หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 456
บทที่ 456
หูต้าตอบคำถามของเฉียวเจาไม่ออก
นี่เป็นเรื่องการค้าหญิงสาว คนถามกลับเป็นสตรีนางหนึ่ง เขาหวั่นใจว่าพูดออกมาแล้วนางมารน้อยผู้นี้ต้องสั่งคนโยนเขาลงทะเลไปเป็นอาหารปลาทันที
“ความอดทนของพวกข้ามีอยู่จำกัดนะ” เฉียวเจาเอ่ยเตือนเสียงราบเรียบ
หูต้ามองสบสายตานิ่งสนิทของเด็กสาวแล้วหนังศีรษะชาวาบๆ เขารู้ว่าน้องมารน้อยพูดจริงทำจริง
ช่างเถิด ไม่พูดต้องถูกโยนลงทะเลไปเป็นอาหารปลาแน่นอน แต่พูดอย่างเปิดเผยดีไม่ดีอาจมีทางรอดรำไร ก็ตอบตามสัตย์จริงเถอะ
“หญิงสาวพวกนั้น…บ้างโดนพวกข้าฉุดคร่ามา บ้างก็…”
“ขืนอมพะนำอีกจะโยนเจ้าออกไปทางหน้าต่างเสีย!” หยางโฮ่วเฉิงพูดข่มขู่
หูต้าสะดุ้งวาบในใจ เขาหลับตากล่าวขึ้น “บ้างก็ซื้อมา”
“ซื้อมา? ซื้อมาจากที่ใด” เฉียวเจาถามต่อ
หูต้ากลอกตามองทุกคนก่อนไต่ถาม “ทุกท่านมิใช่คนถิ่นนี้กระมัง”
“อย่าพูดพล่าม!” ฉือชั่นเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ขะ…ข้าแค่กลัว…”
ฉือชั่นตัดบทเขา พูดเสียงเย็นๆ “เจ้าอาจถูกโยนลงไปเป็นอาหารปลาได้ทุกเมื่อยังจะกลัวอะไรอีก บอกมาให้หมดเปลือกอย่างตรงไปตรงมา ถ้าพวกข้าอารมณ์ดี ไม่แน่ว่าจะไว้ชีวิตสุนัขเยี่ยงเจ้าสักครา”
หูต้าตาเป็นประกาย “พวกท่านไม่สังหารข้าจริงๆ หรือ”
หยางโฮ่วเฉิงชักมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาตรงหน้าเขา “ขืนพูดมากอีกก็จะเชือดทิ้ง”
“ได้ๆ ข้าบอก ข้าบอกเดี๋ยวนี้เลย ปกติหญิงสาวที่พวกข้าหาได้ส่วนใหญ่มาจากการลักพาตัว หากรวบรวมได้ไม่มากพอก็จะซื้อจากคนที่ชื่อว่าหลิวเอ้อร์เฉียวในตำบลไป๋อวี๋ให้ครบจำนวน”
“หลิวเอ้อร์เฉียวในตำบลไป๋อวี๋? เขาหาหญิงสาวมาจากที่ใดตั้งมากมายอย่างนี้” เฉียวเจาถาม
หูต้ารู้สึกขบขัน “ไฉนจะไม่มี หลิวเอ้อร์เฉียวดูภายนอกเป็นแค่เศรษฐีบ้านนอกผู้หนึ่ง แต่จริงๆ แล้วคนที่หนุนหลังเขาอยู่เป็นถึงขุนนาง ทางการออกคำสั่งให้เมืองเล็กๆ พวกนั้นส่งมอบหญิงสาวตามกำหนด ส่วนหนึ่งเอามาไว้รับหน้าชาววอโค่ว แล้วจะทำอย่างไรกับส่วนที่เหลืออยู่เล่า หรือยังจะส่งคืนกลับไปอีก”
ยามกล่าวถึงตรงนี้แววอำมหิตผุดขึ้นบนหน้าหูต้า เขากล่าวเยาะๆ “ก็เข้าตำราที่ว่าอ้อยเข้าปากช้างแล้วยากจะง้างเอาคืนมาได้ ขุนนางพวกนั้นเลยหาคนอย่างพวกหลิวเอ้อร์เฉียวเป็นคนออกหน้าขายหญิงสาวพวกนี้ออกไปก็จะได้หาเงินเข้าพกเข้าห่อบ้างมิใช่หรือ”
คำกล่าวของหูต้าทำให้ทุกคนสะท้านเยือกไปถึงขั้วหัวใจพร้อมกับแรงโทสะที่ลุกโชนขึ้น
“เจ้าหน้าที่ทางการของที่นี่ก่อกรรมทำชั่วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” หยางโฮ่วเฉิงประสานมือบีบเข้าหากันจนได้ยินเสียงกร๊อบๆ
ฉือชั่นเม้มริมฝีปากบางจนแน่น สีหน้าเอื่อยเฉื่อยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
