หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 46
มิได้ไปเยี่ยมคารวะท่านเซียงจวินมาพักหนึ่ง ดูท่านสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นนะเจ้าคะ คนที่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคือฮูหยินหลี่ สามีของนางอยู่ในกรมอาญาเหมือนกัน เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหลีกวงเยี่ยนบุตรชายของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
ข้าชราแล้ว
ท่านยังไม่ชราเจ้าค่ะ ข้าเห็นคุณหนูรองได้รับการอบรมบ่มเพาะจากท่านแล้วนับวันยิ่งกิริยามารยาทงามเข้าที ปีนี้พวกคุณหนูของจวนสกุลหลีต้องเป็นหน้าเป็นตาให้ท่านได้เป็นแน่
นั่นสิ ข้าจำได้ว่าปีกลายคัมภีร์พระธรรมที่คุณหนูในจวนท่านเซียงจวินเป็นผู้คัดลอกก็เข้าตาท่านภิกษุชั้นผู้ใหญ่นะ มีคนกล่าวผสมโรงขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคลี่ยิ้มอย่างสำรวมตน คิดอยู่ในใจว่าน่าเสียดายที่คัมภีร์พระธรรมลายมือเจียวเจียวถูกส่งไปอารามซูอิ่งแล้วก็เงียบหายไป กลับเป็นคุณหนูเจ็ดสกุลจูของจวนไท่หนิงโหวกับคุณหนูสี่สกุลหลูของรองเสนาบดีกรมพิธีการที่ได้รับคำชมสองสามคำจากองค์หญิงใหญ่ หลังจากคุณหนูสองคนเป็นที่กล่าวขวัญถึงไปทั่ว ก็มีคนมาสู่ขอจนแทบหัวกระไดไม่แห้ง คุณหนูเจ็ดสกุลจูยังไม่หมั้นหมายเพราะอายุยังน้อย ส่วนคุณหนูสี่สกุลหลูถูกยกให้หลานชายคนโตสกุลซวี่ของท่านรองอัครเสนาบดีคนปัจจุบัน
หลีเจี่ยวซึ่งนั่งพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับพวกคุณหนูที่สนิทคุ้นเคยกันหลายคนอยู่ในมุมหนึ่งได้ยินแล้วแอบกำมือเป็นหมัด
ถ้าปีที่แล้วนางทำสุดความสามารถ ไหนเลยคัมภีร์พระธรรมที่จวนสกุลหลีส่งไปที่อารามซูอิ่งจะไม่ฉายรัศมีใดๆ เลยสักนิด ถึงที่สุดแล้วเป็นหลีเจียวที่ไม่เอาไหน!
ปีนี้ได้โอกาสแล้ว เมื่อมีท่านย่าหนุนหลัง หลีเจี่ยวไม่จำเป็นต้องกลัวชิงความโดดเด่นไปจากหลีเจียวอีก ตัวอักษรของนางจะต้องถูกตาต้องใจองค์หญิงใหญ่ท่านนั้นได้แน่
หลีเจี่ยวไม่เคยพบเห็นองค์หญิงใหญ่ผู้ตัดขาดจากทางโลกท่านนี้ แต่ได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่วัยเยาว์ว่านางเคยมีกิตติศัพท์เป็นยอดสตรีอันดับหนึ่งในแผ่นดินจนเป็นความใฝ่ฝันของผู้คน
ด้านหลีเจียวได้ยินแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจ
ปีที่แล้วมีคัมภีร์พระธรรมจากตระกูลต่างๆ เพียงเจ็ดแปดจวนที่ถูกส่งไปอารามซูอิ่ง หนึ่งในนั้นเป็นของนาง ถึงไม่ได้รับคำชมจากองค์หญิงใหญ่ท่านนั้นก็ยังควรค่าแก่การชื่นชม หนึ่งปีที่ผ่านมานางมุมานะฝึกปรือฝีมืออย่างบากบั่นโดยไม่กล้าเกียจคร้าน วันนี้ต้องก้าวหน้าไปอีกขั้นอย่างแน่นอน
คุณหนูของจวนอื่นๆ ฟังแล้วต่างคนต่างคิดอ่านในใจเช่นกัน
เพลานี้กลับมีเสียงพูดทะลุกลางปล้องดังขึ้น ท่านเซียงจวิน เหตุใดไม่เห็นคุณหนูสามของจวนท่านเลยเล่า ข้าจำได้ว่าปีก่อนเด็กผู้นั้นก็มิได้มา
ในโถงเล็กที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั่งอยู่มีฮูหยินราวเจ็ดแปดคน บุรุษในเรือนที่เป็นขุนนางล้วนอยู่ฝ่ายบุ๋น ด้วยเหตุนี้การกระทบกระทั่งกันในราชสำนักจึงลามมาถึงเรือนหลังอย่างช่วยมิได้
