่พรั่น
ในยามนี้เองสตรีผมเผ้ายุ่งเหยิงนางหนึ่งวิ่งเข้ามา มีคนหลายคนไล่ตามมาข้างหลัง
“ซานหนี อย่าวิ่งสะเปะสะปะ!”
“ซานหนี เจ้ากลับมานะ…”
เด็กสาวผมเผ้ายุ่งเหยิงวิ่งผ่านข้างตัวเฉียวเจาไป แต่สะดุดเท้าตนเองจนล้มคะมำไปข้างหน้า
เฉียวเจาตาไวมือไวคว้าตัวไว้หมับ อีกฝ่ายกลับหงายข้อมือผลักนาง
คนสติฟั่นเฟือนมักเรี่ยวแรงดี ทั้งที่เป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าๆ แต่เฉียวเจารู้สึกถึงพลังมหาศาลระลอกหนึ่ง ตัวก็หงายไปด้านหลังอย่างควบคุมไม่อยู่
นางตกลงไปในอ้อมกอดอบอุ่นของคนผู้หนึ่ง
เด็กสาวที่วิ่งเตลิดไปข้างหน้าต่อถูกเฉินกวงที่ยืนอยู่ไม่ไกลขวางหน้าไว้ นางพุ่งถลาเข้าสู่วงแขนของเขา
ปิงลวี่เบิกตากว้างทันใด
เจ้าคนทึ่มเฉินกวงยังโชคดีมีหญิงงามโผมาซบอกเช่นนี้กับเขาด้วยหรือ
มิหนำซ้ำยังกอดไว้ไม่ปล่อยอีก! ฮึ ข้าไม่สนใจเจ้าทึ่มผู้นี้อีกแล้ว ไปหาคุณหนูดีกว่า!
สาวใช้น้อยเดินกระฟัดกระเฟียดไปหาเฉียวเจาก็เห็นท่านแม่ทัพกอดเอวคุณหนูของตนไว้นิ่งๆ
ปิงลวี่ชะงักฝีเท้าทำตาปริบๆ
หรือว่าผู้คนสมัยนี้ล้วนชอบกอดกันไม่ปล่อยมือแล้ว
น่าชังนัก เหตุใดไม่มีบุรุษรูปงามกอดข้าบ้างเล่า
“กอดพอหรือยัง” เฉียวเจายกมือหยิกเอวคนบางคนทีหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนส่งเสียงไอเบาๆ ก่อนปล่อยมือออก
คนด้านหลังไล่ตามมาทันแล้วมองเซ่าหมิงยวนอย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง เขาโค้งตัวพลางกล่าว “ท่านโหว ขอบคุณท่านมากที่จับตัวซานหนีไว้ให้ขอรับ”
เซ่าหมิงยวนจำหน้าคนที่พูดได้ว่าเป็นบุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้าน ส่วนอีกสองคนที่ตามมาข้างหลังคือหลานชายของผู้ใหญ่บ้าน
“เฉินกวง พาซานหนีมานี่”
ซานหนีหันหน้ามาเห็นว่าคนในครอบครัวตามมาทัน นางก้าวขาจะออกวิ่งต่อไป
เฉินกวงกำข้อมือนางไว้ฉุดตัวกลับมาโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“ซานหนี เจ้าหยุดคลุ้มคลั่งได้แล้ว รีบตามพวกข้ากลับเรือนเถอะ” บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“ข้าจะไปหาพี่ซานตั้น ข้าจะไปหาพี่ซานตั้น!” ซานหนีเห็นญาติพี่น้องเข้ามาใกล้ อารมณ์ก็พลุ่งพล่านมากขึ้น เฉินกวงต้องยึดตัวไว้แน่นๆ ถึงไม่ปล่อยให้นางดิ้นหลุด
สายตาของเฉียวเจาทอแววพิกลๆ
ทิศทางที่ซานหนีจะวิ่งหนีไปเป็นสวนซิ่งจื่อ…
เมื่อนึกถึงว่าซานหนีกับซานตั้นลักลอบพลอดรักกันในซากเรือนสกุลเฉียว เฉียวเจาตะขิดตะขวงใจอยู่มาก ทว่าเพลานี้คนหนึ่งเสียชีวิตคนหนึ่งเสียสติไปแล้ว นางก็ทำได้เพียงทอดถอนใจ
ชาวบ้านเดินออกมามุงดูไม่น้อย พวกเขาชี้มือชี้ไม้พูดซุบซิบกันอยู่ไม่ไกล
