หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 466
บทที่ 466
“ไม่ออกไป” เสียงพูดอย่างสิ้นหวังของหยางโฮ่วเฉิงดังข้ามฉากกั้นออกมา
ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง “เจ้าไม่ออกมาใช่หรือไม่ ก็ได้ ข้าไปล่ะ ถึงอย่างไรคนที่อับอายขายหน้าไม่ใช่ข้าสักหน่อย”
“สือซี เจ้าอย่าไปนะ” หยางโฮ่วเฉิงรีบก้าวออกจากหลังฉากกั้น เดินหน้าม่อยคอตกไปหาสหายรัก
ฉือชั่นพิงพนักเก้าอี้อย่างแสนสบาย มุมปากประดับรอยยิ้มเอื่อยเฉื่อย
หยางโฮ่วเฉิงทึ้งผมตนเอง “เห็นอกเห็นใจกันสักนิดได้หรือไม่ ข้าสมควรทำฉันใด”
“ทำฉันใดเรื่องอะไร”
“เมื่อครู่นี้ข้า…เจ้าเห็นแล้วกระมัง”
“เห็นแล้วสิ”
“แล้วข้าต้องทำฉันใดเล่า ต้องรับผิดชอบคุณหนูเซี่ยหรือไม่” หยางโฮ่วเฉิงมองสหายรักวัยเยาว์ด้วยสายตาวาดหวัง
ยามนี้เขาต้องการคำปลอบใจจากสหายรักอย่างยิ่ง คนที่ไม่ยึดติดกับจารีตประเพณีเฉกสือซีน่าจะเห็นว่าไม่มีอะไรกระมัง
คุณชายฉือปั้นหน้าเคร่งขรึม “ต้องสิ”
หยางโฮ่วเฉิงสำลักไออย่างรุนแรง เขาไอจนหน้าตาแดงก่ำ “แค่กๆ อะไรนะ”
ฉือชั่นชายตามองเขา “ข้าบอกว่าต้องรับผิดชอบ เจ้าขึ้นไปนั่งทับบนตัวนางแล้วยังไม่คิดจะรับผิดชอบอีกหรือนี่”
“แต่ว่าเจ้า…”
ฉือชั่นแกะมือของเขาออกอย่างไม่เร็วไม่ช้าแล้วพูดเสียงเย็น “ข้าอะไร หรือว่าข้าเคยนั่งทับตัวสตรี”
หยางโฮ่วเฉิงอึ้งงันไปในอึดใจ
นั่นสิ ต่อให้เป็นสตรีที่หลงรักสือซีถึงขั้นจะเป็นจะตายพวกนั้น สือซีไม่เคยรับผิดชอบต่อพวกนางมาก่อน พอคิดดูดีๆ แล้วสือซีไม่เคยแตะแม้แต่ชายเสื้อของพวกนางด้วยซ้ำไป
ทว่าเขานั่งทับตัวนางไปแล้ว!
พอคิดเช่นนี้หยางโฮ่วเฉิงก็รู้สึกว่าฟ้าถล่มแล้ว เขายกมือขึ้นตบหน้าตนเอง “เจ้าเบาปัญญาใช่หรือไม่! นางอยากไปปราบพวกวอโค่วก็ไปสิ มันกงการอะไรของเจ้าด้วย!”
“เวลานี้นึกอยากตีตนเองแล้วรึ แล้วตอนนั้นขึ้นไปนั่งทับตัวนางอย่างว่องไวปานนั้นด้วยเหตุใดเล่า”
หยางโฮ่วเฉิงทึ้งผมตนเอง “ก็คุณหนูเซี่ยผู้นั้นตัวเตี้ยกว่าเจ้าไม่เท่าไร มิหนำซ้ำยังสวมอาภรณ์บุรุษ อีกทั้งต่อยตีได้เก่งกาจอย่างนั้น นี่ข้าถึงได้เผลอตัวลืมไปว่านางเป็นสตรีมิใช่หรือ”
ฉือชั่นหน้าบึ้ง “หมายความว่าอันใดที่ว่าตัวเตี้ยกว่าข้าไม่เท่าไร” เขาตกลงใจดับความหวังสุดท้ายของสหายรัก
“เอาเป็นว่านะ ไม่สำคัญว่าเจ้ามีข้ออ้างอะไร เจ้าก็นั่งทับตัวนางไปแล้ว ส่วนว่าจะรับผิดชอบหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแน่นอน” ฉือชั่นตบไหล่เขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนเดินอาดๆ จากไป
หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ในโถงว่างโหรงเหรงอย่างเหม่อลอย ผ่านไปนานเท่าใดก็สุดรู้ เขาตบหน้าผากตนเองแรงๆ แล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “รับผิดชอบก็รับผิดชอบสิ ข้าเป็นบุรุษ ยังต้องกลัวรับผิดชอบด้วยหรือ”
หยางซื่อจื่อสาวเท้าก้าวใหญ่เดินลิ่วๆ ไปที่ชั้นสองของเรือได้กลางทางถึงนึกขึ้นได้ว่าไม่รู้ว่าเซี่ยเซิงเซียวพักอยู่ห้องใด ด้วยเหตุนี้เขาย้อนกลับไปหาเฉียวเจา
“คุณหนูหลี ท่านอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาอยู่ตั้งนาน”
เฉียวเจากำชับให้อาจูรินยาที่ต้มเสร็จออกมา ค่อยหันหน้าไปมองเขา “พี่หยางมาหาข้ามีเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
