หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 454
บทที่ 454
เซ่าหมิงยวนงุนงงไปหมด
กลีบปากของเด็กสาวนุ่มนิ่มหอมละมุนดังเช่นที่เขาคุ้นเคย ทว่าก็แปลกไปโดยสิ้นเชิงด้วย
ที่ว่าคุ้นเคยเพราะเขาเคยลิ้มรสมาก่อน ส่วนที่แปลกไปเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายจูบเขา ทำให้เขารู้สึกคล้ายกับว่าหัวใจพองฟูจนแทบระเบิดออก
จุมพิตนั่นละม้ายแมลงปอแตะผิวน้ำ เฉียดผ่านไปในชั่วพริบตาท่ามกลางเสียงหัวใจเต้นโครมครามของชายหนุ่ม แต่ทำให้เขาดึงสติคืนมาไม่ได้เป็นนาน
“เซ่าหมิงยวน ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง” เฉียวเจาเอ่ยถามด้วยสีหน้าแดงซ่าน
ถ้าท่านย่ารู้ว่านางยังไม่ออกเรือนก็ทำเช่นนี้กับบุรุษ คงจะมองค้อนนางไม่หยุด
ส่วนท่านปู่…อืม ท่านปู่น่าจะพูดว่า ‘อย่าให้ท่านย่าของเจ้ารู้!’
“ไม่เข้าใจ” เขากล่าวตอบอย่างงุนงง เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไฉนเจาเจาทำอย่างนี้กับเขา
ตาเขามองไม่เห็น แต่ประสาทสัมผัสของเขาไม่ผิดปกติ เมื่อครู่นี้เจาเจาจูบเขากระมัง อีกทั้งจูบปากเขา…
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น กระนั้นเฉียวเจายังคงกระดากกระเดื่องอยู่บ้างยามพูดเรื่องนี้ นางจึงหลุบเปลือกตาลงเอ่ยว่า “ข้าไม่ปฏิเสธว่าเป็นเพราะเรื่องดวงตาของท่านทำให้ข้าตัดสินใจเช่นนี้”
เซ่าหมิงยวนหน้าเผือดลง เป็นเพราะดวงตาของเขาดังคาด
เจาเจาเป็นสตรีที่เปี่ยมไปด้วยความคุณธรรมน้ำใจ นางเห็นว่าตนมีส่วนทำให้ตาเขามีปัญหา ดังนั้นถึงอยากชดเชยให้เขา
“คุณหนูหลีไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเช่นนี้เพราะดวงตาข้า นี่ไม่ยุติธรรมเลย”
“เหตุใดไม่ยุติธรรม” เฉียวเจาย้อนถาม
“เพราะตาข้ามองไม่เห็น ต้นเหตุสำคัญที่สุดมาจากศีรษะได้รับบาดเจ็บ ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคุณหนูหลี ไยต้องแบกรับความรับผิดชอบไว้บนบ่าตนเองด้วยเล่า อีกประการหนึ่งคุณหนูหลีอยู่กับข้าเพราะเหตุผลนี้ ข้าไม่มีทางสบายใจ”
นางช้อนตามองบุรุษตรงหน้า
ขณะกล่าวคำนี้สีหน้าเขาสงบนิ่งมาก เห็นได้ว่าลึกๆ ในใจเขาคิดเช่นนี้จริงๆ
หรือว่าก่อนหน้านี้นางพูดอย่างไร้เยื่อใยเกินไป ทำให้เขาอ่านใจนางไม่ออกเลยใช่หรือไม่
“เซ่าหมิงยวน ท่านว่าความรับผิดชอบกับความชอบมีความเกี่ยวข้องใดต่อกัน”
“ความรับผิดชอบกับความชอบ?” เซ่าหมิงยวนพึมพำทวนคำแล้วกล่าวยิ้มๆ “ระหว่างสองสิ่งนี้มิได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใดแน่นอน”
มีเรื่องหลายเรื่องที่เขาไม่ชอบ แต่ต้องรับผิดชอบ
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่ สำหรับข้าแล้วหาได้เป็นเช่นนี้ไม่”
นางเพ่งมองชายหนุ่มนิ่งๆ ดวงตาเปล่งประกายพราวระยับ “เพราะว่าชอบ ข้าถึงเต็มใจรับผิดชอบ”
เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไปโดยสิ้นเชิง
