หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 446
บทที่ 446
เฉินกวงหน้าเสียทันทีทันใด กระทั่งเสียงพูดก็ยังสั่นระริก “ท่านพูดว่าอะไรนะขอรับ”
ท่านแม่ทัพมองไม่เห็นได้อย่างไร มองไม่เห็นหมายถึงตาบอดใช่หรือไม่ ข้าต้องฟังผิดไปเป็นแน่!
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนสงบนิ่งดุจเดิมยามกล่าวทวนซ้ำคำเดิม “ข้ามองไม่เห็นแล้ว”
เฉินกวงยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าเซ่าหมิงยวน เห็นเขากะพริบตาและกลอกตาตามมือของตนก็ยิ่งไม่เข้าใจ “ดวงตาของท่านมีท่าทีตอบสนองนะขอรับ”
หากสูญเสียการมองเห็นแล้ว มีมือโบกไปมาตรงหน้าไม่น่าจะแสดงท่าทีตอบสนองใดๆ
เขาย่อมไม่สงสัยแน่นอนว่าท่านแม่ทัพพูดจาเหลวไหล ด้วยเหตุนี้ถึงได้งุนงงมากขึ้น
แม่ทัพหนุ่มยิ้มบางๆ “ข้ารับรู้ถึงแรงลมจากการโบกมือได้ก็เลยกะพริบตาตาม เช่นนี้ดูไปแล้วจึงไม่ต่างจากคนทั่วไป”
“ท่านแม่ทัพ เหตุอันใดเมื่อครู่นี้ท่านไม่พูด คุณหนูหลีรู้วิชาแพทย์ไม่ใช่หรือ ข้าไปเรียกนางมานะขอรับ” เฉินกวงร้อนใจจนหน้าซีดขาว รีบหันหลังจะวิ่งออกไป
“หยุดนะ!” เซ่าหมิงยวนตะโกนบอกเสียงห้วน
“ท่านแม่ทัพ?”
แม่ทัพหนุ่มหลุบเปลือกตาลง “อย่าให้คุณหนูหลีรู้”
“แต่ไม่ให้คุณหนูหลีรู้ ใครจะรักษาดวงตาให้ท่านเล่าขอรับ” เฉินกวงถูมือไปมาอย่างร้อนรน
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “คุณหนูหลีทั้งฝังเข็ม นวดกดจุด และต้มยาให้ข้า จริงๆ แล้วเป็นการรักษาข้าอยู่ตลอด แต่ข้าบาดเจ็บที่ศีรษะจนส่งผลกระทบต่อมาถึงดวงตา ถึงนางรู้ก็รังแต่จะร้อนใจเปล่าๆ ปลี้ๆ”
“หรือว่าท่านตั้งใจจะปิดบังไปเรื่อยๆ ขอรับ”
“สูญเสียการมองเห็นเช่นนี้อาจเป็นอาการชั่วคราว อีกสองสามวันค่อยดูกันอีกที” ทั้งที่ชายหนุ่มมองไม่เห็น แต่สายตากลับมองไปทางเฉินกวงอย่างแม่นยำ เขาพูดอย่างขึงขังจริงจัง “เฉินกวง เรื่องเล็กๆ อย่างอื่นข้าปล่อยให้เจ้าปากมากได้ แต่เรื่องนี้ถ้าเจ้าแพร่งพรายออกไป อย่าโทษข้าที่ลงโทษตามวินัยทหารก็แล้วกัน!”
