หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 45
วัดต้าฝูตั้งอยู่บนเขาลั่วสยาสุดฟากทิศตะวันตกของเมือง
เขาลั่วสยาปลูกต้นเฟิง* ไว้ทั่วบริเวณ พอถึงฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ใบเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจแสงสนธยาแลเห็นได้สุดลูกหูลูกตา จึงเป็นที่มาของชื่อภูเขาลูกนี้ซึ่งหมายถึงย่ำสนธยา
วัดต้าฝูในยามอรุณรุ่งถูกเสียงระฆังดังยาวนานปลุกให้ตื่นขึ้น เตรียมการรับรองหมู่คนที่ใกล้จะแห่แหนกันมาจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ
ชนชาวพุทธที่จะมาเยือนวันนี้เป็นกลุ่มคนที่สูงศักดิ์ที่สุดของเมืองหลวง
ในวันที่แปดเดือนสี่นี้ วัดต้าฝูจะต้อนรับแต่ตระกูลขุนนางกับเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ หลังจากนั้นจะจัดงานวัดเป็นเวลายาวนานครึ่งเดือนซึ่งเปิดให้ทุกคนเข้ามาได้
ตอนชาวสกุลหลีรุดไปถึง เชิงเขาลั่วสยามีรถม้าจอดเต็มไปหมดแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลงจากรถม้านำพาทุกคนลงเดินไต่บันไดขึ้นเขา
นี่เป็นช่วงเวลาที่มวลบุปผชาติประชันกันเบ่งบานมากที่สุดของปี แมกไม้เขียวขจีสองข้างทางผลิดอกนานาสีสันสวยงามลานตา เหล่าผู้ที่มาจุดธูปไหว้พระเดินด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ จากเชิงเขาลัดเลาะไปตามทางเดินคดเคี้ยวจนกระทั่งไปถึงยอดเขากันอย่างไม่ขาดสาย
พวกคุณหนูของจวนสกุลหลีซึ่งปะปนอยู่ในนั้นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของงานเทศกาลย่างกรายเข้ามาอย่างชัดเจน พวกนางลอบมองสำรวจไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นอย่างสำรวมตน ดุจเดียวกับบุตรสาวตระกูลใหญ่ทั้งหมดที่ขึ้นเขามาในเวลานี้
หลีเจี่ยวเดินอยู่ข้างๆ หลีเจียว พลางกระซิบถามนาง น้องเจียวยังเจ็บเท้าอยู่อีกหรือไม่
แววไม่พึงใจจุดขึ้นในดวงตาของหลีเจียววูบเดียวแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว
พึงพูดไม่พูด ไม่พึงพูดกลับจะพูดจริงๆ!
กระนั้นรอยห่วงใยบนหน้าหลีเจี่ยวดูจริงใจอย่างมาก หลีเจียวนึกไปถึงที่โดนท่านย่ากระหนาบสั่งสอนเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนจะยกมุมปากโค้งขึ้นอมยิ้มอย่างเหมาะเจาะงดงามพลางกล่าวตอบ ขอบคุณพี่เจี่ยวที่ห่วงใย แม้ว่ายังเจ็บอยู่บ้าง แต่วันนี้เป็นวันประสูติของพุทธองค์ เพื่อขอพรจากพระท่านให้แก่ทุกคนในครอบครัว จะอย่างไรข้าก็ต้องมาเจ้าค่ะ
หลีเจี่ยวรับฟังด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม หากแต่ในใจรู้สึกขบขัน