หูต้าหัวเราะขลุกขลัก “ผู้กล้าทุกท่านมาจากต่างเมืองจริงๆ พวกเจ้าหน้าที่ทางการขายหญิงสาวไม่กี่คนจะนับว่ามีอะไร ขอแค่มีเงินทองให้กอบโกย มีเรื่องใดบ้างที่พวกเขาทำไม่ได้ ทุกท่านนึกว่าข้าหูต้าเกิดมาก็ทำมาค้าขายผิดศีลธรรมเช่นนี้หรือ เปล่าเลย หลายปีก่อนพวกข้าก็เป็นครอบครัวคนสุจริต เลี้ยงไหมขายแพรพรรณเป็นอาชีพหลัก แต่โลกเราแปรเปลี่ยนไป ไม่เปิดช่องให้คนใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายซื่อตรง”
“ไฉนกล่าวเช่นนี้” เซ่าหมิงยวนถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
หูต้ามองเซ่าหมิงยวนปราดหนึ่ง
เขาแอบสังเกตเห็นคนหนุ่มที่เงียบขรึมไม่ช่างพูดคนนี้แต่แรก จากประสบการณ์รบทัพจับศึกอย่างโชกโชนที่ผ่านมาหลายปีดีดักของเขา ในบรรดาคนเหล่านี้นอกจากเด็กสาวผู้นั้น คนที่มีอำนาจอย่างแท้จริงน่าจะเป็นชายหนุ่มผู้นี้
“พวกข้าหมดหนทางแล้วน่ะสิ ผลิตผลที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกข้า พ่อค้าเดินเรือเหล่านั้นไม่ยอมจ่ายเงินซื้อ อย่าว่าแต่ตั้งราคาสูง ขายให้ถูกๆ พวกเขายังไม่ต้องการ ใช้วิธีปล้นชิงเอาไปง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนก็ได้กำไรอักโข”
“ทางการไม่ดูแลจัดการเลยหรือ” หยางโฮ่วเฉิงมุ่นคิ้วเอ่ยถาม
หูต้าแค่นเสียงเยาะ “ดูแลจัดการอะไร คนที่หนุนหลังพ่อค้าเดินเรือพวกนั้นอยู่ก็คือทางการ พ่อค้าเดินเรือปล้นสินค้าพวกข้าไปขายหาเงินหาทอง เจ้าหน้าที่ทางการก็ได้ส่วนแบ่งก้อนโต ทุกท่านนึกจริงๆ หรือว่าแถบชายทะเลแดนใต้ของพวกข้ามีชาววอโค่วชุกชุมปานนั้น เรื่องมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ความจริงแล้วชาววอโค่วมากมายหลายคนก็คือพวกพ่อค้าเดินเรือในอดีตนี่เอง”
“นี่เป็นความจริงหรือ!” หยางโฮ่วเฉิงตกใจขนานใหญ่ เขาอดมองไปทางสองสหายรักไม่ได้
เซ่าหมิงยวนตามองไม่เห็น ใบหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใดสักกระผีก เพียงรับฟังเงียบๆ
ด้านฉือชั่นเอ่ยขึ้นอย่างงุนงง “สถานการณ์ทางชายทะเลวุ่นวายถึงเพียงนี้ เหตุไฉนไม่มีข่าวแพร่ไปถึงเมืองหลวง”
องครักษ์จินหลินกระจายตัวอยู่ทั่วทุกสารทิศของแผ่นดิน หรือว่ากลุ่มที่ประจำการอยู่แถบชายทะเลแดนใต้ล้วนเป็นคนหูหนวกตาบอด
ได้ยินคำถามของฉือชั่นแล้วหูต้ามิได้กล่าวตอบ คนในระดับชั้นอย่างเขาเป็นธรรมดาที่จะคิดไปไม่ถึงเรื่องพวกนี้
“หากเป็นอย่างนี้หญิงสาวที่พวกเจ้าเสาะหามาพวกนั้นมิได้ขายให้ชาววอโค่ว แต่ขายให้พ่อค้าเดินเรือหรือ” เฉียวเจาซักถาม
“พ่อค้าเดินเรืออะไรกัน บัดนี้พวกข้าล้วนเรียกขานคนพวกนั้นว่าโจรเร่ร่อน แล้วกลุ่มโจรเร่ร่อนนั่นบ้างก็เป็นชาวต้าเหลียงทั้งหมด บ้างก็เป็นชาวต้าเหลียงกับชาววอโค่วจริงๆ ปะปนกัน แต่ทางการจะบอกต่อคนภายนอกว่าเป็นชาววอโค่วเสมอ”
“รอบนี้มีหญิงสาวกี่คน”
“สิบ…สิบสองคน…”
เฉียวเจาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
หูต้าสะดุ้งโหยงทันที เขากล่าวโพล่งออกมา “ไม่ใช่สิบสองคน มีสิบคน!”
