หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 431
บทที่ 431
เซ่าหมิงยวนฟังคำกล่าวของเฉียวเจาแล้วพยักหน้าคล้อยตาม “ใช่ โลกเราก็เป็นไปเช่นนี้เอง ไม่ว่าทิศเหนือทิศใต้ล้วนไม่ต่างกัน”
ในแดนเหนือชีวิตคนไร้ค่าดุจมดปลวก แต่คนที่เคราะห์ร้ายก่อนใครมักเป็นสตรีอยู่ดี เขาพบเห็นมามากเหลือเกิน
เจาเจาเป็นห่วงเรื่องนี้หรือ
แม่ทัพหนุ่มพิศดูสีหน้าสงบนิ่งของเด็กสาวแล้วความคิดนี้ก็สว่างวาบขึ้นในหัวอย่างถูกจังหวะ เขายื่นมือไปกุมมือนางอย่างอดใจไม่อยู่พลางกล่าวเสียงเบา “เจาเจาไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะ อย่าว่าแต่เจ้าไม่มีทางทำผิด ต่อให้ทำผิดจริงๆ ไม่ว่าเป็นความผิดร้ายแรงเพียงใด ผลที่ตามมาล้วนให้ข้าแบกรับไว้เองดีหรือไม่”
เฉียวเจาเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน
เจ้าคนไร้ยางอายน่าชังผู้นี้ เผลอตัวทีไรเป็นต้องโดนเขาจับมือทุกที ทั้งนับวันก็ยิ่งเชี่ยวชาญช่ำชองขึ้นทุกที
กระนั้นถ้อยคำนั้นของเขาก็น่าประทับใจจริงๆ ละม้ายขนนกสีขาวสะอาดเบาพลิ้วเส้นหนึ่งสะกิดตรงหัวใจแม่นางเฉียวซ้ำๆ ทำให้จิตใจที่นิ่งสนิทดั่งผิวบ่อน้ำโบราณเกิดรอยกระเพื่อมไหวเป็นระลอก
เซ่าหมิงยวนรู้จักหยอดคำหวานพร่ำเพรื่อได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องให้ใครสอนตั้งแต่เมื่อไร
เสียงฝีเท้าดังลอยมา เฉียวเจาดึงมือคืนทันที
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงเดินเข้ามา
สายตาของฉือชั่นตวัดผ่านสองแก้มแดงระเรื่อของเด็กสาวปราดหนึ่ง เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “แผนการต่อจากนี้คืออะไร จะไปเสาะหาตัวยาก่อนหรือว่าไปที่อาณาเขตของสิงอู่หยางก่อน”
“ไปเสาะหาตัวยาก่อน”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาตอบเป็นเสียงเดียวกัน พอกล่าวจบทั้งสองประสานสายตากัน
เซ่าหมิงยวนยกมุมปากโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขานึกในใจว่า เจาเจากับข้าใจตรงกันเช่นนี้ เห็นได้ว่าชะตาลิขิตให้เป็นภรรยาของข้า
ฝ่ายเฉียวเจากลับเก้อกระดากอยู่บ้าง นางเบนสายตาไปทางอื่นเงียบๆ
ฉือชั่นแค่นเสียงพูดอย่างเหลืออด “พวกเจ้าสองคน พอได้แล้วนะ”
แม้เขาจะวางมือแล้วแต่ยังคับอกคับใจอยู่ สองคนนี้โดยเฉพาะเจ้าคนบัดซบเซ่าหมิงยวน เห็นเขาเป็นคนตายหรือไร
ขอให้เจ้าคนแซ่เซ่าไร้คู่ไปตลอดชาติ!
เมื่ออยู่ต่อหน้าฉือชั่น เซ่าหมิงยวนย่อมสำรวมตนขึ้นบ้าง เขากล่าวอธิบายว่า “ภารกิจในการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ของเจาเจาเดิมทีก็คือเสาะหาตัวยา พวกเราเสียเวลาอยู่ในจยาเฟิงตั้งนานถึงเพียงนี้ หากไปที่ถิ่นของสิงอู่หยางอีก จะทูลอธิบายต่อไทเฮาไม่ง่ายดาย…”
ฉือชั่นตัดบทเขา “ทางไทเฮานั่นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง มีข้ากับหยางเอ้อร์”
เขากับหยางเอ้อร์ไม่ว่าคนใดล้วนมีน้ำหนักในพระทัยของไทเฮามากกว่าองค์หญิงเก้า มีพวกเขาอยู่ ไทเฮาย่อมต้องไม่ตำหนิโทษเพราะเสียเวลาไปเล็กน้อย
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ถึงจะรับหน้าทางไทเฮาได้ แต่เกรงว่าองครักษ์จินอู๋พวกนั้นคงไม่ร่วมด้วยแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วเตะราวรั้วเรือทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด “นั่นน่ะสิ เจ้าพวกนั้นมาคร่ำครวญกับข้าตั้งหลายครั้งแล้ว บอกว่าอันตรายเกินไป พวกเขาจะกลับบ้าน มารดามันเถอะ มีแต่พวกตาขาว!”