ผู้กล่าววาจาคือหวังซื่อภรรยาของเสนาบดีศาลยุติธรรม เพราะสามีนางมีข้อบาดหมางกับหลีกวงเยี่ยนเสนาบดีกรมอาญา สตรีของทั้งสองตระกูลจึงฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใครในทุกๆ สถานการณ์อย่างยากจะเลี่ยงได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินแล้วทำหน้าขรึมลง ในใจนึกชิงชังที่หลีซานสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ชื่อเสียงของสกุลหลี แต่ปากกลับพูดอย่างไม่อ่อนข้อ เรื่องนี้ก็สุดปัญญานะ หมอเทวดาหลี่ที่ส่งหลานเจากลับมาถึงเรือนคอยเอาใจใส่ดูแลแล้ว แต่ร่างกายนางอ่อนแอ ต้องพักฟื้นนานสักหน่อย
เรื่องที่หมอเทวดาหลี่เข้าเมืองหลวงแพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก จวนสกุลต่างๆ ตั้งไม่รู้เท่าไรกระเหี้ยนกระหือรืออยากเชิญหมอเทวดาผู้เป็นดั่งเทพเซียนผู้นี้กลับเรือนไปตรวจรักษาโรคให้ หลังจากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน สุดท้ายก็สืบหาที่พำนักของหมอเทวดาหลี่ได้แล้ว เป็นวังรุ่ยอ๋องอย่างเหนือคาด
ตอนได้รับข่าวนี้ มู่อ๋องกำลังกินข้าวอยู่ เขาล้มโต๊ะอาหารประเดี๋ยวนั้นทันใด
พวกตระกูลอื่นที่จับจ้องตาเป็นมันอยู่พากันพักความคิดไว้ชั่วคราว
ล้วนมิใช่อาการป่วยหนักใกล้ตายอันใด รอคอยอย่างสงบเสงี่ยมไปก่อนค่อยว่ากันอีกที
แม้นหมอเทวดาหลี่ไม่มีตำแหน่งยศศักดิ์หรือเทือกเถาเหล่ากอโด่งดังทรงบารมี ทว่าวิชาแพทย์ที่บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้วของเขาเป็นที่ยอมรับเลื่อมใสอย่างหมดใจจากทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อยากล่วงเกินหมอเทวดาผู้นี้
ครั้นได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกล่าวเช่นนี้ ฮูหยินหวังไม่เอ่ยถึงเรื่องคุณหนูสามสกุลหลีถูกล่อลวงต่ออีกอย่างรู้กาลเทศะ แต่ก็ไม่ยินยอมจะลดธงพักรบ นางกลอกตาไปจับอยู่ที่หลีเจี่ยว เม้มปากแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า ข้ายังนึกว่าคุณหนูใหญ่ของจวนท่านจะรั้งอยู่กับเรือนเป็นเพื่อนคุณหนูสามเสียอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงฟังแล้วโมโหลมแทบจับ
หลีเจี่ยวเพิ่งถูกถอนหมั้น ตอนแรกนางคิดจะเอ่ยเตือนฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งของจวนตะวันตกว่าให้หลานเจี่ยวเก็บตัวอยู่ในจวน อย่าพามาร่วมงานพวกนี้ จะได้ไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ จนใจที่วันนั้นหลานเจียวเป็นต้นเหตุให้ตนต้องอับอายต่อหน้าคู่สะใภ้ เลยไม่เหมาะจะเอ่ยเรื่องนี้อีก ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ถูกคนหยิบขึ้นมาพูดเหน็บแนมดังคาด
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงปั้นหน้าบูดบึ้งไม่พูดไม่จาไปชั่วขณะ บรรยากาศภายในโถงอึดอัดขึ้นมาทันใด
หลีเจี่ยวนั่งก้มหน้าน้อยๆ อยู่ในมุม เพียงรู้สึกว่ามีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องอยู่ที่ตนเอง นางได้แต่ขบกรามแน่นแต่ไม่แสดงท่าทางผิดปกติให้เห็น
ฮูหยินหลีที่แววตาดูฉลาดหัวไวพูดขึ้นเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ เอ๊ะ น่าแปลกจริงๆ ภิกษุที่รับรองแขกปีนี้มาช้ากว่าปีก่อนมากเลยนะ
พอนางกล่าวขึ้นเช่นนี้ พวกฮูหยินในโถงก็ชักรู้สึกแปลกใจไปตามๆ กัน จึงอดวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ไม่ได้ ส่งผลให้การประมือระหว่างฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและหวังซื่อผู้นั้นยุติลงเพียงเท่านี้
หลังจากนั้นเหล่านายหญิงของจวนต่างๆ พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดก็มีสาวใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตูเข้ามารายงานว่ามองเห็นภิกษุที่รับรองแขกเดินมาทางนี้แล้ว