เขาหัวเราะขลุกขลัก “คุณหนูหลี ต้มยาอยู่หรือ”
“อื้อ” นางลอบแปลกใจน้อยๆ แต่ไรมาหยางโฮ่วเฉิงมีนิสัยตรงไปตรงมา วันนี้เขาเป็นอะไรไป
“แหะๆ ประเดี๋ยวเดียวก็ต้มเสร็จแล้วนะนี่”
“พี่หยางมีเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะ” นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
“นี่เป็นยาที่ต้มให้แม่นางที่โดนสุนัขบ้ากัดผู้นั้นใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนที่อยู่ด้านข้างกระแอมกระไอทีหนึ่ง “ฉงซาน หากเจ้าอยากหาคนพูดคุย ข้าคุยเป็นเพื่อนเจ้าได้”
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วนมองเขาอย่างตะลึงงัน “ถิงเฉวียน ที่แท้เจ้าก็อยู่ด้วยรึ”
มุมปากของเซ่าหมิงยวนกระตุกริกๆ
คนที่ตาบอดคือเขาชัดๆ แต่บัดนี้เขาเริ่มสงสัยเรื่องนี้เสียแล้วสิ
หยางโฮ่วเฉิงกระอักกระอ่วนยกใหญ่ เขากล่าวอย่างลุกลน “เช่นนั้นพวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าช่วยยกยาไปให้เอง”
เฉียวเจาถอนใจเฮือก “พี่หยาง มีเรื่องอะไรท่านก็พูดมาเถอะเจ้าค่ะ”
เขาก้มหน้าลง “เอ่อ…ข้าอยากไปขอขมาคุณหนูเซี่ย”
“แล้วเจ้ามาหาเจาเจาด้วยเหตุใด” เซ่าหมิงยวนเอ่ยถามอย่างขบขัน
“ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูเซี่ยพักอยู่ห้องใดน่ะสิ”
เฉียวเจาครุ่นคิดครู่เดียวก็ผงกศีรษะน้อยๆ กับหยางโฮ่วเฉิง “ถ้าอย่างนั้นพี่หยางตามข้ามาเถอะ อาจู เอายาให้เยี่ยลั่ว”
อาจูยื่นยาต้มที่ตักใส่ชามแล้วให้เยี่ยลั่ว นางบอกเสียงเบาๆ ว่า “คุณหนูระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนเอ่ยห้ามเฉียวเจา “อย่าป้อนยาด้วยตนเอง มอบหน้าที่ให้เยี่ยลั่วก็พอ คนทั่วไปเวลาพบกับเรื่องไม่คาดฝันมักตั้งตัวไม่ทัน”
“ได้ ข้ารู้แล้ว”
เมื่อทุกคนลงมาถึงชั้นสอง เฉียวเจาชี้ประตูห้องห้องหนึ่งพลางกล่าว “คุณหนูเซี่ยพักอยู่ห้องนั้นเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณมาก” หยางโฮ่วเฉิงแข็งใจเดินไปที่นั่น เขายืนอยู่หน้าประตู สองจิตสองใจนานครู่หนึ่งถึงรวบรวมความกล้าเคาะประตู “คุณหนูเซี่ย ท่านอยู่หรือไม่”
ประตูเปิดออกดังเอี๊ยด เซี่ยเซิงเซียวยืนอยู่ในห้อง สวมอาภรณ์บุรุษชุดใหม่ที่เฉียวเจาเอามาให้ แม้ว่าจะเป็นแบบสามัญธรรมดา แต่ด้วยท่วงทีกิริยาองอาจผึ่งผายทำให้มันไม่อาจบดบังความมีสง่าราศีของนางไว้ได้
หยางโฮ่วเฉิงอดนิ่งขึงไม่ได้
เซี่ยเซิงเซียวมองหยางโฮ่วเฉิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณชายหยางมีเรื่องใดหรือ”
“คุณหนูเซี่ย เข้าไปคุยกันข้างในได้หรือไม่”
นางนิ่งคิดแล้วถอยห่างจากประตูหลายก้าวเปิดทางให้ “เข้ามาสิ”
เซี่ยเซิงเซียวยังไม่เชื่อว่าบุรุษผู้นี้จะจับนางกินได้
หยางโฮ่วเฉิงก้าวเข้าห้องก็หยุดยืนนิ่งๆ ห่างจากนางออกมาระยะหนึ่ง
“คุณชายหยางเชิญนั่ง” เซี่ยเซิงเซียวกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย นางกลับอยากดูนักว่าคนผู้นี้คิดจะทำอะไร
“คุณหนูเซี่ย เรื่องเมื่อครู่นี้…” ใบหน้าของหยางโฮ่วเฉิงแดงก่ำ เขาพูดต่อไม่ออกแล้ว
“เรื่องเมื่อครู่นี้หรือ” หญิงสาวทำหน้าขรึมลงเล็กน้อย “คุณชายหยางอยากจะประลองกับข้าอีกครั้ง?”