เฉินกวงสะดุ้งโหยงในใจ เขาลุกลนขานรับ “น้อมรับคำสั่งขอรับ”
เขาพูดจบแล้วก็สองจิตสองใจอยู่นานสองนานก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพ ถ้าเกิดว่าตาท่าน…ข้าแค่คาดเดานะขอรับ ถ้าเกิดว่า…”
“ไม่มีทางหายดีดังเดิมใช่หรือไม่” เฉินกวงถามอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ เซ่าหมิงยวนกลับมีท่าทีไม่ยินดียินร้าย ประหนึ่งว่าสำหรับเขาแล้วสูญเสียการมองเห็นไม่ได้มีผลกระทบอันใดทั้งสิ้น “เช่นนั้นก็ปิดบังคุณหนูหลีไปชั่วชีวิต”
“หา?!” เฉินกวงเบิกตากว้าง “วันหน้าคุณหนูหลีแต่งเข้าเรือนมาจะทำอย่างไรขอรับ ท่านกับนางอยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ เป็นไปได้อย่างไรที่จะปิดบังไว้”
เจาเจาน่ะหรือแต่งเข้าเรือนมา อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ…
ฟังถ้อยคำของเฉินกวงแล้ว เซ่าหมิงยวนอดยกมุมปากโค้งขึ้นไม่ได้
ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่แค่คิดถึงภาพนั้นใจของเขาก็อุ่นผะผ่าว
ทว่าคนตาบอดยังจะมอบความสุขให้นางได้เช่นไรเล่า
เขาอาศัยคุณความชอบในการรบไขว่คว้าชื่อเสียงฐานะในตอนนี้มาได้ หากอยู่ในวัยสี่ห้าสิบแล้วกลับไม่เสียหาย หลังจากสายตาพิการก็ถอนตัวจากการชิงดีชิงเด่น ยังได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสุขสงบ
แต่เขาเพิ่งอายุยี่สิบเอ็ดปี ไต่เต้าขึ้นมาอยู่สูงถึงเพียงนี้กลับตาบอดไม่อาจนำทัพออกรบได้อีก ถึงตอนนั้นจะตกอับน่าอนาถใจปานใดเพียงตรองดูก็รู้ได้
หากลงจากตำแหน่งเพราะแก่ชราหรือเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ บางทียังได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน แล้วความเคารพนับถือนั้นคือน้ำใจที่เผื่อแผ่ให้แก่แม่ทัพผู้กำลังจะเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ขณะที่หนุ่มฉกรรจ์ซึ่งกำลังมีอนาคตรุ่งโรจน์ก้าวไกลกลับตกสวรรค์กะทันหัน คนส่วนใหญ่ล้วนหมายเหยียบย่ำให้จมดิน
ความโปรดปรานของฮ่องเต้หมดสิ้นลงได้ง่ายดายนัก ตัวเขาเบื้องบนไร้ผู้อาวุโสเกื้อหนุน เบื้องล่างไร้ลูกหลานดูแล เมื่อเวลาผ่านไปจะต้องมีชีวิตอยู่เช่นใดเพียงตรองดูก็รู้ได้
แล้วเขาจะทนเห็นเจาเจามีชีวิตเช่นนั้นได้เช่นไรกัน
เหนือสิ่งอื่นใดเจาเจาเป็นสตรีที่ชอบแบกความรับผิดชอบไว้บนบ่าตนเองจนเป็นนิสัย หลังนางพูดตัดเยื่อใยกับเขาอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็มองไม่เห็น ถ้านางรู้เข้าจะต้องทุกข์ใจแน่นอน
เขาหักใจให้นางเป็นทุกข์ไม่ได้
“เฉินกวง วันหน้าอย่าเอ่ยเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก” เซ่าหมิงยวนกล่าวเตือนเสียงราบเรียบ
“ท่านแม่ทัพ…”
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมผิดไปจากเดิม “พวกเจ้าเพียงจำไว้ว่าจะปล่อยให้เรื่องที่ดวงตาข้ามีปัญหาแพร่ออกไปไม่ได้เท่านั้นเป็นพอ ต่อให้กลับถึงเมืองหลวงก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่รอข้าอยู่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเป็นสภาพการณ์แบบใด”
การเป็นฝ่ายขอปลีกตัวงำประกายเองกับถูกบีบให้ถอนตัวจากราชสำนักเพราะสายตาพิการนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง นอกจากไม่ต้องการให้เจาเจาตำหนิตนเอง เรื่องที่เขาสูญเสียการมองเห็นเดิมทีก็พึงเก็บเป็นความลับแล้ว
เมื่อเห็นท่านแม่ทัพพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียด เฉินกวงกับเยี่ยลั่วขานตอบเป็นเสียงเดียวกันทันใด
“เยี่ยลั่ว เจ้าก็เข้ามาด้วย”
