หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 461
บทที่ 461
แม่ทัพหนุ่มอยู่ในห้องรอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็ได้พบกับแม่นางเฉียวที่มาถึงอย่างล่าช้า
“จัดการเรียบร้อยหมดแล้วหรือ”
“อื้อ พวกนางขวัญเสียกันไม่น้อย ช่วงที่อยู่กลางทะเลก็ไม่ได้สางผมชำระกาย ข้าเลยพาอาจูกับปิงลวี่ไปช่วยกันดูแลพวกนางสักหน่อย จริงสิ พวกท่านถามได้เรื่องอะไรจากปากชาววอโค่วที่จับเป็นมาบ้างหรือไม่”
“ถามได้ความแล้ว นอกจากคนที่ถูกพวกเรากำจัดไปหนนี้ บนเกาะหมิงเฟิงยังมีอีกแปดสิบกว่าคน น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นพวกข้าตกลงใจจะไปที่นั่นตามแผนเดิม”
“กวาดล้างชาววอโค่วพวกนั้นได้ก็ดี” เฉียวเจานึกถึงคำพูดของเซี่ยเซิงเซียวแล้วเอ่ยเตือนขึ้น “บนเกาะแห่งนั้นมีบางอย่างแปลกๆ”
“แปลกที่ตรงใดหรือ” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
“คุณหนูเซี่ยบอกว่าประตูห้องที่กักขังพวกนางไว้เปิดอยู่ ฟังดูแล้วคล้ายมีคนคอยช่วยอยู่ลับๆ”
เขาไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย “คุณหนูเซี่ยพาหญิงสาวพวกนั้นหนีออกจากที่กบดานของชาววอโค่วได้ หากไม่มีคนช่วยเหลือต่างหากถึงน่าแปลก”
บนเกาะหมิงเฟิงมีชาววอโค่วทั้งแท้ไม่แท้อยู่ปะปนกัน แล้วฝีมือการต่อสู้ของชาววอโค่วกำมะลอก็มิได้ย่อหย่อนไปกว่าทหารต้าเหลียงและมีแต่จะเหนือกว่าด้วยซ้ำไป สำหรับพวกชาววอโค่วแท้ๆ นั้น พวกเขาได้รู้ฝีมือมาแล้วที่ท่าปากทะเล จะบอกว่าสู้แบบหนึ่งต่อสามได้ก็ไม่เกินความจริงเลย
ในถ้ำเสือรังหมาป่าเช่นนั้น สตรีไม่กี่คนจะหนีรอดมาได้ใช่เรื่องง่ายดายปานนั้นหรือ
“คนที่ยื่นมือช่วยเหลือพวกนางเป็นใครกันนะ หรือว่าในเหล่าชาววอโค่วบนเกาะหมิงเฟิงยังมีคนที่เหลือมโนธรรมอยู่” เฉียวเจาพูดพึมพำ
มือใหญ่ข้างหนึ่งวางลงกลางกระหม่อมนางพลางยีผมเบาๆ “อย่าสิ้นเปลืองความคิดเลย บนเกาะหมิงเฟิงมีเงื่อนงำใดกันแน่ ถึงตอนนั้นพวกเราสืบเสาะให้ถึงที่สุดก็รู้เองมิใช่หรือ”
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้าแล้วฉุกคิดอะไรขึ้นได้ นางกล่าวเสียงขุ่น “เซ่าหมิงยวน ท่านปิดบังเก่งนักนะ ข้ารู้สึกอยู่แล้วว่าคนเรือกับคนงานพวกนั้นไม่ค่อยปกติ ที่แท้พวกเขาล้วนเป็นคนของท่าน”
“มิได้เจตนาจะปกปิดเจ้า แค่คิดว่าบางทีอาจไม่จำเป็นต้องใช้พวกเขาก็เลยไม่เอ่ยถึง” ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงมาที่พวงแก้มเด็กสาว สุ้มเสียงของชายหนุ่มอ่อนละมุนลง “โกรธหรือ”
เฉียวเจาเบนหน้าหลบมือเขา นางกล่าวยิ้มๆ “จะโกรธด้วยเหตุใดกัน มีองครักษ์ประจำตัวท่านพวกนี้อยู่ด้วยพวกเราก็ไปที่เกาะหมิงเฟิงได้อย่างมั่นใจแล้ว บอกตามตรงว่าข้าอยากไปมาก”
ภายในห้องเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เซ่าหมิงยวนจะถามขึ้น “อยากเซ่นไหว้ท่านหมอเทวดาใช่หรือไม่”
นางกล่าวทอดถอนใจ “ใช่ ท่านปู่หลี่ฝังร่างอยู่กลางทะเล มีเพียงสุสานหมวกกับอาภรณ์อยู่ในเมืองหลวง พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ใจข้าเป็นทุกข์มาก บัดนี้มาถึงที่นี่แล้วได้เซ่นไหว้ในจุดที่ท่านผู้เฒ่าเคยพำนักเป็นที่สุดท้ายก็นับว่าได้แสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แล้ว”
