หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 458
บทที่ 458
“โปรดช่วยพวกข้าด้วย!” เสียงของสตรีดังลอยมา
สุ้มเสียงนี้คุ้นหูเฉียวเจาอย่างมาก นางดันตัวหยางโฮ่วเฉิงที่บังสายตาตนออกไป มองปราดเดียวก็หน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ นางสะกิดแขนเซ่าหมิงยวนทีหนึ่งอย่างว่องไวพลางบอก “คุณหนูเซี่ย”
เป็นเซี่ยเซิงเซียวสหายรักของนางเองหรือนี่ นางไม่นึกไม่ฝันว่าเซี่ยเซิงเซียวที่หนีออกจากเรือนมานั้น ทั้งสองจะได้พบกันอีกคราในสถานการณ์อย่างนี้
“เยี่ยลั่ว เรือลำเล็กห่างจากพวกเราเพียงใด แล้วเรือลำใหญ่อยู่ไกลจากพวกเราเท่าไร” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
“เรือลำเล็กห่างจากพวกเราไม่ถึงสามจั้ง ส่วนเรือลำใหญ่ไกลออกไปราวสามสิบจั้งขอรับ” เยี่ยลั่วกล่าวรายงานอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มเอ่ยสั่งอย่างตัดสินใจเฉียบขาด “แล่นอ้อมเรือเล็กไปประจันหน้ากับเรือใหญ่”
สิ้นเสียงเขาพวกคนเรือเริ่มปรับใบเรือโดยไม่รอช้า
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย
คนเรือพวกนี้เชื่อฟังคำสั่งน่าดู
ฉือชั่นเลื่อนสายตาจากใบหน้าของเซ่าหมิงยวนไปหยุดที่เรือลำเล็กซึ่งเคลื่อนมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
บนเรือมีคนที่รู้จักกับถิงเฉวียน?
เขากระจ่างแจ้งว่าเหตุใดเซ่าหมิงยวนถึงออกคำสั่งอย่างนี้ เรือลำใหญ่ด้านหน้าอยู่ห่างจากพวกเขาใกล้เกินไป ถ้าขาดไหวพริบพลิกแพลง พยายามช่วยคนบนเรือลำเล็กขึ้นมาก่อนจะไม่มีทางทันเวลา มีเพียงเป็นฝ่ายออกไปประจันหน้ากับเรือลำใหญ่ถึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“ฝั่งโน้นมีมือทวนขอรับ!” เยี่ยลั่วตะโกนบอก
“จำนวนคนเล่า”
“กะประมาณจากสายตา มือทวนสิบคน คนถือขวานกับดาบกระบี่สิบกว่าคนขอรับ” เยี่ยลั่วรายงานอย่างฉับไว
เซ่าหมิงยวนยกมือขึ้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ “พลโล่ขึ้นหน้า พลธนูเตรียมตัว คนอื่นๆ ย่อตัวลง!”
เขากล่าวจบแล้วคว้าตัวเด็กสาวข้างกายมาไว้ในอ้อมแขนแล้วย่อกายลง
หยางโฮ่วเฉิงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “พลโล่กับพลธนูมาจากที่ใดกัน”
พวกเรามีแต่องครักษ์จินอู๋อ่อนหัด…
ถิงเฉวียนตาบอดไปแล้ว หรือว่าสติก็เลอะเลือนไปด้วย
ระหว่างที่หยางโฮ่วเฉิงงุนงงอยู่ คนเรือสิบกว่าคนถือโล่ในมือบังอยู่เบื้องหน้าพวกเขาอย่างว่องไว จากนั้นเป็นคนงานสิบกว่าคนหลบอยู่หลังโล่พลางโก่งคันธนูอยู่ในท่วงท่าเตรียมพร้อมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดตอน
หยางโฮ่วเฉิงรีบดันขากรรไกรขึ้นก่อนจะหุบปากไม่ลง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บตรงข้อพับเข่าจนต้องคุกเข่าลงอย่างทรงตัวไม่อยู่
ฉือชั่นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าปัญญาทึบหรือไม่ ยังยืนอยู่อีก อยากเป็นเป้านิ่งใช่หรือไม่”
“นี่…นี่…นี่มาจากที่ใดกัน” เขาเป็นหัวหน้าหน่วย ไฉนไม่รู้ว่าพวกคนเรือกับคนงานบนเรือยังแปลงกายได้ด้วย
ฉือชั่นถอนใจเบาๆ “ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังดูไม่ออกอีก พวกนี้ล้วนเป็นคนของถิงเฉวียน”