เยี่ยลั่วเดินเข้ามายืนข้างๆ เฉินกวง
เซ่าหมิงยวนเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่เดินมาหาของเยี่ยลั่ว เบนสายตาไปทางเขาอย่างแม่นยำ “หลายวันนี้ข้าจะปรับตัวให้คุ้นเคยกับสถานการณ์ในเวลานี้ให้ได้โดยไวที่สุด นับแต่วันนี้พวกเจ้าสองคนผลัดกันติดตามข้าทุกฝีก้าว ข้าจะฟังเสียงฝีเท้าของพวกเจ้าแยกแยะทิศทางและหลบหลีกสิ่งกีดขวาง”
เขากล่าวจบแล้วลุกลงจากเตียง
“ท่านแม่ทัพ” เฉินกวงรีบเข้าไปประคองเขา
เซ่าหมิงยวนปัดมือเฉินกวงออก “ไม่ต้อง ข้าทำเอง”
เฉินกวงมีสีหน้าโศกเศร้า ก้มตัวไปหยิบรองเท้าของเซ่าหมิงยวนแล้ววางไว้ข้างเท้าเขา “ท่านแม่ทัพ รองเท้าขอรับ”
เซ่าหมิงยวนวางเท้าลงหยั่งพื้นหารองเท้าจนเจอถึงสวมอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยลุกขึ้นยืน
เบื้องหน้าคือความมืดมิด เขาลองย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ในใจว่างโหวงเหวงชวนให้กระวนกระวาย
พอเดินไปอีกหนึ่งก้าว เสียงอุทานของเฉินกวงดังขึ้น “ท่านแม่ทัพ มีเก้าอี้…”
หน้าแข้งของเขากระแทกกับเก้าอี้ ถึงจะไม่เจ็บแต่ความรู้สึกเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูกละม้ายคลื่นบนท้องทะเลนอกหน้าต่างซัดสาดเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่าท่วมกลบคนให้จมลงสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวัง
เซ่าหมิงยวนกำมือเป็นหมัด ออกคำสั่งด้วยสีหน้าไม่เผยอารมณ์ใด “เยี่ยลั่ว เจ้ามาเดินนำอยู่ข้างๆ ข้า ข้าจะเดินวนในห้องรอบหนึ่งตามเจ้า พวกเจ้าไม่ว่าใครก็ห้ามส่งเสียงเตือนข้า”
“ขอรับ”
เสียงฝีเท้าของเยี่ยลั่วกับเฉินกวงไม่เหมือนกัน เซ่าหมิงยวนแยกออกได้ชัดเจน
เขาตั้งสมาธิฟังแล้วเริ่มออกเดินตามหลังเยี่ยลั่วไป
หนึ่งก้าว สองก้าว เยี่ยลั่วเดินไปหกก้าวแล้วเลี้ยวขวา น่าจะถึงผนังห้องแล้ว
เยี่ยลั่วเลี้ยวขวาอีกที น่าจะอ้อมผ่านโต๊ะข้างหน้าต่าง
เซ่าหมิงยวนเดินตามเยี่ยลั่วอยู่ข้างหลัง ตอนเริ่มต้นเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง เวลาวางเท้าลงยังลังเลใจอยู่หลายส่วน แต่ต่อมาฝีเท้าค่อยๆ มั่นคงเป็นจังหวะขึ้นทีละน้อย
หากตอนนี้มีคนนอกอยู่ด้วย ต้องมองไม่ออกเป็นแน่ว่าชายหนุ่มที่ย่ำเท้าวนรอบห้องด้วยสีหน้าสบายอารมณ์เป็นคนที่สองตามองไม่เห็น
“เฉินกวง สลับเป็นเจ้าบ้าง”
“ขอรับ” เฉินกวงเช็ดๆ ตาแล้วรับหน้าที่ต่อจากเยี่ยลั่ว
เฉียวเจากลับเข้าไปในห้องแล้วนั่งเหม่ออยู่บนเตียง
ปิงลวี่สบตากับอาจูแวบหนึ่ง
นางเดินเข้าไปอย่างอดรนทนไม่ไหว “คุณหนู แม่ทัพเซ่าไม่เป็นอะไรมากกระมังเจ้าคะ”
“พอไหว” ยามกล่าวคำนี้แม่นางเฉียวดูท่าทางใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นข้ายกอาหารมาให้ท่านนะเจ้าคะ”
เพลานี้เฉียวเจาถึงหลุดจากภวังค์ นางส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าไม่หิว”
ปิงลวี่เบิกตากว้าง “แต่ท่านยังไม่กินอาหารนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้สึกเหนื่อยๆ กินไม่ลง อาจู เจ้าไปตักน้ำมาเถอะ”
หลังอาจูออกไป ปิงลวี่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
อารมณ์ไม่ดี?
นางจะอารมณ์ไม่ดีได้อย่างไรกัน ท่าทางของเซ่าหมิงยวนเมื่อครู่นี้เห็นชัดว่าคำพูดพวกนั้นของนางได้ผลแล้ว เขาตัดสินใจวางมือแล้ว
นางน่าจะอารมณ์ดีจึงจะถูก
เฉียวเจาหลุบตาลงเยาะหยันตนเอง
เพียงแต่นางไม่ได้ปล่อยวางได้อย่างที่ตนเองนึกไว้ คนผู้นั้นคอยพะเน้าพะนอตามตื๊อจนนางเคยชิน พอจู่ๆ เขาเฉยเมยกับนางเลยตั้งตัวไม่ติดอยู่บ้างก็เท่านั้น
ไม่เป็นไร ช้าเร็วก็ต้องเคยชิน