หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 455
บทที่ 455
ทั้งสองสวมกอดกันครู่หนึ่ง เฉียวเจาค่อยดันตัวเขาออกเบาๆ “ท่านปล่อยมือเร็วเข้า”
เซ่าหมิงยวนคลายวงแขนอย่างว่าง่าย
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ในใจเฉียวเจาก็เจ็บแปลบๆ อีก
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีทางว่าง่ายเช่นนี้เป็นแน่ เพราะถึงที่สุดเรื่องดวงตาได้ทิ้งเงามืดไว้ในใจเขาแล้ว
หากว่าเป็นลิ่มเลือดในศีรษะกดทับเส้นชีพจรรอบดวงตา และลิ่มเลือดสลายไปได้ทันเวลายังพอทำเนา ถ้าไม่อย่างนั้นพอผ่านไปนานๆ จนเส้นชีพจรขาดก็ไม่อาจหายเป็นปกติได้แล้วจริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉียวเจาร้อนใจดุจไฟลน แต่จะแสดงออกมาให้เขากังวลใจก็ไม่เป็นการดี
“หลังจากนี้ทุกวันหลังกินอาหารเสร็จ ข้าจะมาฝังเข็มนวดกดจุดให้ท่านนะ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างต้องบอกข้าตามจริงทั้งหมด ห้ามปิดบัง”
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มพยักหน้า “ได้ เชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”
ชะรอยจะไม่ได้ดูแลตนเองอย่างพิถีพิถัน ปลายคางของเขาเริ่มมีไรหนวดเขียวๆ ขึ้นดูดิบเถื่อนกว่ายามปกติอยู่หลายส่วน เฉียวเจามองแล้วหน้าร้อนผะผ่าวอย่างไร้สาเหตุ นางเบนสายตาออกแล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าปล่อยตัวมอมแมมมอซอ หาไม่แล้วคนอื่นจะจับพิรุธได้ไม่ช้าก็เร็ว”
“ข้าไม่ได้มอมแมมมอซอนะ” เซ่าหมิงยวนทำน้ำเสียงใสซื่อ ใบหูกลับแดงเรื่อขึ้นทีละน้อย
ถึงแม้เขามองไม่เห็น แต่ตื่นเช้ามาก็ตั้งใจล้างหน้าดูแลเนื้อตัวให้สะอาดเรียบร้อย พวกเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นเยี่ยลั่วจัดเตรียมให้ไม่น่าจะเกิดข้อผิดพลาด แล้วมอมแมมมอซอตรงที่ใดกัน
“หนวดขึ้นแล้ว” เฉียวเจายื่นนิ้วไปจิ้มๆ ปลายคางเขา
อืม ที่แท้เป็นสัมผัสอย่างนี้นั่นเอง แม่นางเฉียวนึกในใจ
แม่ทัพหนุ่มแข็งทื่อไปคล้ายโดนฟ้าผ่า ขยับตัวไม่ได้อยู่นาน
เขารับรู้ได้ว่าปลายนิ้วนุ่มนิ่มของเด็กสาวแตะลงบนปลายคางตนเอง ถึงขั้นบี้ๆ ไรหนวดเขาอย่างซุกซน เป็นเหตุให้กลางอกเขาร้อนวาบๆ เป็นระลอก
ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วยึดมือนางไว้อย่างอดใจไม่อยู่
“เซ่าหมิงยวน” เฉียวเจาเรียกขานคำหนึ่ง “อย่าก่อกวน บาดแผลที่มือท่านยังไม่หายดีเลยนะ”
แม่ทัพหนุ่มไต่ถามอย่างหัวไวฉับพลัน “ถ้าอย่างนั้นรอแผลบนมือข้าหายแล้วจับมือเจ้าได้หรือไม่”
“ห้ามจับ” ถูกคนอื่นเห็นเข้าจะทำอย่างไร
“แค่เวลาที่พวกเราอยู่กันตามลำพังเอง”
“ถึงอย่างนั้นก็ห้ามจับ” ตอนนี้คิดจับมือนางตอนอยู่กันตามลำพัง พอถึงเวลานั้นจริงๆ คงคิดทำอย่างอื่นอีกใช่หรือไม่ จะปล่อยให้คนบางคนได้คืบเอาศอกไม่ได้
“แต่ข้ามองไม่เห็น ไม่จับมือเจ้าไว้จะรู้สึกว่าไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ ร่ำไป” ชายหนุ่มกล่าวอย่างน่าสงสาร