“ไม่ใช่ๆ”
“เช่นนั้นคือจะห้ามไม่ให้ข้าตามกวนจวินโหวไปปราบชาววอโค่ว?”
“ก็ไม่ใช่”
“แล้วคุณชายหยางมาทำอันใด หรือว่าจะขอขมาข้า”
บนหน้าผากของเขาเริ่มมีเหงื่อผุดซึม “คุณหนูเซี่ยอย่าใจร้อน ข้ารู้ว่าขอขมาก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นข้ามาเพื่อ…”
เซี่ยเซิงเซียวกลอกตาขึ้นอย่างสุดระงับ นางใจร้อนอะไรกัน คนผู้นี้สติไม่เต็มเต็งกระมัง “คุณชายหยาง ท่านยกตนเสมอว่าเป็นชายชาตรีอกสามศอกคนหนึ่ง ทว่าท่านทำอ้ำๆ อึ้งๆ เช่นนี้ดูจะไม่ใช่นะ”
หยางโฮ่วเฉิงหลับตากลั้นใจกล่าว “ข้ามาเพื่อถามว่าคุณหนูเซี่ยมีคู่หมั้นคู่หมายหรือยัง หากยังไม่มี รอข้ากลับเมืองหลวงแล้วจะเรียนให้บิดามารดาข้าทราบแล้วไปสู่ขอท่านถึงที่เรือน”
เซี่ยเซิงเซียวตะลึงงัน นางพูดเสียงหลง “ท่านพูดว่าอะไรนะ”
“ข้าพูดว่ารอข้ากลับเมืองหลวงแล้วจะขอร้องให้บิดามารดาไปสู่ขอท่าน ท่านวางใจได้ ข้าจะรับผิดชอบเรื่องในวันนี้เอง”
“สู่ขอ? รับผิดชอบ? เรื่องในวันนี้?” นางรู้สึกว่าตอนพลัดเข้าไปในที่กบดานของชาววอโค่วยังไม่รู้สึกเดือดพล่านจนเกือบหน้ามืดเท่าขณะนี้ นางชี้ไปที่หน้าประตูพร้อมกล่าว “ไสหัวออกไปเสีย!”
“อะไรนะ” หยางโฮ่วเฉิงอึ้งงันไป เขาอุตส่าห์เต็มใจรับผิดชอบแล้วนะ นางคิดจะเอาอย่างไรอีก คงไม่ได้อยากจะนั่งทับตัวเขาเป็นการเอาคืนกระมัง เช่นนั้นนางยังคงเสียเปรียบอยู่ดี
เซี่ยเซิงเซียวดึงประตูเปิดแล้วผลักเขาออกไปนอกห้อง นางโกรธจนควันออกหู “เจ้ารีบไสหัวออกไปทันที…ไปเดี๋ยวนี้! หากในชั่วอึดใจต่อไปยังอยู่ในระยะสายตาของข้าอีกล่ะก็ ข้าจะซ้อมเจ้าให้น่วมจนมารดาเจ้าจำหน้าไม่ได้เลย”
“คุณหนูเซี่ย ท่านอย่าใจคอคับแคบเช่นนี้จะได้หรือไม่ ท่านทำอย่างนี้ไม่อาจแก้ไขปัญหาระหว่างพวกเราได้…”
นางฉวยม้านั่งตัวเล็กๆ ใกล้มือขึ้นแล้ววิ่งไล่ออกมาพลางพูดอย่างฉุนเฉียว “ปัญหาใหญ่ที่สุดระหว่างพวกเราก็คือเมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ตีเจ้าให้ตาย!”