หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 457
บทที่ 457
“อื้อ ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด…” หยางโฮ่วเฉิงกัดลิ้นทีหนึ่ง “อะไรนะ!”
เขาเบิกตาโพลงหันไปมองฉือชั่นอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อครู่เจ้าได้ยินถิงเฉวียนพูดว่าอะไร ชัดเจนหรือไม่”
ฉือชั่นซึ่งตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริดดุจเดียวกันมีสีหน้านิ่งขึงไป
กลับเป็นเซ่าหมิงยวนที่พูดซ้ำอีกรอบหนึ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ตาข้ามองไม่เห็นแล้วก็หมายความว่าตาบอด”
หยางโฮ่วเฉิงอ้าปากค้างหุบไม่ลงเป็นนาน เขาพูดงึมงำราวกับอยู่ในความฝัน “ข้าฟังภาษาต้าเหลียงรู้เรื่อง แต่ฟังไม่เข้าใจว่าถ้อยคำนี้ของเจ้าหมายถึงอะไร ไฉนจู่ๆ ก็มองไม่เห็นเล่า อีกอย่างเสียงพูดของเจ้าเป็นเช่นเดียวกับเวลาที่บอกว่า ‘วันนี้ข้ากินข้าวเยอะไป’ ทำให้คนอื่นตั้งตัวไม่ทันเกินไปแล้วนะขอทีเถิด!”
“เกิดขึ้นเมื่อไร” ฉือชั่นที่ตั้งสติได้แล้วเอ่ยถามขึ้น
สีหน้าแววตาของเซ่าหมิงยวนนิ่งเฉยดุจเก่า “รู้หลังจากฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน”
ฉือชั่นตวัดสายตามองเฉียวเจาปราดหนึ่ง “หลีซานรู้เรื่องแล้ว?”
เฉียวเจาพยักหน้า
“ถิงเฉวียน ดวงตาเจ้าผิดปกติตั้งแต่เมื่อวาน เหตุใดเพิ่งมาบอกตอนนี้เล่า” หยางโฮ่วเฉิงไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรดีแล้ว เขามองที่ดวงตาของสหายอย่างวิตกกังวล
ฉือชั่นกล่าวเสียงเย็นๆ “เจ้าโง่ เขาต้องโดนหลีซานจับได้แน่ถึงได้เปิดเผยกับพวกเรา”
หยางโฮ่วเฉิงมองไปทางเซ่าหมิงยวน
เขากระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่ง แต่มุมปากกลับอมยิ้มบางๆ ถือว่ายอมรับโดยปริยาย
ฉือชั่นมองเซ่าหมิงยวนแล้วค่อยมองเฉียวเจาอีกที เขาแย้มปากยิ้มดูเหมือนเข้าใจอะไรๆ ได้แล้ว จากนั้นก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามเฉียวเจา “ตาของถิงเฉวียนจะหายเป็นปกติได้เมื่อไร”
เห็นท่าทางไม่อนาทรร้อนใจของสองคนนี้แล้วน่าจะมิใช่ปัญหาใหญ่โตกระมัง
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ บาดเจ็บที่ศีรษะค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยากเจ้าค่ะ”
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมา
“แล้วจะทำอย่างไร กลางทะเลไม่มีอะไรสักอย่าง ถ้าอยู่เมืองหลวง ดีชั่วให้หมอหลวงตรวจอาการให้ได้”
ฉือชั่นปรายตามองสหายทางหางตา “ให้หมอหลวงตรวจดวงตาของถิงเฉวียนได้หรือ ในสมองเจ้าเต็มไปด้วยขี้เลื่อยแล้วใช่หรือไม่”
หยางโฮ่วเฉิงอ้าปากออกแล้วถอนใจแรงๆ
“หมอหลวงก็คงจะหมดปัญญาเช่นกัน เว้นแต่ว่า…” ดวงหน้าของเฉียวเจาหม่นหมองลง นางมิได้กล่าวต่อจนจบ
เว้นแต่ว่าท่านปู่หลี่ยังมีชีวิตอยู่อาจจะมั่นใจว่ารักษาได้
“พวกเจ้าอย่าเป็นเช่นนี้สิ ในเมื่อตาข้าจะหายหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต ก็ไม่ต้องคิดเรื่องนี้อีกแล้ว ข้าเพียงอยากให้พวกเจ้ารู้เรื่องนี้ไว้ พวกเรามาหารือเรื่องงานกันดีกว่า” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างเยือกเย็น
หยางโฮ่วเฉิงกุมขมับ ตาบอดแล้วยังไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญอะไรหรือ
“เรื่องไปเกาะหมิงเฟิง พวกเจ้ามีความคิดเห็นใดกันบ้าง” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
ตัวยาที่ออกเดินทางมาเสาะหาในคราวนี้อยู่ในบริเวณทะเลใกล้ๆ เกาะหมิงเฟิง หากอยากให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงจำเป็นต้องเข้าไปที่นั่น ถึงตอนนั้นคงยากจะหลีกเลี่ยงการปะทะกัน