เซ่าหมิงยวนหลุบเปลือกตาลง “เจาเจา ข้าไม่ได้คุ้มครองท่านหมอเทวดาให้ดี ข้าขอโทษ…”
“อย่าแบกความรับผิดชอบไว้เองทั้งหมดสิ นี่คงจะเป็นลิขิตฟ้ากระมัง ถ้าจะไล่เลียงจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นสกุลเฉียวของพวกข้าที่ติดค้างท่านปู่หลี่”
“เด็กดี อย่าคิดเรื่องไม่สบายใจพวกนี้เลย”
เฉียวเจาเลิกคิ้วสูง “เซ่าหมิงยวน ท่านลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าพวกเราอายุเท่ากัน”
ชายหนุ่มพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “อย่างนั้นหรือ แต่ในใจข้า เจ้าคือเด็กน้อย”
เมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่านางคือเจาเจา เขารู้สึกมาโดยตลอดว่ายามอยู่กับคุณหนูหลีที่อายุยังน้อยแล้วเหมือนเป็นคนวัยเดียวกันมาก แต่ตอนนี้นางกลายเป็นเจาเจาของเขา บางทีจวบจนนางผมหงอกขาว เขายังคงรู้สึกว่านางเป็นเด็กน้อย
แม่นางเฉียวเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนริมฝีปากเขาแล้วอดมุ่นคิ้วไม่ได้ นางกล่าวเสียงเรียบว่า “นั่นเป็นเพราะท่านเห็นข้าเป็นแม่นางน้อยหลีเจาโดยไม่รู้ตัวกระมัง”
นางฟื้นชีวิตเพราะหลีเจาจึงเต็มใจรับผิดชอบภาระหน้าที่ของหลีเจา กระนั้นมีแค่บุรุษตรงหน้าผู้นี้เท่านั้นที่นางหวังว่าเขาจะชมชอบร่างเดิมของนาง
ได้ยินเฉียวเจากล่าวเช่นนี้เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไปพักหนึ่ง
“ว่าอย่างไร ข้าพูดถูกสินะ”
บุรุษข้างกายทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง “คือว่า…เจาเจา พวกเราเคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งที่เมืองเยี่ยน”
“ดังนั้นคนที่ท่านพึงใจคือหลีเจาใช่หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มอึ้งงันจนพูดไม่ออกกับคำถามนี้ นานครู่หนึ่งถึงย้อนถาม “แต่หลีเจาก็คือเจ้าไม่ใช่หรือ”
เฉียวเจาอ้าปากออกทว่าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ความเป็นจริงข้อนี้ทำให้หมดวาจาจะโต้ตอบดีแท้
ฉะนั้นเขาก็ชมชอบหลีเจาอยู่ดี ในขณะที่นางตายยังไม่ครบหนึ่งปีจิตใจเขาก็หวั่นไหวไปกับหญิงอื่นแล้ว
แม้ว่านางก็คือ ‘หญิงอื่น’ ที่ว่านี้ แต่ถ้านางไม่ได้ฟื้นคืนชีพเล่า บุรุษผู้นี้ยิงธนูสังหารภรรยาตนเองตายกับมือ ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็ชมชอบเด็กสาวคนอื่นแล้ว
พอเฉียวเจาคิดไปเช่นนี้ทั้งที่รู้ว่าดูเหมือนตนเองจะพาลพาโลอยู่สักหน่อย แต่นางยังคับข้องใจสุดจะกล่าว พาให้เห็นบุรุษเบื้องหน้าขัดหูขัดตาไปหมด
“เจาเจา เจ้าโมโหแล้วหรือ”
“อื้อ” แม่นางเฉียวโมโหแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรงมาก
เจ้าคนทึ่มผู้นี้สำเหนียกได้หรือไม่กันแน่
“เจ้าฟังข้าอธิบาย…” ชายหนุ่มเริ่มลุกลน
“อื้อ” แม่นางเฉียวขานตอบอย่างสงบนิ่ง
ท่านก็อธิบายมาสิ ข้ามิได้โวยวายว่า ‘ข้าไม่ฟังๆ’ สักหน่อย
แม่ทัพหนุ่มยกมือถูหน้าด้วยความกลัดกลุ้ม “อันที่จริงข้าไม่รู้ว่าเจ้าโมโหเพราะอะไร”
เฉียวเจาเม้มมุมปาก ทีแรกนางยังไม่โมโหเท่าไร แต่ตอนนี้โมโหจริงๆ แล้ว!