“ไฉนลดลงสองคน”
หูต้ามองพวกเขาแล้วร้อนๆ หนาวๆ เขาก้มหน้าลงพูด “มีสองคนไม่ได้เฝ้าไว้ให้ดี โดดทะเลตายไปแล้ว…”
หยางโฮ่วเฉิงเงื้อมือตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “คนที่สมควรตายอย่างแท้จริงคือเจ้าลูกเต่าบัดซบเช่นพวกเจ้าต่างหาก!”
หูต้ากุมแก้มพร้อมกล่าววิงวอน “ท่านผู้กล้าโปรดระงับโทสะด้วย พวกข้าก็ถูกบีบคั้นให้จนตรอกแล้วถึงได้เดินเข้าสู่เส้นทางสายนี้”
เฉียวเจากวาดตามองหูต้าอย่างปึ่งชาถึงถามต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดพวกเจ้าถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้”
“โกงกันเองใช่หรือไม่” ฉือชั่นยิ้มกริ่มถามขึ้น
หูต้าทำหน้าม่อยคอตกกล่าวตอบ “สินค้ารอบนี้…มิใช่ ในหมู่หญิงสาวรอบนี้มีของดีเป็นพิเศษ พวกข้าเลยเพิ่มราคาเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะบันดาลโทสะ…”
“พวกเจ้าไปซื้อขายกันที่เกาะของอีกฝ่ายหรือ” เซ่าหมิงยวนพลันเอ่ยปากถาม
“ไม่ใช่ แต่สถานที่ซื้อขายอยู่ห่างจากเกาะเล็กๆ ที่พำนักของคนพวกนั้นไม่ไกล”
“อีกฝ่ายมีคนมากเท่าไร ที่พำนักของพวกเขาอยู่ที่ใด”
“จำนวนคนของอีกฝ่ายมีทั้งหมดเท่าไรข้าไม่แจ่มแจ้ง ทว่าทุกคราที่ซื้อขายกันกลางทะเล ฝ่ายนั้นจะมากันยี่สิบสามสิบคน ส่วนที่พำนักของพวกเขาอยู่ที่เกาะหมิงเฟิง เป็นเกาะที่เพิ่งยึดครองไว้เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว”
“เยี่ยลั่ว หยิบแผนที่ทะเลมาให้เขาชี้ตำแหน่งสิ”
เยี่ยลั่วหยิบแผนที่ทะเลแผ่นหนึ่งมากางออกตรงหน้าหูต้าอย่างว่องไว เขายื่นมือชี้ที่จุดจุดหนึ่งพลางพูด “ตอนนี้พวกเราน่าจะอยู่ตรงตำแหน่งนี้ เกาะหมิงเฟิงนั่นตั้งอยู่ทิศทางใด”
หูต้าเบิกตากว้างๆ มองแผนที่ทะเลอยู่นานสองนาน ก่อนจะชี้ที่จุดหนึ่งพร้อมกับบอกอย่างไม่แน่ใจ “อาจจะเป็นเกาะนี้กระมัง ข้า…ข้าดูเจ้าสิ่งนี้ไม่ค่อยเป็น”
เยี่ยลั่วไม่ปริปาก
“เฉินกวง ซักถามเขาอย่างละเอียด สือซี ฉงซาน พวกเราออกไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
เซ่าหมิงยวนหมุนกายเดินนำหน้าออกจากห้อง เยี่ยลั่วรีบติดตามไปอย่างเงียบๆ
พวกเขาเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง
“เยี่ยลั่ว ที่หูต้าชี้บอกเมื่อครู่เป็นสถานที่อะไร” เซ่าหมิงยวนเอ่ยถาม
น้ำเสียงของเยี่ยลั่วไม่แฝงอารมณ์ใดไว้แม้สักน้อยนิด “เรียนท่านแม่ทัพ เกาะหมิงเฟิงที่หูต้าชี้บอกเป็นเกาะซึ่งหมอเทวดาหลี่หยุดพักแรมเมื่อครั้งออกเสาะหาตัวยา ตอนนั้นที่นั่นยังเป็นเกาะร้างขอรับ”
“หากเป็นเช่นนี้พวกเรามิต้องเผชิญหน้ากับคนกลุ่มนั้นอย่างหนีไม่พ้นหรือไร” หยางโฮ่วเฉิงโคลงศีรษะ “การออกเดินทางเสาะหาตัวยาหนนี้ไม่ราบรื่นเลยสักอย่างจริงๆ พวกเรามีคนหยิบมือเดียวเท่านี้ ส่วนอีกฝ่ายมีคนมากเพียงใดกันแน่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป”
“สือซี ฉงซาน มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับพวกเจ้า”
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงหันไปมองเซ่าหมิงยวนเป็นตาเดียวกัน
เซ่าหมิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ขึ้นว่า “ตาข้ามองไม่เห็นแล้ว”