“นี่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ เดิมทีพวกเขาไม่สมควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จยาเฟิงคราวนี้ ว่าไปแล้วพวกเขาก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จะถอดใจก็เป็นธรรมดาของปุถุชน”
หยางโฮ่วเฉิงกะพริบตาปริบๆ “ถิงเฉวียน ข้าเห็นองครักษ์ของเจ้าแต่ละคนล้วนไม่กลัวตาย ตอนเจ้านำทัพอยู่แดนเหนือ ก็เชื่อฟังคำสั่งเช่นนี้กันทุกคน ไม่มีทหารหนีทัพเลยหรือ”
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มน้อยๆ “รักชีวิตเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ไหนเลยจะไม่มีทหารหนีทัพเล่า”
“เช่นนั้นเจ้าอบรมสั่งสอนเช่นไรหรือ” หยางโฮ่วเฉิงขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตน
เขาอยู่ในกององครักษ์จินอู๋อาจมีตำแหน่งไม่สูงไม่ต่ำ แต่ก็นับเป็นหัวหน้าหน่วยเล็กๆ ผู้หนึ่ง มีคนเหลือขออยู่ใต้อาณัติโขยงหนึ่ง จะด่าทอทุบตีก็ไม่ได้ พอได้รับพระบัญชาออกมาต่างเมืองยังต้องคอยเอาใจเจ้าลูกเต่าพวกนั้นอีก เป็นหัวหน้าหน่วยเช่นนี้ก็น่าคับอกคับใจนัก!
เซ่าหมิงยวนมองสหายแต่วัยเยาว์ที่มองตนตาเขม็งแล้วกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ไม่ต้องอบรมสั่งสอน มีคนหนีทัพกลางสมรภูมิก็ฆ่าทิ้งเซ่นธงรบเป็นอันสิ้นเรื่อง”
รอยยิ้มตรงมุมปากของหยางโฮ่วเฉิงนิ่งค้างไป วิธีนี้ทำไม่ได้จริงๆ ขืนฆ่าเจ้าผู้ใต้บังคับบัญชาบังเกิดเกล้าพวกนั้นทิ้งสักคน เขาก็ต้องหัวปั่นแล้ว
“ดังนั้นถึงบอกว่าไปสนามรบถึงจะสาแก่ใจ!”
“หยางเอ้อร์ เจ้าถอดใจเถอะ ถิงเฉวียนไม่มีทางพาเจ้าไปสนามรบ” ฉือชั่นกล่าวเสียงเย็นๆ
“เหตุใดจะไม่ได้”
“เพราะท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ามีเจ้าเป็นบุตรชายคนเดียว หากถิงเฉวียนพาเจ้าไปสนามรบ พวกเขาต้องไปพังจวนกวนจวินโหวแน่”
หยางโฮ่วเฉิงถอนหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง
“สือซี ฉงซาน พวกเราไปเสาะหาตัวยากันก่อน เมื่อสะสางเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วพวกเจ้าก็พากององครักษ์จินอู๋ออกจากเขตชายทะเลกลับมารอพวกข้าที่จยาเฟิงก่อน”
“รอพวกเจ้า?” ดวงตาของฉือชั่นทอแววเครียด
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “นั่นน่ะสิ ถิงเฉวียน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนกล่าวอธิบาย “ข้ากับเจาเจาคาดคะเนว่าทางสิงอู่หยางไม่ใคร่ชอบมาพากล พวกเจ้าอย่าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้จะดีกว่า สิงอู่หยางไม่เหมือนกับเจ้าเมืองหลี่ที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น จะสร้างความวุ่นวายปานใดก็ก่อคลื่นลมไม่ได้มากเท่าไร ทว่าสิงอู่หยางผิดแผกออกไป เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่กุมกำลังทหารจำนวนมากไว้ในมือ เขาครองอำนาจในดินแดนชายทะเลมานานปี ปะทะกันซึ่งๆ หน้าไม่ต่างกับเอาไข่กระทบหิน”