เฉียวเจาเม้มมุมปาก มองดูดวงตาสีดำใสบริสุทธิ์ของเขาแล้วใจอ่อนในที่สุด นางส่งเสียงในลำคอเบาๆ ว่า “อื้อ”
เซ่าหมิงยวนเริ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
นางลุกขึ้น “ข้ากลับไปศึกษาตำราแพทย์ก่อน ดูสิว่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือไม่”
การฝากทุกอย่างไว้กับโชคชะตาเฉกนี้ นางทนไม่ได้จริงๆ
“เจาเจา อยู่ต่ออีกสักเค่อหนึ่งได้หรือไม่”
เจาเจาตอบตกลงหมั้นหมายกับเขาแล้ว เขาอยากป่าวประกาศให้รู้ไปทั่วหล้าทันทีแทบใจจะขาด แต่สภาพในตอนนี้จะทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น หากทิ้งเขาไว้คนเดียว เขาต้องตื่นเต้นจนกระโดดลงทะเลแน่
“เหตุใดถึงเรื่องมากอย่างนี้นะ มิใช่เจอกันอยู่ทุกวันหรือ” แม้จะถามคำนี้แต่เฉียวเจายังคงนั่งกลับลงไป
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ประกายไฟกรุ่นๆ ที่ไหลวนเวียนอยู่รอบตัวเงียบๆ นั่นชวนให้กระสับกระส่ายวุ่นวายใจ
เฉียวเจากำมือเป็นหมัดอย่างประหม่า คนผู้นั้นมองไม่เห็นแท้ๆ นางจะตื่นเต้นอะไร
“เจาเจา ข้าอยากถามคำถามข้อหนึ่ง”
“ว่ามาสิ”
เซ่าหมิงยวนโน้มตัวเล็กน้อยไปทางที่ได้ยินเสียงนาง อมยิ้มเอ่ยถามขึ้น “เมื่อครู่นี้เพราะอะไรเจ้าถึงจูบข้า”
พวงแก้มของเด็กสาวซับสีแดงเรื่อทันควัน นางพูดอย่างโมโหกลบเกลื่อนความอาย “เซ่าหมิงยวน หยุดพูดนะ”
เขาถามทั้งที่รู้เช่นนี้ ยังมียางอายอยู่หรือไม่
สีหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ใกล้แค่คืบกลับไม่แปรเปลี่ยน ดวงหน้าหล่อเหลาพลันขยายใหญ่ขึ้นเบื้องหน้าสายตานาง
เรียวปากแห้งผากร้อนระอุของเขาประกบปากนางแล้วไล้เลียขบเม้มเบาๆ จากนั้นสบช่องที่กลีบปากแดงเผยอออกด้วยความตกตะลึงแทรกปลายลิ้นพลิกพลิ้วเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดลิ้นเล็กอย่างดูดดื่ม
“ท่านแม่ทัพ…” เสียงของเฉินกวงดังขึ้นนอกประตู
เฉียวเจาผลักชายหนุ่มที่ปากว่ามือถึงออกสุดแรง ดวงหน้าของนางแดงปลั่งดุจดอกท้อยามกล่าวเสียงลอดไรฟัน “เซ่าหมิงยวน ขืนท่านไร้ยางอายเยี่ยงนี้อีก ข้าจะเอาเข็มแทงท่านเสียเลย”
ชายหนุ่มโดนผลักไสก็ทำหน้าน้อยอกน้อยใจ “ข้ารู้แล้ว”
หลังจากนั้นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของเขาก็เปลี่ยนเป็นเฉยเมยอย่างว่องไว เขาเอ่ยถามเรียบๆ “มีเรื่องอะไร”
“ท่านแม่ทัพ คนผู้นั้นฟื้นแล้ว ท่านกับคุณหนูหลีจะไปดูหรือไม่ขอรับ”
“อื้อ รู้แล้ว” เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน
“รอประเดี๋ยวก่อน” เฉียวเจาอดโพล่งขึ้นไม่ได้
“หือ?” เขาฉงนใจอยู่บ้าง
นางกัดริมฝีปากอย่างมีน้ำโห “บอกให้ท่านรอก็รอก่อนสิ”
ยามพวกบุรุษถามซอกแซกแล้วช่างน่าชังดีแท้
นางจับผมที่รุ่ยร่ายเล็กน้อยให้เข้าที่อย่างรวดเร็ว จากนั้นลูบแก้มดูว่าไม่ร้อนผ่าวๆ ปานนั้นแล้วถึงลุกขึ้นบอกเสียงเรียบ “ไปเถอะ”
เซ่าหมิงยวนเดินนำหน้า ส่วนเฉียวเจาเดินตามหลัง นางมองดูเขาก้าวเท้าด้วยท่าทางตามสบายอยู่ห่างๆ แล้วลอบถอนใจเฮือก