เซ่าหมิงยวนคล้ายรับรู้ได้ว่าชักไม่เข้าที เขาคว้ามือนางมาจับไว้ “เจาเจา คนที่ข้าชมชอบคือเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะกลายเป็นคุณหนูหลี คุณหนูหวัง หรือคุณหนูจางก็ตามที ข้าชมชอบที่ตัวตนข้างในของเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับเปลือกนอกที่ห่อหุ้มอยู่”
“ท่านจะบอกว่าท่านไม่ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของหลีเจาใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างจนปัญญา “เจาเจา หากว่าจิตใจข้าหวั่นไหวเพราะรูปโฉมโนมพรรณของสตรี เช่นนั้นข้ารับรองกับเจ้าได้เลยว่าข้าไม่มีทางรู้สึกสนใจแม่นางน้อยที่ยังสูงไม่ถึงหัวไหล่ข้าอย่างเด็ดขาด”
ยังสูงไม่ถึงหัวไหล่ ยังสูงไม่ถึงหัวไหล่…
แม่นางเฉียวโดนแทงใจดำจนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ “เซ่าหมิงยวน ร่างเดิมของข้าไม่ได้เตี้ยกว่าคุณหนูเซี่ยเท่าไรเลยนะ”
แต่ตอนนี้นางตัวเตี้ยม่อต้อสูงไม่ถึงหัวไหล่คนอื่นเพราะเจ้าคนบัดซบคนใดกันที่เป็นตัวต้นเหตุ เขายังจะตินั่นตินี่อีกหรือ
ท่านแม่ทัพผู้น่าเวทนาหัวหมุนไปหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเขากล่าวโพล่งออกมา “ดังนั้นยังคงเป็นร่างเดิมที่ดีกว่า”
เฉียวเจาแทบจะพูดไม่ออก “…เซ่าหมิงยวน พูดเช่นนี้แสดงว่าท่านไม่พอใจร่างใหม่ของข้าตอนนี้หรือ”
เขาอ้าปากจะพูดอธิบาย จู่ๆ นึกไปถึงคำพูดของเฉินกวงที่ว่า ‘ยามสตรีโกรธ อย่าพูดกับนางด้วยเหตุผลเป็นอันขาด หาทางปิดปากนางไว้เท่านั้นเป็นพอ’
ปิดปากนางไว้? เรื่องนี้ง่าย!
ชายหนุ่มใช้มือเชยคางเด็กสาวขึ้นแล้วก้มหน้าลงประกบจูบ
ระหว่างที่ละเลียดลิ้มรสหอมหวานของนาง แม่ทัพหนุ่มคิดคำนึงอย่างยิ้มย่อง วิธีนี้ดีที่สุดดังคาด
เด็กสาวออกแรงผลักก็ผลักไม่ออก นางโกรธจนหน้าแดงก่ำ พูดขัดคอคำเดียวก็หาเรื่องจูบ เจ้าคนบ้าผู้นี้ยังมีเหตุผลหรือไม่
“เซ่าหมิงยวน…ท่าน ท่านรีบปล่อยข้า…” เสียงร้องประท้วงขาดเป็นห้วงๆ ถูกสกัดไว้ที่ลำคอ เด็กสาวจำต้องเกาะไหล่ของชายหนุ่มไว้แน่นๆ ไม่ให้ตนเองไถลล้มลง
ขณะที่วิงเวียนตาลายนางได้ยินเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าปนหอบถี่ๆ ของชายหนุ่มดังขึ้น “เจาเจา ข้าอยากกลับเมืองหลวงเร็วขึ้นแล้ว…”
“ท่าน…ท่านฝันหวานไปเถอะ…” ถึงอย่างไรเฉียวเจามิใช่เด็กสาวแรกรุ่นอย่างแท้จริง พอได้ยินถ้อยคำของบุรุษที่กอดตนไว้แนบแน่น ภาพในตำราเล่มเล็กๆ ที่มารดามอบให้นางก่อนออกเรือนก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดเป็นฉากๆ ดุจโคมม้าวิ่ง
สมควรตาย ความสามารถในการเห็นผ่านตาไม่ลืมนี้ช่างน่าหงุดหงิดใจเป็นที่สุดจริงๆ!
ชายหนุ่มผละจากกลีบปากของเด็กสาวกะทันหัน ลากไล้ริมฝีปากร้อนระอุลงไปหยุดที่ลำคอขาวผ่องฝากรอยประทับรูปดอกท้อเป็นดวงๆ ไว้
“เซ่าหมิงยวน ท่านอย่าได้คืบเอาศอกนะ” เฉียวเจาเริ่มแตกตื่นฉับพลัน
ความจริงนางไม่ได้แยแสกรอบประเพณีอันดีงามพวกนั้นเท่าไรนัก ทว่าเจ้าคนบัดซบผู้นี้ออกจะอุกอาจเกินไปแล้ว
ชายหนุ่มออกแรงรัดร่างเด็กสาวไว้ในวงแขน “เจาเจา เจ้าอย่าโมโหอีกนะ ข้า…ข้าทรมานยิ่งนัก”
วิธีนี้ของเฉินกวงไม่ค่อยเข้าท่า คราวหน้าไม่กล้าใช้แล้ว…