สีหน้าของฮูหยินทั้งหลายนิ่งสนิท แต่ในใจเริ่มตื่นเต้นทันใด
ฝั่งนี้มีโถงรับแขกน้อยใหญ่สิบกว่าห้อง ไม่รู้ว่าท่านภิกษุจะเข้าห้องใด
มิใช่แค่โถงเล็กที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอยู่เท่านั้น บรรดานายหญิงในโถงอื่นล้วนส่งบ่าวรับใช้ออกมาดูนอกประตูเช่นเดียวกัน
เสียงฝีเท้าดังมาใกล้แล้วก็ห่างออกไป ทุกคราเมื่อภิกษุต้อนรับแขกสาวเท้าผ่านเลยประตูโถงใด คนในโถงนั้นก็จะมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ยามภิกษุต้อนรับใกล้จะเดินถึงสุดทางรอมร่อ พวกฮูหยินของทุกๆ โถงต่างมีข้อแคลงใจเหมือนกันว่า
น่าแปลก หรือว่าตระกูลที่เข้าตาท่านภิกษุชั้นผู้ใหญ่ปีนี้จะอยู่ในโถงเดียวกันทั้งหมดพอดี
รีบไปดูว่าท่านซือฟู่* เข้าไปในโถงใด
มีสาวใช้กลับมารายงานทันที เข้าไปในโถงหมิงซินแล้วเจ้าค่ะ
ภายในโถงรับรองแขกหนึ่งในบรรดานั้นมีสตรีจากจวนไท่หนิงโหวกับจวนกู้ชางป๋อนั่งอยู่ ตู้เฟยเสวี่ยอ้าปากพูดอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีของพี่เหยียน
เด็กสาวที่ถูกเอ่ยนามดูท่าทางมีวัยราวสิบสี่สิบห้า ผิวพรรณขาวกระจ่าง โฉมงามดุจบุปผา กิริยาแช่มช้อยนุ่มนวล นางได้ยินคำนี้แล้วกล่าวเสียงเรียบ น้องเฟยเสวี่ยอย่าพูดจาส่งเดชสิ บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง คนที่เขียนอักษรได้ดีกว่าข้ามีอยู่ถมเถดาษดื่น
ตู้เฟยเสวี่ยได้ยินแล้วไม่ยอมจำนน พี่เหยียนน่ะชอบถ่อมตน ปีที่แล้วมีแค่หลูฉู่ฉู่ที่มีฝีมือสูสีกับท่านชัดๆ และได้รับคำชมจากซือไท่ของอารามซูอิ่งเฉกเดียวกัน ปีนี้หลูฉู่ฉู่หมั้นหมายแล้วไม่ได้มา ลายมือของพี่เหยียนก็ต้องเป็นที่หนึ่งในบรรดาพวกเรา เช่นนั้นโถงหมิงซิน…
ตู้เฟยเสวี่ยกล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงักไปก่อนอุทานขึ้น อุ๊ย! ข้านึกขึ้นได้แล้ว พี่เจี่ยวอยู่ในห้องนั้น
นางพูดแล้วหันหน้าไปขออนุญาตจูซื่อฮูหยินของกู้ชางป๋อ ท่านแม่ ข้าอยากไปดูทางนั้นสักหน่อย ไม่แน่พี่เจี่ยวอาจเป็นผู้ชนะเลิศก็ได้นะเจ้าคะ
คนในโถงนี้ล้วนสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง จูซื่อเห็นว่าสองตระกูลเป็นญาติผูกดองกัน บุตรสาวไปที่นั่นก็ไม่เป็นไร นางจึงพยักหน้าตกลง
ตู้เฟยเสวี่ยยินดียกใหญ่ จูงมือจูเหยียนพลางเอ่ย พี่เหยียน พวกเราไปกันเถอะ
ข้าไม่ไปล่ะ…
พี่เหยียน ท่านไม่อยากรู้หรือว่าลายมือของใครกันที่งามกว่าของท่าน
จูเหยียนฟังแล้วมองไปทางฮูหยินของไท่หนิงโหว เห็นมารดาพยักหน้ากับนางถึงได้ตามตู้เฟยเสวี่ยไป
คนในโถงหมิงซินต่างใจเต้นระทึกแล้ว
ตามธรรมเนียมเก่า ทุกปีจะมีคัมภีร์พระธรรมจากห้าถึงสิบตระกูลถูกคัดเลือกส่งไปที่อารามซูอิ่ง ในโถงนี้มีอยู่ทั้งหมดเจ็ดแปดตระกูล หรือว่าจะเข้าตาเหล่าภิกษุชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด
เอ๊ะ?! ตกลงเป็นบุตรสาวเรางัดฝีมือที่เก็บสะสมมานานหรือว่าพวกภิกษุชั้นผู้ใหญ่ชราภาพตาฝ้าฟางกันแน่
ฮูหยินที่รู้ตัวดีหลายคนลอบคิดในใจ
พวกนางอดเบนสายตามองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่ได้
จริงสิ ปีก่อนคุณหนูรองของจวนสกุลหลีก็ได้รับเลือก ว่ากันว่าลายมือของคุณหนูใหญ่ก็ไม่เลว
ภิกษุต้อนรับแสดงคารวะต่อทุกคนแล้วเดินไปเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียง กล่าวถ้อยคำที่น่าตกตะลึง ไม่ทราบว่าคัมภีร์พระธรรมเล่มนี้เป็นฝีมือคัดลอกของคุณหนูท่านใดในจวนท่าน ซือไท่ของอารามซูอิ่งอยากพบหน้าสักครั้ง
* ซือฟู่ เป็นคำเรียกภิกษุสงฆ์ แม่ชี หรือนักพรต