น้องเจียวต้องฝืนใจแล้วจริงๆ ทั้งที่มีนิสัยโอ้อวดโมโหร้าย กลับโดนท่านเซียงจวินบังคับให้วางท่าวางทางอย่างสตรีสูงศักดิ์ของตระกูลใหญ่ๆ ผลปรากฏว่าปกติยังพอแสร้งทำได้ แต่พอเกิดเรื่องขึ้นก็เผยธาตุแท้ออกมา เข้าตำราว่าเป็นเสือกระดาษไม่สำเร็จกลับกลายเป็นเหมือนสุนัข
หลีเจียวไม่รู้ความคิดในใจของหลีเจี่ยว นางนึกไปถึงที่อีกฝ่ายคอยช่วยเหลือในวันนั้น มาตรว่าสุดท้ายทั้งคู่ล้วนไม่ได้รับผลดีอันใด จะด้วยน้ำใจหรือมารยาทก็ดียังคงต้องแสดงท่าทีที่ดีต่อกันบ้าง นางจึงไต่ถามด้วยน้ำเสียงแฝงรอยห่วงใย วันนั้นพวกข้ากลับไปแล้ว พี่เจี่ยวไม่เป็นไรกระมัง
วันนั้นน่ะหรือ… หลีเจี่ยวหลุบตาลง ทอดหางเสียงยาวๆ ฟังดูหม่นหมองใจอยู่หลายส่วน ข้าโขกศีรษะขอขมาต่อพวกท่านย่า ยังดีที่ท่านย่าใจกว้างมีเมตตา ไม่ถือสาหาความกับข้า แต่น้องเจียวไม่ต้องเป็นห่วงข้านะ เนิ่นนานปานนี้แล้วข้าก็เคยชินแต่แรกแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก
พอได้ยินหลีเจี่ยวกล่าวเช่นนี้ หลีเจียวพลันละอายใจอยู่สักหน่อย
ในบรรดาคุณหนูของจวนตะวันตก นางดูถูกหลีซานมากที่สุด ส่วนญาติผู้พี่ผู้นี้ทำให้นางไม่กล้าเกียจคร้านแชเชือน ด้วยหวาดหวั่นสุดใจว่าทันทีที่ปล่อยปละละเลย สิ่งที่คาดหวังกับตนเองไว้จะถูกอีกฝ่ายล้ำหน้าไป แต่ถึงที่สุดแล้วญาติผู้พี่กำพร้ามารดาแต่เด็ก ซ้ำยังเป็นพี่น้องกับคนอย่างหลีซานก็นับเป็นคนน่าสงสารผู้หนึ่ง
หลีเจียวใจอ่อนโดยพลัน ยื่นมือไปกุมมือหลีเจี่ยวพร้อมกล่าวให้สัญญา พี่เจี่ยว ท่านวางใจได้ สักวันข้าจะสั่งสอนหลีซานให้เข็ดหลาบสักตั้งเป็นการระบายความแค้นให้ท่านเอง
หลีเจี่ยวหลุบตาอยู่ตลอด สายตาจับอยู่ที่มือขาวนุ่มข้างนั้นของญาติผู้น้อง ในใจนางบังเกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ระลอกหนึ่ง
ระบายความแค้นให้นางหรือ วันนั้นตนเองเป็นปลาที่ติดร่างแหไปด้วย ถ้ามิใช่หลีเจียวโง่เขลาเกินไปจนดึงนางซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เข้าไปพัวพันด้วยพอดี แล้วนางจะเสียทั้งขึ้นทั้งล่องได้อย่างไร
หลีเจี่ยวคิดคำนึงเช่นนี้ แต่กลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางบีบกระชับมือหลีเจียวเบาๆ ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของน้องเจียวมาก ทว่าจากที่ข้ามองดูอยู่ห่างๆ พักนี้น้องเจาเปลี่ยนไปไม่ค่อยเหมือนคนเดิมนัก พวกเราอย่าไปตอแยกับนางดีกว่า จะได้ไม่…
หลีเจียวแค่นเสียงฮึ พูดตัดบทนาง พี่เจี่ยวกลัวอะไรกัน วันนั้นนางแค่บังเอิญโชคดีเท่านั้น วันหน้าคอยดูเถอะ!