หญิงสาวไม่นำพาว่าถ้อยคำนี้สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้เขามากเพียงใด นางกล่าวต่อไปเรื่อยๆ “แผ่นดินนี้มีบุรุษอยู่มากมายนับพันนับหมื่น หรือจะเป็นเพราะความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจของข้า ข้าก็ต้องเลือกอยู่เคียงข้างคนใดก็ได้ไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่ ถ้าท่านปู่หลี่รู้ว่าหลังจากข้าร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านแล้วมีจิตกุศลถึงเพียงนี้ คงดุด่าข้าไม่มีชิ้นดีแล้ว”
เพราะบุรุษคนนั้นคือท่าน เพราะคนที่ข้าชมชอบคือท่าน ฉะนั้นข้าถึงเต็มใจแบกรับความรับผิดชอบไว้
ความรับผิดชอบคือส่วนหนึ่งของความรักเสมอมา
เซ่าหมิงยวนเพียงรู้สึกราวกับว่าภายในอกเกิดแรงกระเพื่อมไหวรุนแรงยิ่งกว่าคลื่นทะเลนอกหน้าต่างซัดสาดใส่กลางใจเขาทีแล้วทีเล่า ส่งผลให้เขาเจียนแตกพ่ายไม่เป็นกระบวนแล้ว
เจาเจากำลังบอกเขาว่านางเต็มใจอยู่เคียงข้างเขาไม่ใช่เพราะสงสารหรือ
นางเองก็ชมชอบเขาเฉกเดียวกันใช่หรือไม่
ความคิดนี้ทำให้เขาวิงเวียนตาลายอยู่สักหน่อย เปล่งเสียงพูดไม่ออกสักคำเป็นนาน
เฉียวเจารออยู่นานสองนานไม่เห็นเขากล่าวตอบ นางถอนใจแรงๆ ดังเฮือกก่อนพูดอย่างกะบึงกะบอน “เซ่าหมิงยวน จะอย่างไรข้าก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ท่านต้องให้ข้าพูดถึงเพียงใดจึงจะพอใจ”
น้ำเสียงคล้ายงอนโกรธคล้ายตัดพ้อของเด็กสาวเปรียบดั่งตาข่ายที่ดักล้อมหัวใจของชายหนุ่มไว้ เป็นเหตุให้ในนั้นไม่เหลือที่ว่างให้กับความพะวักพะวนและหวาดหวั่นพรั่นกลัวอีกต่อไป
“ข้า…” เซ่าหมิงยวนแตกตื่นอยู่บ้าง
ด้วยเหตุผลเขารู้ว่าไม่สมควรโอนเอนสั่นคลอน เพราะมันจะฉุดสตรีอันเป็นที่รักให้จมปลัก แต่ด้วยอารมณ์แล้วเขาปฏิเสธไม่ได้สักนิด
เจาเจาเป็นภรรยาที่เขาสูญเสียไปแล้วได้คืนกลับมา หากไม่มีธนูดอกนั้นเขากับนางสมควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่แรก
เช่นนั้นเขาสามารถเห็นแก่ตัวสักคราได้ใช่หรือไม่ หากว่านางชมชอบเขาเหมือนกันล่ะก็…
“เซ่าหมิงยวน ท่านต้องยั่วโมโหข้าให้ได้ใช่หรือไม่”
“คุณหนูหลี ข้า…”
เฉียวเจาหัวเราะหึๆ “ข้ารู้แล้ว ข้าทำให้ท่านยุ่งยากลำบากใจ ต้องขออภัยจริงๆ นับแต่นี้เป็นต้นไปท่านสามารถผลักไสข้าไปไกลๆ ได้เต็มที่ จากนั้นอยู่โดดเดี่ยวเทื้อคาเรือน รอวันหน้าข้าออกเรือนไปกับคนอื่นแล้วอย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
เจ้าคนทึ่มผู้นี้ ดูทีว่าไม่ใช้ยาแรง เขาคงไม่ยอมซื่อสัตย์กับตนเอง
เฉียวเจาลุกขึ้นหมุนกายจะออกเดินไป
เซ่าหมิงยวนคว้าแขนเสื้อของนางไว้ตามสัญชาตญาณ
ฝ่ามือเขาพันผ้าไว้ ได้แต่ใช้ปลายนิ้วจับชายแขนเสื้อของนางไว้อย่างเงอะงะ เขากล่าวอย่างห้ามใจไม่อยู่ “ข้าต้องเสียใจภายหลังแน่”
นางหยุดฝีเท้าแล้วเหลียวหน้าไปมองเขา
เขามองไม่เห็นนาง กลับพยายามเบิกตากว้างๆ พลางพูดอย่างยอมจำนน “ข้าต้องเสียใจภายหลังจนนอนไม่หลับทุกคืน ต้องข่มอารมณ์ชั่ววูบไม่ถือดาบไปฟันใส่บุรุษผู้นั้นไว้ทุกวัน”
เฉียวเจายกมุมปากโค้งขึ้น เจ้าคนผู้นี้ซื่อสัตย์กับตนเองเสียที
นางแกะนิ้วมือของเขาออกแล้วนั่งลง “บนมือมีแผลอยู่ อย่าใช้มือสิ”