เขาฉงนใจเรื่อยมาว่าองครักษ์ประจำตัวของสหายรักที่ปรากฏกายในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ใด ที่แท้เซ่าหมิงยวนเปลี่ยนตัวคนเรือกับลูกจ้างเป็นองครักษ์ของตนโดยไม่ให้ใครรู้เห็นแต่แรก
ยังจะมีอะไรที่กลบเกลื่อนได้แนบเนียนยิ่งกว่าเป็นคนเรือกับคนงาน อย่างน้อยคนอย่างพวกเขาไม่มีทางสังเกตดูว่าคนงานคนหนึ่งหน้าตาเป็นอย่างไร
เสียงสั่งการของเซ่าหมิงยวนดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง “ยิงธนูทันที จับเป็นไว้สองสามคนก็พอ”
ทุกคนย่อตัวหลบอยู่ตรงดาดฟ้าเรือ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงลูกธนูแหวกอากาศ ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนระงมเป็นทอดๆ ดังลอยมาจากเรือทางเบื้องหน้า ตามมาด้วยเสียงโลหะกระทบกันดังตึงตังเมื่ออีกฝั่งหนึ่งขว้างทวนยาวมากระแทกกับโล่กำบัง
“ท่านแม่ทัพ เรือด้านหน้ากำลังจะหันหัวกลับขอรับ”
เรือลำใหญ่หันหัวกลับได้ยาก เซ่าหมิงยวนคาดคำนวณระยะห่างระหว่างเรือสองลำในตอนนี้แล้วออกคำสั่งทันที “เดินหน้าเต็มกำลัง พออยู่ห่างจากเรือฝ่ายตรงข้ามเพียงสองจั้งให้กระโดดลงเรือปิดศึกโดยเร็ว”
“ขอรับ!” องครักษ์ทั้งหลายขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
ชั่วพริบตานั้นความองอาจฮึกเหิมและดุดันเหี้ยมหาญของกองทัพเป่ยเจิงได้สำแดงออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่สายตาแล้ว
เฉียวเจาซึ่งถูกเซ่าหมิงยวนกอดไว้แนบอกเงยหน้าขึ้นดูอย่างอดใจไม่อยู่ เห็นชายหนุ่มที่แต่งกายเป็นคนงานบ่าวไพร่หลายคนถอยหลังมาหลายจั้ง จากนั้นวิ่งตะบึงเต็มฝีเท้ากระโจนกายขึ้นจากพื้นดุจดั่งวิหคยักษ์กางปีกแล้วทิ้งตัวลงบนเรืออีกฝั่งหนึ่ง ก่อนจะต่อสู้โรมรันกับคนบนเรือลำนั้นโดยไม่รอช้า
ในการต่อสู้โรมรันกันชายหนุ่มเหล่านี้แต่ละคนล้วนแกร่งกล้าห้าวหาญสุดจะเปรียบ รุกไล่จู่โจมจนคนบนเรืออีกลำยากจะโต้ตอบได้
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังติดๆ กันไม่หยุดหย่อน สายตามองไปทางใดล้วนอาบย้อมไปด้วยประกายโลหิต
ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกดศีรษะของเด็กสาวให้ก้มลงซบอก เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้น “เด็กน้อยคนดี อย่าดู”
อิงแอบกับแผงอกกว้างของชายหนุ่ม ได้กลิ่นใบป้อเหออ่อนจางจากกายเขา ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์เฉกนี้แต่เฉียวเจายังคงหน้าแดงอย่างห้ามไม่อยู่ นางกล่าวเสียงค่อย “ข้ามิได้ตกใจกลัวสักหน่อย”
เรียกนางว่า ‘เด็กน้อย’ อีกแล้ว ทั้งที่เขากับนางอายุเท่ากัน เขายังเห็นนางเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอยู่เรื่อย
ประเดี๋ยวก่อน ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งเขาจะเห็นข้าเป็นแม่นางน้อยหลีเจาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว แม่นางเฉียวก็เริ่มขัดเคืองใจ
นางอดคิดไม่ได้ว่า บางทีเซ่าหมิงยวนอาจถูกตาต้องใจในรูปโฉมโนมพรรณของหลีเจาก่อน ต่อมาเขากับข้าถึงได้มาพัวพันกันในตอนนี้