หลีเจี่ยวไม่คล้อยตามไม่คัดค้าน เพียงยิ้มน้อยๆ
เวลานี้เองมีเสียงร่าเริงสดใสของสตรีวัยเยาว์ดังขึ้นเบื้องหลัง พี่เจี่ยว…
หลีเจี่ยวกับหลีเจียวหันหน้าไปพร้อมกัน
เด็กสาวสวมอาภรณ์สีเขียวนางหนึ่งโบกมือให้กับหลีเจี่ยวอยู่ไกลๆ
หลีเจี่ยวหยุดฝีเท้า
คุณหนูตู้ของจวนกู้ชางป๋อหรือ หลีเจียวเอ่ยถามอย่างไม่ยินดียินร้าย
ใช่แล้ว หลีเจี่ยวก้าวลงบันไดไปกุมมืออีกฝ่าย น้องเฟยเสวี่ย ข้ายังนึกอยู่เลยว่าพวกเราจะได้พบกันในวัดหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอหน้ากันตรงนี้แล้ว
ที่แท้เด็กสาวชุดสีเขียวเป็นญาติผู้น้องทางตระกูลมารดาของหลีเจี่ยว…ตู้เฟยเสวี่ย
ตู้เฟยหยางกับตู้เฟยเสวี่ยคือบุตรชายบุตรสาวสายเลือดภรรยาเอกของกู้ชางป๋อ เป็นคู่แฝดมังกรหงส์ สนิทสนมกับหลีเจี่ยวอย่างยิ่งมาแต่วัยเยาว์
น้องเฟยหยางเล่า
พี่เฟยหยางไปหาญาติผู้พี่สกุลจูที่จวนไท่หนิงโหวเจ้าค่ะ
ซื่อจื่อสกุลจูกระมัง หลีเจี่ยวลอบชื่นชมและอิจฉาอยู่ในใจไม่ได้
จวนไท่หนิงโหวเป็นตระกูลที่สูงศักดิ์กว่าจวนกู้ชางป๋อท่านตาของนาง นางเคยพบหน้าซื่อจื่อสกุลจูผู้นั้นคราหนึ่ง เป็นคนสุภาพนุ่มนวลดุจหยกโดยแท้
หลีเจี่ยวมองสำรวจตู้เฟยเสวี่ยโดยไม่ให้จับสังเกตได้
วันนี้นางสวมเสื้อคลุมตัวนอกสีเขียวสด ทำจากผ้าแก้วสีเขียวมรกตชั้นดีมีชื่อ ฝีมือเย็บละเอียดประณีต น่าเสียดายที่ผิวกายนางออกคล้ำ สวมแล้วดูไม่โดดเด่น
หลีเจี่ยวลอบขมขื่นใจ ไม่ว่าด้านรูปโฉมหรือความสามารถ นางเหนือกว่าญาติผู้น้องผู้นี้ทุกอย่าง แต่เพราะนางไม่มีมารดา ก็เลยไร้โอกาสเฉียดกรายเข้าสู่วงสมาคมสตรีชนชั้นสูงของญาติผู้น้อย
ปกติยังต้องอาศัยฮูหยินผู้เฒ่าที่จู้จี้เอาใจยากของจวนตะวันออกถึงได้เข้าร่วมงานเลี้ยงบ้าง
เรื่องราวในใต้หล้านี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย
ย่อมต้องเป็นซื่อจื่อสกุลจูแน่นอน ไม่เช่นนั้นยังจะมีใครได้อีกเจ้าคะ ยามเอ่ยถึงญาติผู้พี่จูเยี่ยน ตู้เฟยเสวี่ยตาเป็นประกาย พาให้ผิวกายที่คล้ำเล็กน้อยดูเปล่งปลั่งมากขึ้น
นางไม่อยากเอ่ยถึงบุรุษในดวงใจกับสตรีวัยเยาว์ ถึงเป็นญาติผู้พี่ก็ไม่ได้ จึงเปลี่ยนเรื่องพูด พี่เจี่ยว ข้าได้ยินว่าคุณหนูสามในจวนพวกท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ
น้องเฟยเสวี่ยรู้เรื่องนี้เหมือนกันรึ