ใต้หล้านี้คนที่สูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหันแล้วยังเยือกเย็นได้อย่างเซ่าหมิงยวนเกรงว่าคงมีอยู่นับนิ้วได้ ถ้าสลับเป็นนางเห็นทีว่าคงท้อแท้ใจไปพักหนึ่งถึงจะเผชิญหน้ากับมันด้วยจิตใจที่สงบได้
เมื่อคิดคำนึงเช่นนี้ไฟโทสะที่ปะทุขึ้นในใจเฉียวเจาเพราะพฤติกรรมไร้มารยาทของคนบางคนเมื่อครู่นี้ก็ดับวูบไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ช่างเถิด ตอนนี้นางไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาด้วยเรื่องพวกนี้ รอเขาหายดีแล้วค่อยคิดบัญชีอีกที
เซ่าหมิงยวนดึงประตูห้องเปิดออก
เฉินกวงชำเลืองมองเฉียวเจาแวบหนึ่งอย่างฉับไวก่อนกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านแม่ทัพ คุณชายฉือกับหยางซื่อจื่อล้วนอยู่ในห้องของคนผู้นั้นแล้ว กำลังรอท่านกับคุณหนูหลีไปที่นั่น ท่านยังไม่รู้ว่าคนผู้นั้นถูกพาตัวไปอยู่ที่ใดกระมัง เชิญตามข้ามาขอรับ”
“คุณหนูหลีรู้เรื่องแล้ว” เซ่าหมิงยวนบอกข่าวนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฉินกวงสะดุดเท้าตนเองทีหนึ่ง เขามองไปทางเฉียวเจาอย่างตะลึงลาน “คุณหนูหลีทราบแล้วหรือขอรับ”
เฉียวเจาพยักหน้า
มาตรว่าเซ่าหมิงยวนจะมองไม่เห็น กลับรู้ว่าขณะนี้เฉินกวงกำลังมองนางอยู่ เขาก็ไม่สบอารมณ์ทันใด
เขายังไม่ได้เห็นหน้าเจาเจาของเขา เรื่องอะไรให้คนอื่นจับจ้องมองดู
“รีบนำทางสิ” แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ขอรับ” เฉินกวงขานรับเสียงดังกังวานแล้วก้าวขาออกเดินตัวปลิวไป
ท่านแม่ทัพทำเช่นนี้ไปไยเล่า บอกคุณหนูหลีแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ดึงดันจะปิดบังให้ได้ ผลปรากฏว่าปิดได้วันเดียว!
องครักษ์น้อยพลางเดินพลางโคลงศีรษะอย่างสะท้อนใจ
ท่านแม่ทัพผู้องอาจห้าวหาญและชาญฉลาดเจ้าความคิดเป็นนิจของพวกข้าร้ายกาจจริงๆ ดีชั่วยังปิดบังได้ตั้งหนึ่งวันเชียวนะ!
“ถิงเฉวียน คุณหนูหลี พวกเจ้ามากันได้เสียที เจ้าลูกเต่านี่ฟื้นแล้ว” พอเห็นพวกเฉียวเจาเข้ามา หยางโฮ่วเฉิงบอกเสียงฮึดฮัดทันที
เฉียวเจาสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยปากขึ้นก่อน “ฟื้นแล้วหรือ”
หลังคนผู้นั้นฟื้นขึ้นเห็นหยางโฮ่วเฉิงกับฉือชั่นมาถึงแล้วสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ครั้นเห็นนางเข้ามากลับคล้ายเห็นภาพน่าสะพรึงกลัวอะไรสักอย่าง ใบหน้าซีดเผือดอย่างตื่นตกใจ ได้ยินนางไต่ถามก็ตอบพร้อมกับเสียงฟันกระทบกันดังกึกๆ “ฟะ…ฟื้นแล้ว…”
“เจ้าชื่ออะไร”
“หูต้า”
“เป็นลูกพี่ใหญ่ในกลุ่มของพวกเจ้ารึ”
“มะ…ไม่ใช่…”
“โกหกอีกแล้ว!” แม่นางเฉียวขมวดคิ้ว
พอเห็นนางขมวดคิ้ว หูต้าแทบน้ำตาร่วงริน “ชะ…ใช่ๆ ข้าเอง! คุณหนูโปรดไว้ชีวิตด้วย อย่าโยนข้าลงทะเลเลย…”
นางมารน้อยผู้นี้มีตาทิพย์ใช่หรือไม่ เพราะอะไรถึงโดนนางจับได้อีกแล้ว
เฉียวเจาแค่นหัวเราะ “อย่าให้มีคราวต่อไป บอกมาสิ พวกเจ้าไปเสาะหาหญิงสาวมาจากที่ใดแล้วขายให้ใคร”