“ถึงอย่างนั้นพวกข้าก็ปล่อยให้พวกเจ้าสองคนเสี่ยงอันตรายไม่ได้” หยางโฮ่วเฉิงส่ายหน้าเป็นพัลวัน “พวกข้าหลบอยู่ในที่ปลอดภัยมองดูพวกเจ้าบุกเข้าถ้ำเสือแดนมังกร พวกข้าจะกลายเป็นคนจำพวกใดกัน”
“พี่หยาง นี่มิใช่เวลาพูดถึงคุณธรรมน้ำใจระหว่างพี่น้อง เรื่องที่พวกเราก่อขึ้นในจยาเฟิงมิใช่เล็กๆ คงต้องแพร่ไปถึงเมืองหลวงแล้ว ทางเมืองหลวงคงส่งข่าวเตือนให้สิงอู่หยางระวังตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเสาะหาตัวยาเสร็จก็เข้าไปในอาณาเขตของเขากะทันหัน เกรงว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรคงโดนเขาเล่นงานแล้ว แต่พวกข้าไปแค่สองคนเป้าหมายจะเล็กกว่ามาก กลับกระทำการได้สะดวกเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาพูดจนหยางโฮ่วเฉิงอับจนวาจา
ฉือชั่นถามโพล่งขึ้น “ในเมื่อทางสิงอู่หยางนั่นมีอันตรายมากมาย ถิงเฉวียน เจ้าจะรับรองความปลอดภัยของหลีซานได้หรือ”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วยิ้มๆ “ข้าย่อมจะปกป้องนางให้ปลอดภัยเป็นธรรมดา”
เข้าถ้ำเสือแดนมังกร มีคนมากเขาอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง หากมีเจาเจาคนเดียว เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครทำร้ายนางแม้แต่ปลายเส้นผม
“หวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่เจ้าพูดในวันนี้” ฉือชั่นกล่าวเสียงเรียบ
เรือแล่นไปได้หลายวัน ผืนน้ำกว้างขวางขึ้นทีละน้อย
เมื่อเรือจอดเทียบท่าที่เมืองเล็กๆ ริมทะเล ทุกคนเริ่มตระเตรียมสิ่งของสำหรับออกทะเล ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจหยุดจัดขบวนเดินทางใหม่และพักผ่อนหย่อนใจวันหนึ่งที่นั่น
ตำบลนี้ไม่มีชื่อเพราะว่าเป็นจุดแวะพักของคนที่จะออกทะเลส่วนใหญ่ ผู้คนล้วนเรียกมันว่า ‘ท่าปากทะเล’
ยามกลุ่มของเฉียวเจาเข้าเมือง ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ชอบกล ชาวบ้านที่นี่มองมาทางพวกนางด้วยสายตาผิดปกติอยู่บ้าง
ทุกคนอดชะลอฝีเท้าไม่ได้
หยางโฮ่วเฉิงพูดเสียงกระซิบกระซาบ “ที่นี่ไม่ค่อยปกติ แต่ว่าไม่ปกติตรงที่ใดก็บอกไม่ถูก ทำให้ใจคอไม่ดีจริงๆ”
เฉียวเจาลอบมองสำรวจทั้งสี่ทิศแล้วขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ
ตำบลนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่งจริงๆ ในเมืองมีคนเดินขวักไขว่ไปมา รูปลักษณ์และการแต่งกายล้วนมีเอกลักษณ์ของผู้คนแถบชายทะเลแดนใต้ตามที่เอ่ยถึงในบันทึกการเดินทางที่นางเคยอ่าน แล้วความรู้สึกชอบกลของทุกคนนั้นมาจากสิ่งใดกันแน่
นางลอบสังเกตคนบนถนนพวกนั้น ก็ประจักษ์ได้อย่างเฉียบไวว่าสายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องมาที่นางทางนี้แล้วอดสะดุดใจไม่ได้
ปกติตำบลริมทะเลเช่นนี้เป็นที่ที่มีผู้คนหลายหลากประเภทปะปนกัน คนที่นี่ดูจะให้ความสนใจคนต่างถิ่นเช่นพวกนางอย่างจดจ่อเกินไป ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความสงสารและเห็นใจอยู่รางๆ ด้วย
สงสารและเห็นใจ?
เฉียวเจาชะงักฝีเท้า นางกระจ่างแจ้งในที่สุดว่าตรงที่ใดไม่ปกติ