“พวกเจ้าสองคนมัวยืนทื่อทำอะไร ยังไม่พาซานหนีกลับเรือนอีก!” บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านรู้สึกอับอายขายหน้า เขาตวาดเสียงดังลั่น
คนหนุ่มสองคนก้าวเข้าไปจับแขนซานหนีคนละข้างแล้วออกแรงลากนางกลับไป
“รอประเดี๋ยว” เฉียวเจาพลันเอ่ยปากขึ้น
ทุกคนหยุดชะงักหันไปมองนางทันที
เฉียวเจาก้าวขาเดินเข้าไป
เซ่าหมิงยวนเห็นดังนั้นก็ติดตามไปเงียบๆ พร้อมกับส่งสายตาบอกเฉินกวง
ความหมายนั้นแจ่มชัดมากว่า ‘จับตาดูซานหนีให้ดี อย่าให้นางคลุ้มคลั่งทำร้ายคุณหนูหลี’
เฉินกวงคับอกคับใจเป็นอันมาก ชายหญิงไม่พึงถูกเนื้อต้องตัวกัน เมื่อครู่นี้เป็นเรื่องสุดวิสัยเพราะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เหตุใดตอนนี้ยังต้องให้ข้าออกโรงอีกด้วยเล่า
ท่านแม่ทัพเลิกคิ้วสูงทว่าสีหน้าเรียบเฉย ชายหญิงไม่พึงถูกเนื้อต้องตัวกัน เจ้าไม่ออกโรง หรือต้องให้ข้าออกโรงเอง เช่นนั้นฮูหยินแม่ทัพของพวกเจ้าจะโมโหเอาได้นะ
ทั้งสองเพียงส่งสายตาโต้ตอบกัน เฉินกวงกลับเข้าใจความหมายของท่านแม่ทัพได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เขาได้แต่ถอนใจเฮือกอย่างปลงตก ยกมือยึดแขนของซานหนีไว้
เฉียวเจายื่นมือไปแตะข้อมือซานหนีแล้วสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย ก่อนที่นางจะดึงมือกลับแล้วมองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่ง
“มีอะไรหรือ”
“กลับเข้าเรือนค่อยคุยกัน” นางหมุนกายเดินนำหน้ากลับไปในลานเรือนทันใด
“พาคนเข้ามา”
เพราะเกิดศึกหนักขึ้นเมื่อคืน พื้นดินโดยรอบเรือนของหญิงขายเต้าหู้ล้วนเป็นสีแดงคล้ำ พวกชาวบ้านยืนอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่จะกลับไปก็เสียดายเลยเขย่งเท้าชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พวกเจ้าเป็นอะไรกับซานหนี”
“ข้าคืออารองของนาง ส่วนพวกเขาสองคนเป็นพี่ชายของซานหนี” บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านอ้าปากพูด
“บิดามารดาของนางเล่า”
“ซานหนีเกิดมาอาภัพ ตั้งแต่คลอดออกมาลืมตาดูโลกก็กำพร้ามารดา บิดาของนางก็จากไปเมื่อหลายปีก่อน” บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านมองเฉียวเจาอย่างระมัดระวัง “คุณหนู ซานหนีเป็นอย่างไรบ้าง พอนางสติไม่ดีแล้วเรี่ยวแรงเยอะมาก ระวังจะทำร้ายท่าน ให้พวกข้าเอาตัวนางกลับไปจะดีกว่า”
ในตอนนี้เองเสียงของผู้เฒ่าคนหนึ่งดังมาจากหน้าประตู “ท่านโหว ข้าได้ยินว่าซานหนีอยู่ที่นี่”
“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร”
ผู้ใหญ่บ้านย่างเท้าเข้ามา เขาทำหน้าบึ้งกล่าวขึ้น “ยังมีหน้าถามอีกหรือ มีกันตั้งหลายคนกลับเฝ้าเด็กคนหนึ่งไว้ไม่ได้”
เขาเดินไปตรงหน้าเฉียวเจากล่าวทักทายแล้วมองซานหนีพลางถอนใจเฮือกหนึ่ง “ซานหนี ตามท่านปู่กลับเรือนนะ”