เขาปล่อยมือออกพร้อมกับลอบถอนใจเฮือก ในเมื่อพูดออกจากปากไปแล้ว ขืนเขาเป็นเต่าหดหัวอีกก็ไม่นับเป็นบุรุษ
ถึงกระนั้นปัญหาบางอย่างยังต้องแก้ไขอยู่ดี
“ข้าตาบอดแล้ว”
“บอดแล้วก็รักษาให้หายได้”
“ถ้ารักษาไม่หายเล่า”
“ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่ารักษาไม่หาย ข้าเป็นดวงตาให้ท่าน”
“แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าจะไม่สามารถเข้าสู่สนามรบได้อีก และด้วยวัยของข้าคิดจะถอนตัวเกรงว่าคงควบคุมทุกอย่างด้วยตนเองไม่ได้ อีกทั้งต้องผจญกับปัญหาตั้งมากเท่าไรก็สุดรู้…”
“ข้าเคยไม่ต้องผจญกับปัญหาตั้งแต่เมื่อไรหรือ”
“และต่อให้ถอนตัวได้อย่างราบรื่น เพื่อไม่ให้ถูกคนจับได้ ข้าอาจจะต้องไปจากเมืองหลวง…”
“เรือนของข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมาแต่ไหนแต่ไร”
“แต่ว่าอย่างนั้นข้าก็จะเป็นคนตาบอดที่สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่มีอำนาจยศศักดิ์ใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าอยู่กับข้าคงต้องทนรับความคับข้องหมองใจมากมาย…”
แม่นางเฉียวกลอกตาขึ้นอย่างสุดจะทน “เซ่าหมิงยวน ตอนนี้ท่านแค่มองไม่เห็น ไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ ท่านพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระพวกนี้ไปด้วยเหตุใด”
“…” เพราะอะไรท่าทีของเจาเจามักไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้อยู่ร่ำไปนะ
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดเมื่อได้ยินเสียงดุด่าของนาง จิตใจที่หนักอึ้งหลังจากดวงตาทั้งคู่มองไม่เห็นกลับผ่อนคลายลงมากอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
มีเจาเจาอยู่ ดูเหมือนว่าถึงดวงตาไม่หายเป็นปกติอีกก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวปานนั้น
“เซ่าหมิงยวน” เฉียวเจาเรียกขานเสียงหนึ่ง
“หือ?”
“ท่านไม่มีถ้อยคำที่ปกติสักหน่อยอยากบอกกับข้าหรือ” นางถามอย่างจริงจัง
“ข้า…” เซ่าหมิงยวนแอบสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนยื่นมือไปจะจับมือนาง จนใจที่มองไม่เห็นเลยคลำหาอยู่เป็นนานก็ไม่เจอเสียที
เฉียวเจาถอนใจอย่างหมดปัญญา นางยื่นมือไปให้เขา
แม่ทัพหนุ่มใช้ปลายนิ้วจับมือของเด็กสาวไว้เบาๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจังสุดจะเปรียบ “เจาเจา เช่นนั้นรอกลับถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าเต็มใจหมั้นหมายกับข้าหรือไม่”
เขาถามคำถามนี้ออกมาแล้วหัวใจเต้นระทึก เหงื่อซึมกลางอุ้งมือด้วยความประหม่าโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจามองบุรุษตรงหน้านิ่งๆ การต่อสู้ภายในใจและความลังเลทั้งหมดในอดีตถูกนางปัดเข้าไปในมุมที่ลึกที่สุดของหัวใจแล้ว นางกล่าวเสียงนุ่ม “เต็มใจ”
นางกล่าวจบก็เห็นความปีติยินดีระบายเต็มใบหน้าของชายหนุ่ม เขารวบตัวนางไปกอดไว้กับอก
“เจาเจา”
“หือ?”
“เทื้อคาเรือนเป็นคำที่ใช้กับสตรีนะ”
“หุบปาก!”
เจ้าคนปัญญาอ่อน!