ครั้นคิดไปเช่นนี้เฉียวเจาก็กรุ่นโกรธในใจอยู่บ้าง นางยกมือหยิกเอวชายหนุ่มทีหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนไม่เข้าใจเหตุผล นึกว่าตนห้ามไม่ให้เฉียวเจาดูเลยทำให้นางไม่พอใจ เขากล่าวปลอบนาง “สังหารคนไม่มีอะไรน่ามอง”
ถ้าเกิดเจาเจาเห็นภาพน่าขยะแขยงแล้วส่งผลให้กินอาหารไม่ลงจะทำอย่างไร
ในเวลาที่แก้ปัญหากันด้วยการใช้กำลังลุ่นๆ พรรค์นี้ เฉียวเจาหาได้อวดเก่งไม่ นางซุกตัวนิ่งๆ อยู่ในวงแขนเซ่าหมิงยวนดุจเก่าพลางเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงเบาหวิว “เช่นนั้นอะไรหรือที่น่ามอง”
“เจ้าอย่างไรเล่า” เซ่าหมิงยวนกล่าวตอบโดยปราศจากความลังเล
“ท่านรู้สึกว่ารูปโฉมข้าในตอนนี้น่ามองหรือ” น้ำเสียงของแม่นางเฉียวราบเรียบ
แม่ทัพหนุ่มไม่รู้สักนิดว่ากำลังจะเคราะห์ร้ายแล้ว เขาพูดจากใจจริง “ต้องน่ามองอยู่แล้ว”
“ท่านชอบหรือ”
“ชอบมาก”
เด็กสาวในอ้อมอกไม่เปล่งเสียงพูดแล้ว
เสียงรายงานของเยี่ยลั่วดังขึ้น “ท่านแม่ทัพ จับเป็นฝ่ายตรงข้ามได้สามคน ที่เหลือทั้งหมดสิบห้าคนโดนปลิดชีพแล้วขอรับ”
“ดีมาก ทุกคนต้องลำบากกันแล้ว พาตัวสามคนที่จับเป็นได้เข้าไปในห้องโถงใหญ่” เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน มาตรว่าจะลอบนึกเสียดาย แต่เขาก็ดันตัวเด็กสาวในอ้อมแขนออกโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ แล้วหมุนกายเดินไปข้างในอย่างเยือกเย็น
นอกจากเยี่ยลั่วกับเฉินกวง คนเรือกับคนงานที่วาดลวดลายสำแดงฝีมืออันร้ายกาจเมื่อครู่เหล่านั้นสลายตัวกลับเข้าประจำที่ของตนอย่างปราศจากสุ้มเสียงประหนึ่งว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน พวกเขายังคงเป็นคนธรรมดาที่เมื่อทิ้งไว้กลางฝูงชนก็จะถูกกลืนหายไปในพริบตา
องครักษ์จินอู๋ที่อยู่ตรงหัวเรือยังดึงสติคืนมาจากความตะลึงพรึงเพริดไม่ได้ดุจเก่า
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว และสิ้นสุดลงโดยไม่ทันตั้งตัวเกินไป ช่วยคำนึงถึงจิตใจพวกเขาบ้างได้หรือไม่
“หัวหน้า คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่”
“อ๋อ ก็คนเรือกับคนงานที่ว่าจ้างมามิใช่หรือไร” หยางโฮ่วเฉิงทำไขสือ
องครักษ์จินอู๋ผู้หนึ่งกล่าวอย่างพาซื่อ “คนเรือกับคนงานที่ว่าจ้างมาตามมีตามเกิดก็เก่งกาจปานนี้เชียวหรือ”
คนพวกนั้นไม่เพียงมีวรยุทธ์เยี่ยมยอด หากแต่ความว่องไวพร้อมเพรียงกันยามปฏิบัติตามคำสั่งนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้เหลือเกิน
องครักษ์จินอู๋อีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดๆ “หัวหน้าหยาง ท่านเห็นพวกข้าโง่เขลาจริงๆ รึ พวกนั้นเป็นคนของกวนจวินโหวกระมัง”
หยางโฮ่วเฉิงกลอกตาขึ้น “รู้แล้วยังถามอีก ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ถ้าวันนี้ไม่มีคนของกวนจวินโหวกลุ่มนี้ พวกเราคงกลายเป็นอาหารปลาไปแล้ว หลังกลับถึงเมืองหลวงหากพวกเจ้าเอาไปพูดจาส่งเดชก็ไม่นับเป็นบุรุษแล้วนะ!”
“หัวหน้าวางใจเถอะ พวกข้าไม่พูดจาส่งเดชเด็ดขาด”
ไม่บอกแต่แรกว่ากวนจวินโหวพาคนมาด้วย ทำเอาพวกข้าตกใจแทบตาย!
ทุกคนเดินไปทางโถงใหญ่พร้อมกัน เฉินกวงกล่าวรายงาน “ท่านแม่ทัพ ข้าช่วยสตรีจากเรือลำเล็กได้เจ็ดคน พาตัวไปไว้ที่ห้องพักชั้นสองแล้วขอรับ”
เฉียวเจาชะงักฝีเท้า นางเอ่ยกับเซ่าหมิงยวน “ข้าไปดูก่อนนะ”