เฉียวเจาตกใจเมื่อพบว่าผู้ใหญ่บ้านซึ่งท่าทางแข็งแรงกระฉับกระเฉงตอนที่นางเพิ่งมาถึงหมู่บ้านไป๋อวิ๋นราวกับจะแก่ชราลงหลายปีในชั่วเวลาสั้นๆ แม้แต่การเดินเหินก็เริ่มกระย่องกระแย่ง ชะรอยว่าเขาจะรักใคร่เอ็นดูหลานสาวผู้นี้จากใจจริงกระมัง
ครั้นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ในใจหญิงสาวบังเกิดความกังวลรางๆ
นางอาจจะรังเกียจพฤติกรรมของซานหนีที่ลักลอบพลอดรักกับบุรุษในซากเรือนสกุลเฉียวของนาง แต่ความรู้สึกที่มีต่อเด็กสาววัยแรกแย้มผู้นี้ นางก็นึกสงสารเวทนาตามประสาสตรีเหมือนกัน
การลักลอบลิ้มลองผลไม้ต้องห้ามอย่างยั้งใจไม่อยู่ชั่ววูบ ชีวิตที่รอเด็กสาวผู้นี้อยู่จะเป็นเช่นไร เฉียวเจาไม่รู้ แต่นางรู้ว่าต่อให้นางไม่บอกเรื่องนี้ออกมาตอนนี้ วันหน้าก็ปิดบังไว้ไม่ได้อยู่ดี
“ผู้ใหญ่บ้าน ข้ารักษาอาการฟั่นเฟือนของซานหนีได้”
ผู้ใหญ่บ้านตะลึงงันไปทันใด เขาพูดละล่ำละลัก “ท่านพูดว่าอะไรนะ ท่านรักษาอาการฟั่นเฟือนของซานหนีได้หรือ”
คนอื่นๆ มองเฉียวเจาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
นางพยักหน้าเบาๆ
ผู้ใหญ่บ้านเข่าอ่อนทรุดตัวลงคุกเข่า “หากคุณหนูรักษาอาการป่วยของซานหนีให้หายดีได้ ข้าจะจุดธูปโขกศีรษะให้ท่านทุกวัน”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น เขากล่าวอย่างไม่พอใจ “ผู้ใหญ่บ้าน อย่าพูดจาส่งเดช!”
จุดธูปโขกศีรษะให้ทุกวันอะไรกัน นี่จะสาปแช่งเจาเจาของเขาใช่หรือไม่ ขืนกล้าทำเช่นนี้เขาจะพังเรือนผู้ใหญ่บ้านทันทีเลย
“ข้าหมายความว่าจะขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองคุณหนูให้ร่างกายแข็งแรงและมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์พูนสุขทุกวัน”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าหงึกหงัก เช่นนี้ค่อยยังชั่ว
“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านลุกขึ้นมาพูดคุยกันเถอะ” เฉียวเจากล่าวเสียงเรียบๆ
ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นยืนปาดน้ำตาออก “คุณหนูคงไม่รู้ว่าหลานสาวข้าผู้นี้กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เด็ก นางอยู่กับพวกข้าจนเติบใหญ่ นางทำผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พวกข้าก็ต้องรับผิดชอบด้วย คุณหนู ท่านรักษาซานหนีให้หายเป็นปกติได้จริงๆ ใช่หรือไม่”
“ซานหนีไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ นางเพียงตกใจเกินไปจนจิตหลอน ดังนั้นจะรักษาอาการฟั่นเฟือนของนางให้หายมิใช่เรื่องยาก” นางกวาดตามองซานหนีแวบหนึ่งก่อนกล่าวทอดถอนใจ “แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกให้ผู้ใหญ่บ้านรู้ไว้”
“ท่านว่ามา”
“ซานหนีตั้งครรภ์แล้ว”