หยางโฮ่วเฉิงตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วกล่าว “คนของฝ่ายเราที่ต่อสู้ได้นับรวมๆ กันแล้วมีสิบกว่าคนเท่านั้น ถิงเฉวียนยังมีปัญหาที่ดวงตา จากคำบอกเล่าของหูต้าผู้นั้น ข้าคาดประมาณว่ามีคนบนเกาะหมิงเฟิงอยู่ร้อยกว่าคนเป็นอย่างต่ำกระมัง พวกเราไปที่นั่นก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง ตามความเห็นข้าคือยกเลิกภารกิจหนนี้ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสีย”
“ถ้ายกเลิกล่ะก็ หลีซานกลับไปแล้วจะรายงานตัวได้ยากน่ะสิ” ฉือชั่นเอ่ยเตือนเสียงเรียบ
หยางโฮ่วเฉิงฉีกยิ้มกว้าง “นั่นก็ช่วยมิได้ไม่ใช่หรือ ไทเฮาต้องทรงไม่รู้ว่าแถบชายทะเลที่นี่อันตรายถึงเพียงนี้ ถ้าทรงรู้ล่ะก็ คงห้ามไม่ให้พวกเรามาเป็นแน่”
ฉือชั่นมองเขาแวบหนึ่งแล้วยิ้มอ่อนๆ “พูดผิดแล้ว ไทเฮาทรงไม่ให้พวกเรามา แต่หลีซานยังคงต้องมา”
“จริงของเจ้า แต่ตอนนี้เป็นพวกเราที่ไม่ไปเอง จะกล่าวโทษคุณหนูหลีไม่ได้ ข้าว่าทำตามนี้เถอะ พวกเราหันหัวเรือกลับเดี๋ยวนี้เลย หนนี้ก็ถือว่าออกมาเปิดหูเปิดตา ถิงเฉวียน เจ้าว่าอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ก็ควรสุขุมรอบคอบสักหน่อย ตอนนี้ไปที่เกาะหมิงเฟิงทั้งๆ ที่ยังไม่มีทางรู้ว่าบนนั้นมีคนเท่าไรมิใช่การกระทำที่ชาญฉลาด พวกเรากลับไปก่อนค่อยวางแผนกันอีกทีก็ไม่สาย สือซี ความเห็นของเจ้าเล่า”
ฉือชั่นแย้มปากยิ้มๆ “พวกเจ้าล้วนกล่าวเช่นนี้แล้ว สำหรับข้าแน่นอนว่าอย่างไรก็ได้”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ระเบียงทางเดิน ชั่วครู่ต่อมาเสียงขององครักษ์จินอู๋ผู้หนึ่งดังขึ้น “หัวหน้า เกิดเหตุแล้วขอรับ”
“เข้ามาพูด”
องครักษ์จินอู๋ผลักประตูเข้ามา “มีเรือมาจากทางข้างหน้าอีกแล้วขอรับ”
“มีเรือมาอีกแล้วหรือ” หยางโฮ่วเฉิงมองทุกคนรอบหนึ่ง “ข้าออกไปดูสักหน่อย”
ฉือชั่นสาวเท้าตามไป
เซ่าหมิงยวนหันหน้าไปทางเฉียวเจา “เจาเจา พวกเราก็ไปดูด้วยเถอะ”
“อื้อ ไปสิ” เฉียวเจาเดินอยู่ด้านหน้าเหลียวมามองเขา
เซ่าหมิงยวนคล้ายรับรู้ได้ เขากล่าวยิ้มๆ “มีอะไรหรือ”
“จะไม่ไปที่เกาะหมิงเฟิงนั่นจริงๆ หรือ”
“ยังไม่ไปตอนนี้ ตอนแรกเยี่ยลั่วบอกว่าทางนั้นเป็นเกาะร้างไร้ผู้คนถึงมิได้ใคร่ครวญอะไรมากนัก บัดนี้รู้ว่าที่นั่นเป็นที่พำนักของชาววอโค่วเหล่านั้นแล้ว วางแผนให้ละเอียดรอบคอบขึ้นจะดีกว่า” เขาพูดกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ “เจาเจาไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าเกิดเสาะหาตัวยาไม่ได้ กลับเมืองหลวงแล้วก็ไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรมีข้าตบแต่งเจ้าเป็นภรรยา ไม่จำเป็นต้องสร้างชื่อเสียงกิตติศัพท์เป็นที่ไว้วางพระทัยของไทเฮา”
“พูดเช่นนี้ข้ายังต้องขอบคุณท่านด้วยสินะ” เฉียวเจามองค้อนเขาวงหนึ่ง
นางอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ได้มีชื่อเสียงดีงามอันใดอยู่แต่เดิม หากมิใช่ต้องการสืบหาความจริงของเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว ใครจะอยากดั้นด้นมาถึงที่นี่ สำหรับสตรีอื่นได้ชื่อว่าเป็นที่ไว้วางพระทัยของไทเฮาอาจเป็นเกียรติยศล้นฟ้า แต่สำหรับนางแล้วเป็นปัญหาใหญ่หลวงเลยทีเดียว
หากนางมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา คนในครอบครัวอยากให้นางออกเรือนจะทำฉันใด มิใช่ง่ายดายกว่าที่คนทั้งตระกูลล้วนปักใจว่านางไม่มีทางได้แต่งงานแล้ว!