ตู้เฟยเสวี่ยยิ้มเยาะ ทั่วทั้งเมืองหลวงยังมีผู้ใดไม่ล่วงรู้เล่า พี่เจี่ยวคงไม่รู้ว่าวันนั้นพอท่านย่าได้ทราบว่าท่านถูกถอนหมั้นแล้วโมโหจนกินอาหารไม่ลง ท่านปู่ถึงขั้นขว้างตะเกียบ แม้แต่ท่านพ่อข้าก็สีหน้าบูดบึ้งไปตั้งหลายวันเจ้าค่ะ
อย่างนั้นหรือ เป็นความผิดของข้าผู้เดียว ทำให้ผู้อาวุโสทั้งหลายต้องวุ่นวายใจแล้ว
เหตุผลที่พวกท่านตาไม่พอใจเพราะว่าสูญเสียเส้นสายสัมพันธ์ผ่านทางการผูกดองกับจวนฉางชุนป๋อทางอ้อมกระมัง หลีเจี่ยวคิดคำนึงอย่างเย็นชา
นั่นจะโทษท่านก็ไม่ได้นะเจ้าคะ หลีซานมิใช่ตัวการหรอกหรือ ตู้เฟยเสวี่ยมองไปรอบๆ แวบหนึ่งก่อนพูดเยาะหยัน วันนี้นางไม่มาหรือ จริงสิ เจอะเจอเรื่องพรรค์อย่างนั้น ยังมีหน้าออกจากเรือนได้อย่างไรกัน
ตู้เฟยเสวี่ยคล้องแขนกับหลีเจี่ยว พูดด้วยรอยยิ้มหวานต่อ พี่เจี่ยว พอคิดว่าวันหน้าไม่ต้องเจอหน้าคนน่ารังเกียจเช่นนั้นอีกข้าก็ดีใจ ประเดี๋ยวพวกเราไปแจกทานเมล็ดถั่วทำบุญกันนะเจ้าคะ
หลีเจียวบนขั้นบันไดสูงขึ้นไปตะโกนขึ้นอย่างหงุดหงิดในที่สุด พี่เจี่ยว พี่ตู้ ขืนยังไม่ไปอีกจะถูกพวกผู้อาวุโสเร่งแล้วนะเจ้าคะ!
อื้อ ไปกันเถอะ
ทางเดินขึ้นเขาไปยังวัดต้าฝูกว้างขวางราบเรียบ ทุกคนขึ้นไปถึงบนนั้นโดยไม่เปลืองแรงนัก
ซุ้มประตูทางเข้าวัดเปิดอ้ากว้าง เสียงกลองเสียงระฆังดังไม่ขาดสาย เหล่าภิกษุสวมจีวรสีเหลืองสาวเท้าเนิบนาบอยู่กลางลานโล่งเตียนกว้างขวาง สิงโตหินหน้าวัดแลดูศักดิ์สิทธิ์น่ายำเกรง น้ำมนต์ที่เตรียมไว้สำหรับสรงน้ำพระกำจายกลิ่นหอมเอกลักษณ์เฉพาะตัว
คุณหนูทั้งหลายให้ความสนใจกับพิธีกรรมสรงน้ำพระซึ่งจัดขึ้นปีละครั้งน้อยนิดมาก สิ่งที่ดึงดูดใจพวกนางมากกว่าคือการได้เที่ยวชมทิวทัศน์และพูดคุยยิ้มหัวกันอย่างเป็นอิสระบนเขาลั่วสยาอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ กระนั้นสิ่งที่ทำให้พวกนางเต็มใจกลับไปยังข้างกายผู้อาวุโสทั้งหลายได้ก็คือคัมภีร์พระธรรมที่ทุกๆ ตระกูลถวายให้แก่วัด
เบื้องหน้าสตรีสูงศักดิ์มากมายถึงเพียงนี้ หากคัมภีร์พระธรรมของตระกูลใดได้รับคำชมเชยจากองค์หญิงใหญ่ในอารามซูอิ่งท่านนั้น คุณหนูในตระกูลเหล่านั้นก็จะได้เชิดหน้าชูตาแล้ว
เมื่อกินอาหารมังสวิรัติเรียบร้อย พวกคุณหนูฮูหยินของทุกจวนจะรอคอยอยู่ตามโถงต่างๆ อย่างรู้กันเองอยู่ในใจ
* ต้นเฟิง หมายถึงต้นเมเปิ้ล