แน่นอนว่าพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็ไร้ความหมายแล้ว…
แม่นางเฉียวชายตามองบุรุษข้างกาย นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง มุมปากของนางยกโค้งขึ้นอย่างสุดระงับ
ถ้าออกเรือนไปกับเขา ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องย่ำแย่ปานนั้น
เฉียวเจาเพิ่งเดินมาถึงหัวเรือก็เห็นเรือที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที นางเป็นคนตัวเล็กเตี้ย จึงได้แต่ยืนเขย่งชะเง้อมองไป
“เรือลำไม่ใหญ่ ประเดี๋ยวก่อน ด้านหลังคืออะไร” หยางโฮ่วเฉิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องตาพร้อมกับหรี่ตามอง
“ท่านแม่ทัพ ด้านหลังเรือลำนั้นยังมีเรือใหญ่ตามมาอีกลำหนึ่งขอรับ” เยี่ยลั่วเห็นชัดถนัดตาแล้วกล่าวรายงานทันที
“ไปบอกให้เฉินกวงพาหูต้าออกมา”
เรือเล็กลำนั้นแล่นตรงมายังทิศทางที่พวกเฉียวเจาอยู่ มีเรือลำใหญ่ไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด รอเมื่อเฉินกวงลากตัวหูต้ามาถึง เรือเล็กเรือใหญ่ทั้งสองลำก็เข้ามาอยู่ใกล้ๆ เรือของพวกเขาแล้ว
“มีเรือมาอีกลำหนึ่ง หูต้า เจ้าดูสิว่าจดจำธงของเรือที่แล่นมาได้หรือไม่” เฉียวเจาอ้าปากพูด
เวลานี้คนที่หูต้าเกรงกลัวที่สุดคือเฉียวเจา พอได้ยินนางถามก็รีบมองไปอย่างฉับไว แต่ในพริบตาเดียวนี้ทำให้เขาเข่าอ่อนทรุดฮวบลงด้วยความขวัญหนีดีฝ่อทันใด
“เป็นชาว…เป็นชาววอโค่วบนเกาะหมิงเฟิง ธงสีเขียวขาวผืนนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา!”
หยางโฮ่วเฉิงเงื้อเท้าเตะเขาทีหนึ่ง แล้วพูดตะคอกเสียงกราดเกรี้ยว “เจ้าลูกเต่าบัดซบ! ตกลงเจ้ายังมีอะไรปิดบังพวกข้าอีก ถึงกับทำให้คนอื่นส่งเรือออกมาสองลำไล่ล่าสังหารให้สิ้นซาก”
“ข้าเปล่านะ” หูต้ากล่าวอย่างงุนงง เขากลายเป็นคนสำคัญถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ไม่ถูกสิ เรือใหญ่ลำนั้นไล่ตามเรือเล็กมานะ” ฉือชั่นยืนพิงราวรั้วพลางกล่าว
เขาพูดจบก็บอกกับหยางโฮ่วเฉิงทันที “สั่งการลงไป หันหัวเรือกลับ ถอยห่างจากเรือสองลำนี้ไปไกลๆ โดยไว”
การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากน่ะมิใช่ปัญหา ทว่าเงื่อนไขคือพวกเขาต้องปกป้องตนเองได้ด้วย ขณะนี้ดวงตาทั้งคู่ของถิงเฉวียนมองไม่เห็น องครักษ์จินอู๋สิบกว่าคนเจอกับชาววอโค่วจะทำอะไรได้ ดังนั้นอยู่ห่างๆ ได้ยิ่งไกลเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น
เพลานี้เองมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากเรือลำเล็กอย่างกะทันหัน